เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานต่างรักและทะนุถนอมเสี่ยวฟ๋านฟ๋านจากใจจริง แต่เพราะรักและทะนุถนอมจากใจจริงนี่เอง พวกเขาถึงได้อยากหาครอบครัวที่เหมาะสมเพื่อฝากวานให้เลี้ยงดูนาง นางจะได้เติบโตอย่างเป็นสุขและมีความสุขเหมือนเด็กทั่วไป
เจียงป่าวชิงกระแอมไอเบา ๆ พลางพลิกกระดาษรายชื่อนั้นเพื่อทำการเลือกอย่างละเอียดรอบคอบ
กงจี้ในเวลานี้นั่งอยู่บนพื้นที่ยกสูง นิ้วเรียวของเขาเคาะลงบนโต๊ะเบา ๆ ขณะที่พูดกับเจียงป่าวชิงอย่างเอ้อระเหยไปด้วย “ข้าว่าครอบครัวแซ่สู่นั้นไม่เลวเลย”
เจียงป่าวชิงหยิบกระดาษหน้าที่มีรายชื่อของครอบครัวที่แซ่สู่มาอ่าน ข้างบนเขียนว่า: ตระกูลสู่ วัยสี่สิบปี ในบ้านมีพ่อแม่ที่แข็งแรงอยู่ หนึ่งเมียหลวงสี่เมียน้อย บ้านฐานะร่ำรวย มีที่ดินร้อยไร่ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสุภาพอ่อนโยน เพื่อนบ้านชื่นชม…
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้ว นางวางกระดาษลงแล้วมองกงจี้ “ที่บ้านมีแค่ที่ดินร้อยไร่ แต่มีเมียน้อยตั้งสี่คน นั่นหมายความว่าผู้ชายแซ่สู่คนนี้น่าจะไม่ใช่คนที่ร้อนใจอะไร เขาก็แค่ต้องการมีเด็กรุ่นต่อไป โดยปกติแล้วครอบครัวแบบนี้มักหวังอยากได้เด็กผู้ชาย ฟ๋านฟ๋านของเราไปที่นั่นก็อาจจะอยู่ได้ไม่สุขก็ได้นะ”
ในตอนนี้เอง ฝูฉูถือส้มที่ปอกเปลือกและจัดเตรียมแล้วเข้ามาส่ง นางได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นยิ้ม ๆ “เป็นเรื่องปกติที่ใครต่างก็อยากมีเด็กผู้ชายมาสืบตระกูล แต่เสี่ยวฟ๋านฟ๋านไปที่นั่นอาจจะมีชีวิตที่ดีก็ได้นะ เจ้าก็คิดมากไปหน่อยกระมัง”
ความหมายในคำพูดนี้ของฝูฉูคือ…เจียงป่าวชิงจู้จี้จุกจิกเล็กน้อย
กงจี้โบกมือเพื่อให้ฝูฉูนำส้มไปวางใกล้ ๆ เจียงป่าวชิง “นางชอบกินของเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แบบนี้ เอาไปวางที่นางเถอะ”
ฝูฉูแข็งทื่อไปเล็กน้อย นางพูดยิ้ม ๆ “ข้าน้อยไม่ใส่ใจเองเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะนำมาให้ท่านชายอีกจาน” พูดเสร็จ นางก็นำส้มที่เตรียมแล้วจานนั้นไปวางบนโต๊ะที่อยู่ข้างเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงมองฝูฉูนิ่ง ๆ “ที่ข้ากับพี่ชายตัดสินใจจะส่งฟ๋านฟ๋านไปให้คนอื่นเลี้ยงก็เพื่ออยากให้ฟ๋านฟ๋านมีชีวิตอย่างเป็นสุขและมีความสุข ข้าไม่อยากพนันกับคำว่า ‘อาจจะ’ ของพี่”
ฝูฉูก้มหน้ายิ้ม ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
กงจี้พูดขึ้น “ไม่เป็นไร ที่ข้าจัดรายชื่อพวกนี้มาก็เพื่อให้เจ้าได้เลือกจากในนี้ ครอบครัวพวกนี้เป็นครอบครัวที่ไว้ใจได้ ครอบครัวไหนที่เจ้าคิดว่าดี เราก็จะส่งฟ๋านฟ๋านไปที่ครอบครัวนั้น”
เจียงป่าวชิงรู้สึกพึงพอใจต่อหลักการของกงจี้มากจึงพยักหน้า ก่อนจะเช็ดมือด้วยผ้าเช็ดหน้าเพื่อไปหยิบส้มเข้าปากสักหน่อย นางเคี้ยวส้มอย่างระมัดระวังและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม “อื้ม ส้มนี้ไม่เลวเลย เปรี้ยวหวานพอดี อร่อยกำลังดีเลยล่ะ”
ฝูฉูคิดในใจว่าส้มนี้เป็นเครื่องบรรณาการ เป็นส้มที่ตระกูลช่างส่งมาให้กงจี้โดยเฉพาะ ทำไมมันถึงจะไม่ดีล่ะ
กงจี้พูดขึ้นอย่างเอ้อระเหย “ในเมื่อเจ้าชอบกิน กลับไปเดี๋ยวข้าจะให้คนเอาอีกตะกร้ามาส่งที่บ้านเจ้าแล้วกัน”
ฝูฉูก้มหน้าเพื่อปกปิดความตกใจในดวงตา ท่านชายของนางชอบส้มประเภทนี้มาก นางไม่คิดว่าเขาจะให้เอาอีกตะกร้ามาส่งที่บ้านของเจียงป่าวชิงเช่นนี้ มือของนางที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น นิ้วมือของนางแทบจะจิกเข้าไปในเนื้ออยู่แล้ว
เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ทั้งตระกร้าเลยรึ ? ข้าว่าเจ้าแบ่งไว้กินเองบ้างเถอะ ข้ากินไม่หมดหรอก”
กงจี้เลิกคิ้วแล้วพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ข้าก็แค่ต้องการให้ฟันทั้งปากของเจ้ารู้สึกเปรี้ยวจนหลุดออกมาทั้งหมด ข้าอยากรอดูว่าต่อไปเจ้าจะปากดีและทำให้ข้าโมโหยังไงอีก”
เจียงป่าวชิงทำตาขวางใส่กงจี้ แต่กลับอดอมยิ้มออกมาไม่ได้
ฝูฉูทนไม่ไหวกับบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่างกงจี้กับเจียงป่าวชิงจริง ๆ นางจึงถอนสายบัว “ข้าน้อยจะไปหั่นส้มให้ท่านชายนะเจ้าคะ”
กงจี้กับเจียงป่าวชิงไม่ได้สนใจฝูฉูเลย ฝูฉูจึงเดินออกไป
เจียงป่าวชิงกินส้มเสร็จก็ทำความสะอาดมือ จากนั้นก็พลิกดูกระดาษรายชื่ออีกครั้ง นางรู้สึกลังเลอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็หยุดตรงหน้าไหนสักหน้าและมองอย่างเนิ่นนาน
กงจี้เอ่ยถาม “ว่าไงล่ะ ครอบครัวไหน ?”
เจียงป่าวชิงจึงยื่นให้กงจี้ดู
ก่อนหน้านี้กงจี้เคยดูรายชื่อพวกนี้แล้วเช่นกัน เขาเพียงแค่เห็นคำว่าแซ่บนหัวกระดาษก็จำได้ทันที “ครอบครัวนี้แซ่อัน ข้าจำได้ว่าสมาชิกในครอบครัวนี้ร่างกายอ่อนแอมาก เดิมทีเป็นครอบครัวใหญ่ ต่อมาเหลือเพียงสามีกับภรรยาสองคน ผู้ชายมาจากครอบครัวทหาร อายุเยอะแล้วและได้รับบาดเจ็บ ตาข้างหนึ่งก็มองไม่เห็นแล้ว แต่ถึงยังไงสามีภรรยาคู่นี้มีสัมพันธภาพที่ดีมาก เมื่อก่อนเคยมีลูกชาย ตอนที่ลูกชายของพวกเขาอายุสิบหกปีก็ได้ไปสู้รบและเสียสละชีวิตตัวเองในที่สุด คนอื่นพูดกล่อมให้เหล่าอันคนนี้รับเมียน้อยมาเพื่อสร้างทายาท แต่เหล่าอันไม่เคยพยักหน้าตกลงเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “สมาชิกในครอบครัวร่างกายอ่อนแอ และไม่มีความสัมพันธ์ครอบครัวที่ซับซ้อนอะไร เห็นบนสมุดเขียนว่าลูกชายที่เสียสละชีวิตของคุณลุงอันก็โดดเด่นมากเช่นกัน แสดงว่าสามีภรรยาคู่นี้สั่งสอนเด็กเป็น คุณลุงอันรักภรรยา และที่เขาไม่ยอมรับเมียน้อยก็เพื่อภรรยาของเขาเอง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความชอบธรรม ครอบครัวแบบนี้คงจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเสี่ยวฟ๋านฟ๋าน”
เจียงป่าวชิงวิเคราะห์ได้อย่างมีหลักการจริง ๆ
กงจี้พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “อืม แต่มีอย่างหนึ่ง ครอบครัวนี้ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนครอบครัวอื่นในรายชื่อพวกนี้”
เจียงป่าวชิงกลับไม่สนใจ “ไม่ร่ำรวยไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับฟ๋านฟ๋านแล้ว อีกย่าง ข้าเห็นว่าฐานะทางบ้านของครอบครัวพวกเขาดีกว่าบ้านของคนทั่วไปมาก เราต่างเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ต้องการที่จะร่ำรวยสูงส่งอะไร แค่ให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างเป็นสุขและราบรื่นก็เพียงพอแล้วล่ะนะ”
กงจี้ไม่ได้เสนอความเห็นใด ๆ อีก เขาเพียงแค่พูดขึ้นสั้น ๆ “แล้วแต่เจ้า”
เจียงป่าวชิงกลับไปปรึกษากับเจียงหยุนชานอีกครั้ง และเจียงหยุนชานเองก็คิดว่าครอบครัวแซ่อันเป็นตัวเลือกที่ไม่แย่ ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงกันว่าจะส่งฟ๋านฟ๋านตัวน้อยไปที่ครอบครัวแซ่อัน
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานยังไม่เบาใจ ตอนที่พาเด็กไปส่ง เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานตั้งใจตามไปดูด้วย เมื่อเห็นลุงอันกับป้าอันอุ้มเด็กอย่างเอ็นดูจากใจจริง พวกเขาถึงจะสบายใจมากขึ้น ความรักแบบที่ลุงป้าคู่นี้แสดงออกต่อเสี่ยวฟ๋านฟ๋านนั้นไม่สามารถเสแสร้งได้
ป้าอันจับมือเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานแล้วพูดอย่างจริงใจ “พวกเจ้าเป็นเด็กดี ไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่สามารถเลี้ยงเสี่ยวฟ๋านฟ๋านให้เป็นเด็กดีเลี้ยงง่ายได้แบบนี้ พวกข้าพักอยู่ที่จังหวัดหยูเฟิง ไม่ถือว่าไกลเท่าไหร่ ต่อไปพวกเจ้าก็มาเยี่ยมเสี่ยวฟ๋านฟ๋านได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เราสองครอบครัวเดินไปมาหากันเหมือนเป็นญาติกันก็ได้”
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานตอบรับพร้อมกัน
แต่ตอนกลับ ทั้งเจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงไม่ได้มีอารมณ์ใด ๆ มากนัก ทั้งสองคนต่างรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน พวกเขายังไม่ได้นั่งพักกินน้ำก็เห็นฝูฉูวิ่งมาทางนี้อย่างลุกลี้ลุกลน
ฝูฉูเห็นเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิง นางก็คุกเข่าลงและโน้มศีรษะให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง “แม่นางเจียง คุณชายเจียง ข้าขอร้องพวกเจ้าช่วยน้องสาวของข้าด้วยเถอะ”
เจียงหยุนชานตกใจ เขายึดมั่นในหลักปฏิบัติที่ว่าหญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกันจึงไม่เข้าไปประคองฝูฉู แต่เลือกที่จะหลบหลีกทิศทางที่ฝูฉูโน้มศีรษะแล้วหันไปมองเจียงป่าวชิงอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ป่าวชิง นี่…”
เจียงป่าวชิงเดาได้ตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นท่าทางของฝูฉูในตอนนี้ ก็ยืนยันความคิดก่อนหน้านี้ของนางได้แล้ว นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “เหอะ ๆ ช่วยน้องสาวของพี่อย่างนั้นรึ แล้วน้องสาวของพี่ทำผิดอะไรล่ะ ?”
ฝูฉูร้องไห้จนน้ำตานองหน้าพลางนางลุกขึ้น “แม่นางเจียง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้ามาโดยตลอด แต่ตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตคน น้องสาวข้าอายุยังน้อย นางไม่เข้าใจอะไร ถึงแม้ว่านางจะกระทำความผิด นางก็ไม่ได้เจตนา แต่เจ้า… เจ้าไม่เห็ยจำเป็นต้องพูดจาไร้เหตุผลแบบนี้ก็ได้หนิ”
เดิมทีเจียงหยุนชานกำลังฟังอย่างงุนงง แต่เมื่อเขาได้ยินประโยคหลัง คิ้วเขาก็ขมวดมุ่น “ป่าวชิงพูดจาไร้เหตุผลตรงไหน ? เป็นแม่นางฝูฉูต่างหากที่มาแสดงความเคารพต่อเราสองพี่น้องแบบนี้ก่อน แต่กลับไม่ยอมพูดจาให้ชัดเจนว่าอะไรยังไง น้องสาวของข้าถามแค่คำถามเดียว เจ้าก็มามีท่าทีเช่นนี้ ยังไงข้าก็ขอเชิญให้เจ้าลุกขึ้นและกลับไปเถอะ”