“ศิษย์พี่ข้าเองเจ้าค่ะ ข้าขออาสา”
หลี่จิ้งมองหลิงเสียน เขายิ้มให้นางเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า
“ลำบากศิษย์น้องแล้ว”
“หากเพื่อให้การปราบปีศาจครานี้ลุล่วงไปได้ด้วยดีข้าย่อมยินดีเจ้าค่ะ”
“อย่างไรก็ให้ระวังตัวให้มาก อย่าได้ประมาทไม่ต้องห่วงศิษย์พี่จะไม่ปล่อยให้เจ้าคลาดสายตาเด็ดขาด”
ในสายตาของบรรดาศิษย์ล้วนเห็นว่าอาจารย์เจ้าสำนักกับอาจารย์อานั้นเหมาะสมกันยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น และในด้านความเก่งกาจ
เมื่อภาพทั้งสองคนต่างมองตากัน คนหนึ่งมองอย่างห่วงใยอีกผู้หนึ่งมองด้วยสายตาลึกซึ้ง ส่งผลให้ภาพนี้ดูแล้วช่างเป็นเสมือนภาพของคู่กิ่งทองใบหยกที่เหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง
ศิษย์สตรีเสี่ยวซิงกับเสี่ยวซูสองพี่น้องที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป่ยฟางหรงถึงกับซุบซิบกันอย่างขัดเขิน
“ดูอาจารย์กับอาจารย์อาสิ ช่างเหมาะสมกันอย่างยิ่ง”
“ใช่ข้าเพียงเห็นท่าทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อกันก็ยังหน้าแดงเลย”
“คิดว่าหลังปราบปีศาจจบที่สำนักของเราอาจจะมีงานมงคลก็เป็นได้”
และศิษย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อีกหลายคนต่างซุบซิบเห็นด้วยกับความเห็นของสองพี่น้องนั่น
เป่ยฟางหรงกลับเห็นต่าง ภาพสองคนนั้นช่างขัดหูขัดตาของนางเป็นอย่างยิ่งไม่เห็นว่าจะเหมาะสมกันแต่ประการใด อาจารย์นั้นแท้จริงอารมณ์ร้ายยิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
หากไม่ติดว่าอาจารย์สั่งห้ามหนักหนา เรื่องที่นางปีนขึ้นเตียงของเขาป่านนี้คงได้กระจายไปทั่วหุบเขาจนคนพวกนี้ได้อิจฉากันแล้ว หยีจวนที่บัดนี้กลายเป็นหนึ่งในศิษย์ของสำนักซินเซวียนแล้วยืนอยู่ข้างนางเห็นท่าทางฮึดฮัดของเป่ยฟางหรงก็รู้สึกเป็นห่วงยิ่ง
“ฝ่าบาทมีเรื่องใดขัดเคืองใจหรือขอรับ”
“เห๊อะ แค่รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจสงสัยว่าข้าอาจจะไม่สบายแล้วล่ะ”
หยีจวนตกใจ “ฝ่าบาทหรือโรคพิษเย็นกำเริบขอรับ”
เป่ยฟางหรงส่ายหน้า “น่าจะไม่ใช่ข้าไม่รู้สึกหนาวสักนิดกลับรู้สึกร้อนที่หน้ามากกว่า”
ว่าแล้วนางก็มองไปที่คนสองคนที่ถูกบรรดาศิษย์รายล้อมอยู่ตรงกลาง หยีจวนกำลังคิดว่าเขาอาจจะต้องศึกษาเรื่องสมุนไพรของมนุษย์เพื่อต้มยาบำรุงให้นางเสียหน่อยแล้ว
เขาจึงเอ่ยว่า
“ฝ่าบาทไม่ได้การแล้ว ข้าน้อยต้องไปดูเสียหน่อยว่ามีสิ่งใดที่พอจะช่วยเรื่องนี้ได้หรือไม่”
เป่ยฟางหรงพยักหน้า นางคิดว่าตนเองอาจจะป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนก็ได้
“รีบไปรีบกลับแล้วกัน”
“ขอรับ”
หยีจวนหายตัวไปอย่างรวดเร็ว สมองของเป่ยฟางหรงคิดเรื่องบางอย่างออก นางจึงเดินแทรกบรรดาพี่น้องร่วมสำนักไปจนยืนอยู่ต่อหน้าอาจารย์
หลี่จิ้งเห็นนางแล้ว หลายวันมานี้เป่ยฟางหรงเป็นกำลังสำคัญในการปราบปีศาจจึงสูญเสียพลังไปมาก อีกทั้งหลังจากกลับมายังถูกเขาจับมัดอีก วันนี้เขาจึงคิดว่านางคงจะเพลียจนลุกไม่ขึ้นเสียอีก เมื่อเห็นหน้านางในตอนนี้ก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ไปเอาพลังมากมายมาจากที่ใด กระทั่งยาที่ให้ถงถงนำมาจากสวรรค์นางก็กินหมดแล้วมิใช่หรือ
“อาจารย์ข้าอาสาไปล่อปีศาจเป็นเพื่อนอาจารย์หญิงอีกคน”
แน่นอนเป่ยฟางหรงย่อมคิดว่าหลี่จิ้งจะเห็นดีเห็นงามกับนาง และตนเองยังสามารถแย่งความดีความชอบมาจากอาจารย์อาได้อีกด้วย ที่ไหนได้เมื่อมองหน้าเขากลับพบว่าหลี่จิ้งกลับมีท่าทางไม่พอใจและยังเอ่ยออกมาด้วยคำพูดที่เป่ยฟางหรงคาดไม่ถึง
“ไม่ได้ ถึงเจ้าจะเก่งด้านอาคมแต่วรยุทธ์อ่อนด้อย การกลบพลังทิพย์ในตอนนั้นไม่สามารถใช้อาคมได้ เจ้าจะรับมือไหวได้อย่างไร”
เป่ยฟางหรงหน้างอ
“อาจารย์อาในตอนนั้นก็ไม่สามารถใช้อาคมได้ไม่ใช่หรือ ทำไมนางยังไปได้เล่าเจ้าคะ”
“อาจารย์อาพลังยุทธ์เยี่ยมยอด เจ้าจะเอาตนเองที่อ่อนด้อยไปเปรียบกับนางได้อย่างไร”
เป่ยฟางหรงแก้มป่องเป็นปลาทอง นางคิดจะเถียงแต่เถียงไม่ออกสักคำ
“เมื่อคืนเจ้าใช้พลังไปไม่น้อยกลับเข้าเรือนไปพักผ่อนเสีย เรื่องทางนี้ข้าจะจัดการเองคืนนี้ไม่ต้องออกล่าปีศาจ และคืนนี้อาจารย์ไม่อนุญาตให้เจ้าออกร่วมล่าปีศาจ จงพักรักษาตัวในเรือนให้ดี”
เป่ยฟางหรงถูกอาจารย์ดูถูกฝีมือต่อหน้าศิษย์ผู้อื่นจึงรู้สึกอับอายอยู่ไม่น้อย ทั้งคืนนี้ถือเป็นงานที่สำคัญนางซึ่งเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักไม่สามารถเข้าร่วมการล่าได้นางจึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้เป่ยฟางหรงจึงรู้สึกโกรธอาจารย์แล้ว
“ได้ในเมื่อท่านตัดสินว่าข้าไร้สามารถแล้ว ก็จงเกาะติดอาจารย์อาให้ดีเถิด”
นางกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแล้วเดินหันหลังกลับเรือนของตนทันที