บทที่ 427 อัครมหาเสนาบดีมู่มาหา
นางเอ็นดูหลานสาวและหลานชายของตนราวกับเป็นลูกของตัวเอง และตอนนี้พี่สะใภ้ก็จากไปแล้ว นางจึงดูแลพวกเขาเหมือนเป็นแม่ของทั้งสองคน
นางสังเกตแววตาขององค์ชายฉี ก็รับรู้ได้ว่าเขารักมู่เสวี่ยจริงๆ นางเข้าใจว่าทั้งสองคนแต่งงานกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเมือง แต่เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะมีใจให้กันอยู่แล้ว และหลังจากนี้ เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ก็น่าจะรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้น
องค์ชายฉีผงกศีรษะ “ท่านน้า อย่าห่วงเลย ข้าจะดูแลนางเช่นนี้ตลอดไป”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจ นี่คือสิ่งที่พี่สะใภ้ฝากให้ข้านำมามอบให้กับหลานเขยในอนาคต” นางหยิบหยกสีแดงเข้มชิ้นหนึ่งขึ้นมา
เมื่อเห็นว่ามันคือหยกโลหิต หนิงเมิ่งเหยาก็ตัวแข็งทื่อทันที
สองพี่น้องมู่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านแม่จะทิ้งสิ่งของมีค่าเช่นนี้ให้กับพวกเขา
เซียวฉีเทียนรับหยกชิ้นนั้นมา ก่อนมองมันอย่างประหลาดใจ
หลังจากนั้น นางหลินก็หยิบกำไลหยกออกมา หนิงเมิ่งเหยาเห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือกำไลหยกล้ำค่า กำไลชิ้นนี้มีราคาสูงมากในท้องตลาด เทียบเคียงได้กับหยกโลหิตเลยทีเดียว
“เซวียนเซวียน นี่คือสิ่งที่แม่สามีของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้”
“ขอบคุณมาก ท่านน้า”
“ไม่ต้องเกรงใจ”
ตระกูลของราชครูหลินพึงพอใจในตัวของเซียวฉีเทียนและซือถูเซวียนอย่างมาก พวกเขารู้สึกว่าคู่รักทั้งสองคู่นี้เหมาะสมกับราวกับคู่สวรรค์สร้าง
เนื่องจากเรื่องของมู่เสวี่ยและครอบครัว จึงทำให้หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ พักอาศัยอยู่ที่จวนราชครู และไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก
สองวันต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆ หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกเหนื่อยล้าราวกับว่ากระดูกของตนจะแตกสลาย นางจึงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องรับแขกถึงสองวันเต็ม
โชคดีที่ทุกคนเข้าใจว่านางกำลังตั้งครรภ์ จึงไม่ถือสา หากเป็นแขกคนอื่นนอนหลับใหลไปสองสามวัน ก็คงโดนตำหนิอย่างมาก
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ราชครูหลินเริ่มตระเตรียมของขวัญและสินสอดทองหมั้นให้กับหลานๆ ของเขา แต่สุดท้าย เขาก็คิดว่ามันดูน้อยเกินไป
ราชครูหลินเริ่มกังวล แต่ทั้งสองคนก็บอกท่านตาว่าพวกตนทำธุรกิจกับหนิงเมิ่งเหยาและได้รับค่าตอบแทนสูง จึงไม่ขาดเหลืออะไร
คำพูดจากพวกเขา ทำให้ราชครูหลินรู้สึกสบายใจขึ้น
ครอบครัวของพวกเขาเข้ากันได้ดี แต่แล้วจู่ๆ แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็มาหา
เขาคืออัครมหาเสนาบดีมู่นั่นเอง
“เจ้ามาที่นี่ทำไม” ราชครูหลินมองผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นชาและเชือดเฉือน
อัครมหาเสนาบดีมู่ตัวแข็งเกร็ง และรู้สึกไม่พอใจ “คารวะ ท่านพ่อตา”
“อัครมหาเสนาบดีมู่ หยุดเสแสร้งเสียที ตระกูลหลินของข้าไม่มีลูกเขยอย่างเจ้า ตอบมาว่าเจ้ามาที่นี่ทำไม” แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอัครมหาเสนาบดี แล้วทำไมหรือ ราชครูหลินไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย หนำซ้ำ เขายังอยากจะตบหน้าชายผู้นี้อีกต่างหาก
มู่เฉินขมวดคิ้วและมองราชครูหลินที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว “ท่านตา อย่าโมโหเลย”
“ตามิได้โมโห ตาแค่รอดูว่าคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้จะได้รับผลกรรมเช่นไรก็เท่านั้น” โชคดีที่เด็กทั้งสองคนมิได้เติบโตมาในตระกูลมู่ มิเช่นนั้นตอนนี้ พวกเขาจะกลายเป็นคนเช่นไรกัน ราชครูหลินมองดูหลานทั้งสองคนอย่างเป็นห่วง และรู้สึกดีใจที่ตอนนั้น ตนเองตัดสินใจเช่นนั้นไป
อัครมหาเสนาบดีมู่มีท่าทีเคร่งขรึม “ท่านพ่อตา อย่างไรเสีย ข้าก็ยังเป็นพ่อของมู่เฉินและมู่เสวี่ย”
“เจ้าเป็นพ่อของสองคนนี้ เพราะว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกับคนดีๆ หรือ เจ้าเคยเลี้ยงดูพวกเขาบ้างหรือไม่ ไม่เลย ทั้งยังปล่อยให้หญิงสาวผู้ชั่วร้ายรังแกพวกเขาอีกต่างหาก เด็กทั้งสองคนเติบโตมากับตระกูลหลินของข้า และไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลมู่ของเจ้า หากหว่านเอ๋อร์ไม่ใส่ใจเจ้า คิดหรือว่าตอนนี้เจ้าจะได้เป็นอัครมหาเสนาบดีที่สูงส่งเช่นนี้ได้” ราชครูหลินตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
ในตอนนั้น ลูกสาวของเขาสังเกตเห็นว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น จึงเตรียมการไว้อย่างดี และทิ้งทรัพย์สมบัติบางอย่างให้กับอัครมหาเสนาบดีมู่ นางต้องการใช้สิ่งของเหล่านั้นเพื่อแลกกับอิสรภาพของลูกทั้งสองคน นอกจากนี้ นางยังบอกอีกว่าอย่าไปทำร้ายตระกูลมู่และให้ปล่อยวาง
ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นคำพูดสุดท้ายของผู้เป็นลูกสาว พวกเขาจึงยอมทำตาม ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เคยระรานตระกูลมู่เลย เมื่อพวกเขาเห็นเด็กสาวจากตระกูลมู่ที่มีนามว่ามู่อวี่เดินเตร็ดเตร่ไปมา พวกเขาก็อยากลงมือทำร้ายนางอยู่หลายครั้ง
“อัครมหาเสนาบดีมู่ หากวันนี้ท่านมาเพื่อยั่วโทสะท่านตา ก็จงกลับไปเสียเถอะ ท่านตาชราภาพเกินกว่าที่จะทนรับเรื่องนี้ได้” มู่เฉินมองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาที่เย็นชา
บทที่ 428 ไม่เคยเจอคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน
เมื่อลูกชายแสดงกิริยาหยาบคายใส่ อัครมหาเสนาบดีมู่ก็ฉุนเฉียวอย่างยิ่ง และชายหนุ่มยังเรียกเขาว่าอัครมหาเสนาบดีมู่ไม่ได้เรียกว่าท่านพ่ออีกด้วย นั่นราวกับเป็นการตบหน้าเขาอย่างจัง
“มู่เฉิน ข้าคือพ่อของเจ้า”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดอะไรมากที่สุด หากคนเราสามารถเปลี่ยนสายเลือดได้ ข้าและเสวี่ยเอ๋อร์ก็อยากจะเอาเลือดสกปรกนี้ออกจากร่างกายให้สิ้น” วาจาของมู่เฉินนั้นฟังดูก้าวร้าว แต่นี่คือสิ่งที่เขาคิดในใจ
“มู่เฉิน เจ้าลูกทรพี”
“ฮ่าๆ ทรพีหรือ ท่านมาที่นี่ มิใช่เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านแม่หรอกหรือ มีทรัพย์สมบัติหลายชิ้นหายไปหรือ หากไม่มีพวกมัน ตระกูลมู่ก็คงจะล่มสลาย พวกเรารู้มูลค่าของทรัพย์สมบัติของท่านแม่ดีว่าพวกมันมีค่ามากมายเพียงใด”
ทำไมมู่เฉินจะไม่เข้าใจผู้ชายตรงหน้าที่คิดแต่จะหาผลประโยชน์จากพวกเขา ทั้งยังไม่ต้องการให้พวกเขาเอาทรัพย์สมบัติของท่านแม่คืนอีกด้วย
ราชครูหลินพูดอย่างเย็นชา “ช่างเป็นคนใจแคบนัก หากทรัพย์สมบัติของท่านแม่ของพวกเจ้าหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว ข้าจะทำให้ตระกูลมู่รู้ซึ้งถึงความเกรี้ยวกราดของข้า หากไม่เชื่อ ก็ลองดูได้”
ความเด็ดเดี่ยวของราชครูหลินทำให้อัครมหาเสนาบดีมู่รู้สึกตื่นตระหนก และรู้สึกว่าตระกูลหลินมีหลักฐานบางอย่างอยู่ในมือที่พร้อมจะเอาผิดตระกูลมู่ได้ ทำให้ตอนนั้น เขายอมให้ตระกูลหลินเลี้ยงดูเด็กๆ ทั้งสองคน
ตอนนี้ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องจริง เขามีหลักฐานอยู่ในมือจริงๆ
“เจ้าขู่ข้าหรือ สิ่งของเหล่านี้เป็นของตระกูลมู่ จะยึดไปทั้งหมดไม่ได้” ตอนนี้อัครมมหาเสนาบดีมู่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองตนเองเช่นไร
อย่างที่มู่เฉินกล่าว หากอัครมหาเสนาบดีมู่ต้องเสียทรัพย์สมบัติทุกอย่างไป ตระกูลมู่ก็คงจะล้มละลายจริงๆ และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากให้เกิดขึ้น
เซียวฉีเทียนหรี่ตาขณะมองการกระทำอันไร้ยางอายของอีกฝ่าย และพูดเย้ยหยัน “อัครมหาเสนาบดีมู่ เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องใหม่สำหรับข้ายิ่งนัก นอกจากชายคนหนึ่งจะเข้ามาก่อปัญหาที่นี่แล้ว เขายังต้องการขโมยทรัพย์สมบัติที่ภรรยาผู้ล่วงลับทิ้งไว้ให้ลูกๆ อีกต่างหาก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าคิดว่าผู้คนจะต้องสนใจข่าวนี้เป็นแน่ จริงไหม นอกจากนี้ ตระกูลมู่ยังขับไล่ไสส่งเสวี่ยเอ๋อร์และพี่ชายของนางออกจากตระกูลตั้งแต่พวกเขายังเด็กอีกด้วย”
“ข้าเคยเห็นคนน่าไม่อายมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยเสริม
คนผู้นี้คิดจะยึดทรัพย์สมบัติของผู้อื่น และยังทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องอีกต่างหาก
ราชครูหลินมิได้โกรธเคืองอีกต่อไป “หมดธุระแล้ว หัวหน้าพ่อบ้าน ส่งแขกเถอะ หากคนในตระกูลมู่มาที่นี่อีก ก็จงไล่พวกเขาไปเสีย อย่าให้พวกเขามาทำให้จวนตระกูลหลินของข้าต้องแปดเปื้อน และหลังจากนี้ เจ้าทั้งสองคนก็ไม่ต้องกลับไปที่แห่งนั้นอีก อยู่ที่นี่กับตาก็พอ”
เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า นับจากนี้ ไม่ว่าหลานสาวและหลานชายจะแต่งงานหรือไม่ พวกเขาก็จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลินเสมอ
มู่เสวี่ยพยักหน้ารับ “เสวี่ยเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านตาเจ้าค่ะ”
“เด็กดี”
“อัครมหาเสนาบดี เชิญเถอะ”
สีหน้าของแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั้นซีดเผือด สลับกับสีหน้าถมึงทึงด้วยความขุ่นเคือง
หลังเขาจากไป หนิงเมิ่งเหยาจึงพูดขึ้น “ชิงเซวียน ส่งคนไปกระจายข่าวว่าอัครมหาเสนาบดีดูหมิ่นราชครูหลิน และยังคิดจะยึดครองทรัพย์สมบัติของภรรยาผู้ล่วงลับไปอีกด้วย”
“ขอรับ คุณหนู”
วันต่อมา หนิงเมิ่งเหยาทำให้เรื่องราวของอัครมหาเสนาบดีมู่แพร่สะพัดไปทั่วท้องถนนอย่างดุเดือด หลังจากผู้คนรับรู้ว่าตอนที่สองพี่น้องตระกูลมู่อยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีนั้น พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานเช่นไรบ้าง เหล่าผู้คนก็รู้สึกยินดีที่สุดท้ายแล้ว ตระกูลหลินเป็นคนเลี้ยงดูสองพี่น้องมา ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่รู้ว่าพวกเขาจะเติบโตมาเช่นไร มู่เฉินจะเป็นท่านชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองเฟิง และมู่เสวี่ยจะยังคงได้เป็นองค์หญิงเสวี่ยผู้มีพรสวรรค์อยู่อีกหรือไม่
โดยเฉพาะเรื่องการแต่งงานระหว่างมู่เสวี่ยและเซียวฉีเทียนที่ถูกประกาศขึ้น นางจะต้องแต่งงานในเร็วๆ นี้ และย้ายไปอยู่เมืองที่ไกลออกไป แต่ตอนนี้ ทรัพย์สมบัติของท่านแม่ที่ทิ้งเอาไว้เป็นสินสอดในงานแต่งงานของผู้เป็นลูกสาว กลับถูกอัครมหาเสนาบดีมู่ตักตวงเป็นของตนเองอย่างเห็นแก่ตัว
ไม่เพียงแค่ยึดทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของตัวเอง แต่เขายังอ้างว่าสิ่งของต่างๆ เป็นของมู่อวี่อีกด้วย
มู่อวี่เป็นใครกัน นางเป็นเพียงลูกสาวผู้ต่ำต้อย แล้วจะควรค่าอะไรกับทรัพย์สมบัติเหล่านั้น นางไม่กลัวฟ้าดินจะลงทัณฑ์ตนเองเลยหรือ
สิ่งที่ทำให้ประชาชนขุ่นเคืองมากที่สุด คือการแต่งงานขององค์หญิงเสวี่ยที่องค์ชายฉีมอบสินสอดทองหมั้นเป็นของขวัญจำนวนมาก แต่พวกเขาก็ยังโลภ ต้องการสินสอดเล็กๆ น้อยๆ อีกอยู่ดี