ตอนที่ 89
นางเห็นแต่ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงกำลังทะเลาะกับลูกสะใภ้อีกบ้านหนึ่ง
ลูกสะใภ้บ้านอื่นบอก “ควายบ้านเจ้าดื่มน้ำของบ้านข้าจนหมดแล้ว พวกข้าจึงมาเอาน้ำบ้านเจ้าไง นี่ก็พูดตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าถึงไม่มีเหตุผลเช่นนี้ มาเปลี่ยนสีหน้าโยนอ่างให้ใครได้ยิน ข้าไม่ได้เป็นขอทานนะ”
ป้าใหญ่ก็กล่าวอย่างโมโหมาก “ให้น้ำหนึ่งอ่างกับเจ้าก็ถูกต้องแล้วไง เจ้าจะให้ข้าทำอะไรอีก? แต่เจ้าไม่รู้จักพอเอง ยังจะขอน้ำเพิ่มอีกอ่างหนึ่ง เจ้าดูสิ ดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้ใครเขาจะหุงข้าวต้มกัน? นั่นมันไม่สิ้นเปลืองน้ำมากไปหน่อยหรือ?”
“ไม่ทำข้าวต้มก็สิ้นเปลืองอาหารอื่น บ้านข้าก็ไม่ค่อยมีอาหารเหลือแล้ว กินไม่ได้ ได้แต่ดื่มน้ำข้าวต้ม ไม่มีอาหารแล้วจะให้กินของบ้านเจ้าหรือไงกัน?”
“เจ้านี่ปากคอเราะร้ายนัก”
ลูกสะใภ้บ้านอื่น “ข้าพูดอะไรไป? ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนะ ข้าจะปากคอเราะร้ายได้อย่างไรกัน”
“เจ้ายังจะพูดออกมาอีก โอ้ย ข้าปวดใจนัก เจ้ามันเป็นหญิงไข่เน่า ทำให้คนอายุมากอย่างข้าต้องโมโห ช่างแล้งน้ำใจนัก” ป้าใหญ่เอามือกุมหัวใจทำท่าจะเป็นลม
ทั้งสองคนต่างต่อล้อต่อเถียงทะเลาะกันอย่างครึกครื้น
ไม่ว่าเรื่องอะไร ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็เคยไม่ขาดพวกที่เป็น “บ่างช่างยุ” เมื่อได้ยินทางนั้นทะเลาะกัน ก็มีคนหลายครอบครัวคอยสนับสนุน ‘เจ้าให้น้ำน้อยไปแล้ว’ ‘นางบอกว่าข้าให้น้ำกับเจ้าพอใช้แล้ว’ ‘อย่าโลภมาก’
ฝั่งซ้ายมือจึงเป็นเหตุการณ์แบบนี้
สายตาของท่านย่าหม่าใช้ได้ไม่เต็มที่เพราะฝั่งขวามือของนาง ลูกสะใภ้ใหญ่ของบ้านซ่งหลี่เจิ้งกำลังด่าคนอยู่เช่นกัน แต่คนที่นางด่าเป็นคนในครอบครัวของตนเอง
“ข้าบอกแล้วอย่าไปต้มน้ำก่อน รอให้ข้านึ่งอาหารแห้งข้างบน น้ำข้างล่างก็กลายเป็นน้ำต้มสุกพอดี ค่อยนำน้ำต้มนั้นใส่ถุงน้ำ ได้ทั้งสองอย่างโดยไม่ทำให้ไม่เสียเวลา ทำงานแต่ไม่รู้จักใช้สมอง ไม่รู้ว่าน้ำไม่พอใช้รึไง? ไสหัวไปด้านข้างโน้นไป!”
เฉียนเพ่ยอิงได้ยินก็หันหน้าไปมอง นางลุกขึ้นยืน เดิมทีนางจะเข้าไปห้ามปราม “น้ำที่นึ่งอาหารแห้งแล้วมันไม่สามารถเอามาดื่มได้นะ ถ้าใช้คำพูดภาษาชาวบ้านจะเรียกว่าน้ำกระด้าง มีไนไทรต์ (NO2) จำนวนมาก หากดื่มเยอะจะทำให้เกิดพิษได้” แต่เมื่อนางจะอ้าปากพูดออกมา นางครุ่นคิดแล้วก็ต้องปิดปากลง
คิดในใจ ช่างเถอะ ดื่มมากถึงจะเป็นพิษ แต่สถานการณ์ในตอนนี้จะมีน้ำให้พวกเขาได้ดื่มจากไหนกัน แค่สองสามมื้อเอง
ซ่งหลี่เจิ้งรีบผูกสายกางเกงเดินกลับมาหลังจากที่เขาไปเข้าห้องน้ำ เขากลับมาถึงก็ตะโกนถาม “ทะเลาะอะไรกัน”
น้ำเสียงนี้เหมือนทำให้เรื่องดุเดือดขึ้น พวกผู้หญิงเหมือนหาพวกของตนได้ รีบขอให้เขามาช่วยให้ความเป็นธรรม
ลูกสะใภ้ใหญ่ของซ่งหลี่เจิ้งบอก “ท่านพ่อ ท่านให้ข้านึ่งอาหารแห้งให้กับคนที่เข้าเวรยามช่วงดึก เก็บอาหารมาแล้ว ข้านึ่งปัวปัวกับบะหมี่เส้นเล็ก เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ท่านไม่ได้ไปเอาน้ำจากทุกคนนะสิ น้ำที่นึ่งอาหารแห้งก็มาจากบ้านของเรา”
เขาได้ฟังคำพูดของลูกสะใภ้ใหญ่ก็โมโหจนหน้าแดง ช่างขี้เหนียวเสียจริง เขาหันหน้าตะโกนเรียกลูกชายคนโต “เหล่าต้า!”
เหล่าต้ารีบด่าภรรยา “รีบกลับไปทำอาหารเสีย เจ้าว่างมากรึไง”
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงยืนร้องไห้อยู่ข้างซ่งหลี่เจิ้ง “เจ้ารีบตัดสินให้ข้าที นางเกือบทำให้ข้าโมโหจนจะเป็นลมล้มพับไปแล้ว”
ลูกสะใภ้ที่ทะเลาะกับป้าใหญ่ก็พูดออกมาด้วยความน้อยใจ “ท่านลุงหลี่เจิ้ง นางไม่มีเหตุผล ข้ามาเอาน้ำ นางก็มองข้าเป็นขอทาน เถียงไม่ได้ก็เอามือกุมหัวใจ ใช้ความอาวุโสมากดดันข้า”
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายครอบครัวที่มีปากเสียงกันก็ทยอยมาฟ้องซ่งหลี่เจิ้ง
“ให้น้ำข้ามานิดเดียว ทำเสร็จพรุ่งนี้ก็ต้องพกอาหารแห้ง ที่เหลือจะให้เด็กๆ ดื่มยังไม่พอเลยนะ”
“ท่านลุงหลี่เจิ้ง บ้านข้าเตรียมของมาแค่นี้ ไม่มีน้ำเหลือแล้วจริงๆ เราไม่ได้เห็นแก่ตัว”
ซ่งหลี่เจิ้งรู้สึกเสียใจมากที่รีบกลับมาเร็วเกินไปจึงถูกพวกผู้หญิงรายล้อมส่งเสียงดังเซ็งแซ่จนเวียนหัว
ซ่งฝูเซิงมีหนิวจั่งกุ้ยกับเกาถูฮู่เดินตามอยู่ด้านหลัง พวกเขาเพิ่งไปเดินดูพวกสัตว์กลับมา ทั้งสามเดินเข้ามา
ซ่งฝูเซิงตะโกนถาม “ทะเลาะอะไรกัน!”
ทันใดนั้น เสียงที่อื้ออึงอยู่ก็เงียบกริบ แต่ละคนทำตัวไม่ถูก
ซ่งหลี่เจิ้ง “…”
อืม พวกเจ้าที่พูดเจื้อยแจ้วกับข้าเมื่อครู่หายไปไหนกันหมดแล้วล่ะ
ตอนที่ 90
ประชุม
เดินมาทั้งวัน ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยก็ยังต้องมีการประชุมกัน
ทุกคนต่างมีเรี่ยวแรงทะเลาะกัน ดังนั้นอย่าได้หลับนอนเลยเพราะดูท่ายังไม่เหน็ดเหนื่อย
จากประสบการณ์อันโชกโชนในสังคมยุคปัจจุบัน สรุปได้ว่า สถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งต้องมีการประชุม
ครั้งนี้ซ่งฝูเซิงไม่ต้องให้ซ่งหลี่เจิ้งพูด เขาพูดด้วยตนเอง
เขานั่งขัดสมาธิพูดต่อหน้าทุกคน “ข้าไม่อยากได้ยินว่าใครถูกใครผิด ข้าไม่สามารถตัดสินคดีได้ ข้ามีเพียงคำพูดประโยคเดียว ถ้าคิดว่าไปด้วยกันไม่ได้ก็แยกทางกันเสียเถอะ”
“ฮะ?” ป้าใหญ่หน้าเปลี่ยนสี เป็นคนแรกที่ไม่ยอม “หลานรัก พวกเราก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน ทำไมต้องถึงขั้นแยกทางกันด้วย?”
ท่านย่าหม่าได้ยินก็ทำปากขมุบขมิบ พูดเบาๆ “เจ้าชอบทำแต่เรื่องวุ่นวายไม่ใช่รึ ทำไมถึงจะไม่ยอมแยกทางกันล่ะ”
ลูกสะใภ้ที่ทะเลาะกับป้าใหญ่ก็ร้อนรน “พี่สาม ไม่ใช่ ข้า เรื่องนั้น ข้าทำไป?”
ไม่เพียงแค่ลูกสะใภ้คนนี้พูดคำว่า “ข้า” มาครึ่งวันก็ยังอธิบายได้ไม่เป็นประโยค ก่อนหน้านี้หลายครอบครัว พวกผู้หญิงที่ทำตัวเป็น “บ่างช่างยุ” ต่างคนต่างไม่ยอม พวกนางก็พากันอ้ำอึ้ง ทำตัวไม่ถูก แต่ละคนก็ลุกลี้ลุกลน
ท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่ในครอบครัวต่างก็ถลึงตาใส่พวกนาง
ทะเลาะกันสิ เอาอีกสิ ถ้าแยกทางกันพวกเจ้าแย่แน่
แม้ว่าครอบครัวของท่านยายหวังจะไม่ได้เข้าร่วม แต่นางก็ตกใจเมื่อได้ยินว่าจะสลายขบวนกัน
นี่จะไม่เป็นการกระทบกับพวกเขาด้วยหรอกหรือ?
ท่านยายหวังรีบดึงมือท่านย่าหม่าที่นั่งอยู่ด้านข้างขึ้นมากุมไว้ “พี่สาว ตลอดการเดินทางนี้ ท่านสังเกตเห็นหรือไม่? ข้าก็คุยกับท่านตลอด พวกเขาจะแยกย้ายกันหรือไม่ข้าไม่สน แต่พวกเราสองครอบครัวต้องเดินทางไปด้วยกันน่ะ”
“โอ้ย ร้อนจริง อย่าดึงข้า” ท่านย่าหม่ารีบดึงมือออกจากการจับกุมของท่านยายหวัง “กำลังประชุมอยู่ เจ้าอย่าเพิ่งส่งเสียงดัง พูดอยู่ได้ เดี๋ยวลูกสามของข้าก็โกรธขึ้นมาหรอก”
“ได้ๆ ข้าไม่ออกเสียงแล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงได้ยินก็หันมาสบตากับลูกสาว มองเห็นสีหน้าของฝูหลิงก็พอเดาได้ว่าพ่อของนางอารมณ์ไม่ดี
นางเข้าใจสามีเป็นอย่างดี ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์ไม่ดีในระดับหนึ่ง แต่เป็นเพราะสถานการณ์ถึงขั้นรุนแรงเกินกว่าจะใจดีต่อไปได้ เกรงว่าสามีอยากจะตัดปัญหาให้จบไปจริงๆ
ซ่งหลี่เจิ้งแอบเหล่ตามองซ่งฝูเซิงที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะตะโกนบอกทุกคน
“วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มขาดน้ำแต่ก็ยังมีน้ำใช้ พวกเจ้าก็ทะเลาะกันแล้ว พรุ่งนี้กับวันมะรืนนี้ล่ะจะเป็นอย่างไร และวันอื่นหากหาน้ำไม่ได้ พวกเจ้าไม่รุมตบตีกันเลยหรือ? เพื่อแย่งน้ำกันจนถึงขั้นหยิบกระบวยตักน้ำตีหัว”
มีชายผู้หนึ่งยกมือขึ้น
ซ่งหลี่เจิ้งทำเสียง ‘เฮิง’ ไปทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พูดมา!”
ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นยืน “ท่านลุงหลี่เจิ้ง สหายสาม ใจเย็นๆ ข้าไม่กล้ารับประกันแทนผู้หญิงบ้านอื่น แต่บ้านของข้า ข้ารับรองว่าจะควบคุมพวกนางอย่างดี ข้าพูดจบแล้ว บ้านข้า ข้ามีสิทธิ์ในการพูด”
เมื่อคำพูดนี้จบลงก็มีชายฉกรรจ์อีกหลายคนพูดเสริม
“ใช่ คอยควบคุมดูแลคนในบ้านของตนเองให้ดี เดินมาทั้งวันก็เหนื่อยมากแล้ว เพราะไม่มีน้ำ ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรก็เกิดอารมณ์โมโหได้ง่าย ร้อนอบอ้าวจนแทบทนไม่ไหว ไม่ควรเพิ่มความวุ่นวายอีก”
“ใช่ ท่านลุงหลี่เจิ้ง เมื่อครู่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วย พวกเรากำลังปลดสัมภาระออกมา เผาหญ้าที่ถอนไว้ นี่ต้องเคลียร์พื้นที่ทำอาหาร ไม่งั้นพวกนางจะมาทำเรื่องวุ่นวายนี้ได้อย่างไร ผู้หญิงนี่เรื่องมากสุดๆ จริงๆ”
ซ่งหลี่เจิ้งมองซ่งฝูเซิงแล้วก็ถอนหายใจ “ฝูเซิง เจ้าก็ได้ยินพวกเขาพูดแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่พวกเราหลายสิบครอบครัวจะสามัคคีประหนึ่งเป็นเกลียวเชือกเส้นเดียวกัน ตลอดเส้นทางก็คอยช่วยเหลือกันและกัน ถึงแม้พวกนางจะทะเลาะกันบ้าง แหกกฎที่ตั้งไว้ ไม่สามัคคีกันแล้ว แต่ว่า? อ๊าห์? เจ้าก็พูดสักสองประโยคกับพวกเขาหน่อยดีไหม ทุกคนกำลังรออยู่นะ”
ซ่งฝูเซิงครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
“ปัญหาในตอนนี้ก็มี ข้าก็ไม่รู้ว่าน้ำที่เหลือในตอนนี้จะสามารถหล่อเลี้ยงพวกเราไปได้อีกกี่วัน…
…และไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปข้างหน้าอีกไกลแค่ไหน พวกเราต้องเดินอีกกี่วันถึงจะได้เจอแหล่งน้ำ…
…ยังมีรถลากเทียมล่อ ควาย สัตว์พวกนี้ต้องดื่มน้ำ ยิ่งพวกมันเหนื่อยก็ยิ่งกระหายน้ำมาก สภาพอากาศร้อนแบบนี้ วันหนึ่งต้องดื่มหลายรอบ…
…น้ำเพียงน้อยนิดของพวกเรา แม้แต่คนแก่และเด็ก ลำพังแค่คนก็ยังไม่พอดื่ม แล้วจะให้พวกมันดื่มอย่างไร และต้องดื่มเท่าไรถึงจะพอ?…
…ประหยัดจากน้ำที่พวกเราดื่ม จะสามารถเหลือให้พวกมันดื่มได้กี่วัน?…
…ตอนนั้นสมองของข้ากำลังครุ่นคิดกับเรื่องพวกนี้ แต่ปรากฏว่าพอข้าหันกลับมา ในสิบสี่บ้าน มีเจ็ด แปดครอบครัวที่เกิดการทะเลาะกันขึ้น เกือบจะเกินครึ่งแล้ว…
…ของเจ้า ของข้า ของนาง นี่เยอะไป นั่นน้อยไป ในเมื่อไม่มีความสามัคคี ไม่อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ถ้างั้นพวกเราจะอยู่ร่วมกันไปทำไม!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซ่งฝูเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “พวกเจ้ายังคิดว่าแค่นี้มันยังยุ่งยากไม่พออีกหรือ?”