พ่อของชายหนุ่มเงียบไป จนกระทั่งภรรยาของเขาโทรหา
“เรามาลองวิธีแรกกันก่อนดีไหม?”
“ได้สิครับ ถ้าคุณไปที่เขาหลงหู ช่วยบอกผมก่อนด้วยนะครับ ฉันสามารถแนะน่าคนให้คุณรู้จักได้”
“เป็นผู้ฝึกตนเหรอ?”
“ใช่ครับ”
“ขอบคุณมาก นี่เป็นค่าให้คําปรึกษา”
หวังเข้ารับค่ารักษามาเพียงจํานวนหนึ่งเท่านั้น บอกตามตรง เขาค่อนข้างให้ความสนใจอาการของชายหนุ่มอยู่พอสมควร
เขารู้สึกว่าความเป็นไปได้ในการใช้วิธีแรกในการรักษาชายหนุ่มให้หายได้นั้นเกือบเป็นศูนย์มันทําได้เพียงสะกิดความคิดที่ต้องการบ่มเพาะและกลายเป็นเซียนของเขาให้สั่นคลอนได้เล็กน้อยเท่านั้นในขณะที่วิธีที่สองกับสามนั้นดูจะเหมาะสมกับการรักษามากกว่าถึงแม้ความเสี่ยงจะมีอยู่ก็ตามที่พ่อแม่ของชายหนุ่มคงไม่ยอมลองวิธีการทั้งสองง่ายๆเป็นแน่
ภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้าน
เจี้ยจื้อจายคาบบุหรี่ไว้ในปาก เขามองไปที่หมอพิษที่นอนอยู่บนพื้นพร้อมกับพลังชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
“บอกตามตรงนะ ฉันออกจะพอใจกับความโชคร้ายของแกอยู่นิดหน่อย” เจี้ยจื้อจายพูดแล้วพ่นควันออกจากปาก
“แกรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงใช่ไหม? แม้แต่จะเปิดปากเพื่อด่าฉันแกก็ยังไม่มีแรงใช่รึเปล่า?” เขาถาม“ฉันเคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อนเหมือนกัน”
“เชียนเชิงดูสงบนิ่งเหมือนฤษีที่ละเรื่องทางโลกแล้ว” เจี่ยจื้อจายพึมพํากับตัวเองในขณะที่นั่งยองอยู่ที่พื้น “แต่ถ้าเกิดแกไปให้เขาไม่พอใจขึ้นมาฉันคิดว่าแกคงทําได้แค่หนีไปอยู่อีกมุมของโลกถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ถึงเวลาตายของแกแล้ว”
“เชียนเชิงบอกว่า แกจะอยู่ได้อีกสามวันสินะโอ๊ะไม่สิอีกสองวันต่างหากขอให้สนุกกับช่วงเวลานี้ล่ะดีไหม?”
เมื่อพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ในขณะที่นอนอยู่บนพื้น หมอพิษคิด ยังเหลืออีกตั้งสองวัน! ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว!ฉันขอตายดีกว่า!
เขาอยากตาย แต่เขาทําไม่ได้
ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหดหู แต่เขาก็ไร้หนทาง
บนเขาซานชิงที่ไกลออกไปหลายพันไมล์
ชายชราผู้ฝึกตนในวัยหกสิบก่าลมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
เขารู้สึกแปลกใจที่ยังมีคนต้องการกลายเป็นเซียน ซึ่งเป็นเรื่องเพียงเรื่องเพ้อฝันเขาต้องการชักจูงชายหนุ่มไปอีกทาง แต่ก็ได้รู้ว่าชายหนุ่มดึงดันมากแค่ไหนชายหนุ่มถึงขั้นต้องการสนทนาเรื่องวิธีการบ่มเพาะกับเขาล้อเล่นรึเปล่า! เขาฝึกฝนทางเต่อยู่บนเขาลูกนี้มานานหลายสิบปีแต่กลับมีชายหนุ่มอายุแค่ยี่สิบต้นๆอยากสนทนาวิถีการฝึกตนกับเขา เขาจึงตัดสินใจไหลไปตามน้ําและสนทนากับชายหนุ่ม เขาต้องการทําให้ชายหนุ่มได้รู้ถึงความซับซ้อนของเรื่องเหล่านี้รวมไปถึงความกว้างใหญ่ ของจักรวาล
ชายชราและชายหนึ่งยืนอยู่บนเนินเขาและเริ่มสนทนาวิถีแห่งการฝึกตนอยู่ภายในป่าผลลัพธ์ที่ออกมากลับทําให้ชายชราต้องตกตะลึงไม่เพียงชายหนุ่มจะอ่านคัมภีร์แต่เขายังมีความรู้ในเรื่องการฝึกคนอย่างลึกซึ้งทุกค่าที่เขาพูดล้วนฟังดูสมเหตุสมผลและเต็มไปด้วยความรู้สุดท้ายเขากลับเอาชนะไม่ได้แต่ชายหนุ่มก็เช่นเดียวกันทั้งสองต่างเสมอกัน
“เจ้าหนุ่ม ความรู้ของเธอมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม”นักพรตเต๋พูด “ฉันรับรู้ได้แต่เธอดึงเกินไปตัวอักษรสังหารแต่จิตวิญญาณมอบชีวิตความรู้มากมายที่เธอเรียนมาได้รับการทดสอบและพิสูจน์มาแล้ว”
“ท่านก็มีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ต่างจากนักพรตเต๋พวกนั้น” ชายหนุ่มพูด “ไม่ใช่ว่าการฝึกตนก็เพื่อการได้กลายเป็นเซียนหรอกเหรอ?”
“เธอผิดแล้ว เจ้าหนุ่ม สิ่งแรกที่เราต้องทําก็คือการบ่มเพาะจิตใจและจิตวิญญาณก่อนจะออกเสาะหาวิถีแห่งการบ่มเพาะที่แท้จริง เธอลุ่มหลงกับการที่จะกลายเป็นเซียนมากเกินไปและมันทําให้เรื่องเลวร้ายลงไปกว่าเดิม”
“อะไรคือดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด? ผมขอถามท่านสักอย่าง จุดประสงค์ในการฝึกตนอยู่บนเขาของท่านคืออะไร?”
“ในตอนเริ่มต้น มันเป็นเพราะความต้องการที่จะหนีและมีชีวิตรอด” ชายชราพูด “ฉันไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งไปกว่านั้นแต่หลังจากนั้นฉันก็เริ่มชอบมันบนเขาลูกนี้ทําให้จิตใจของฉันสงบร่างกายและจิตใจของฉันเป็นอิสระตั้งแต่นั้นมาฉันก็ฝึกฝนวิถีแห่งการบ่มเพาะ”
“ถ้าอย่างนั้น ในตอนเริ่มต้นของท่านก็ไม่บริสุทธิ์น่ะสิ?”
“ถูกแล้ว”
ชายหนุ่มตกตะลึง เขาไม่คิดว่าชายชราจะซื่อตรงขนาดนี้ ดวงตาของเขาสงบและเปิดกว้างจิตใจของเขาจมลงสู่ความคิดลึกซึ้ง
“ผมยังอยากบ่มเพาะและกลายเป็นเซียน”
“ทําตามที่เธอต้องการเถอะ” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นความดื้อดึงของชายหนุ่มตรงหน้าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้อีก
“ที่นี่ยังมีผู้ฝึกตนที่สูงและฉลาดกว่าท่านอีกไหมครับ?”
“มีสิ เธอลองมองหาดูอาจจะพบเขาก็ได้”
“ได้ครับ!”
ชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนเขาต่อด้วยแววตามุ่งมั่น
เฮ้อ เขากําลังเดินไปบนหนทางสู่นรก ชายชราถอนหายใจเมื่อมองตามแผ่นหลังผอมบางของชายหนุ่มไป
สังคมในปัจจุบันมีการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และเทคโนลยจนก้าวหน้าไปไม่รู้เท่าไหร่แล้วทําไมถึงยังมีคนที่มีความคิดเพ้อฝันแบบนี้อยู่อีก?
ชายหนุ่มเดินไปรอบๆเขาซานซึ่งและได้พบเจอกับนักพรตหลายคนแต่เขาก็ต้องผิดหวังคนพวกนี้ล้วนเป็นพวกเสแสรั้งสวมชุดนักพรตพวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนอย่างแท้
จริง
เขาควรลงจากเขาดีหรือไม่?
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
เขาค้างคืนอยู่ภายในวัดเต่ที่ตั้งอยู่บนเขา
พระจันทร์ดูราวกับตะขอเกี่ยว ภูเขามืดมิดและเงียบสงัด
ภายในวัดเต่า ชายหนุ่มได้พบกับนักพรตชรา เขาดูกระเซอะกระเซิงและสกปรกเล็กน้อยในเมื่อชายหนุ่มนอนไม่หลับ เขาจึงเริ่มพูดคุยกับนักพรตชราในตอนที่พวกเขาพูดคุยกัน ชายหนุ่มก็ต้องตกใจค่าพูดของนักพรตชราทําให้เขารู้สึกกระจ่างแจ้ง
เขาเป็นผู้ฝึกตนเหรอ?
ชายหนุ่มทั้งตกใจและยินดี มันเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนบ่มเพาะเพื่อกลายเป็นเซียนเพียงล่าพังในที่สุดเขาก็ได้พบสหายแล้ว
ชายหนุ่มนอนไม่หลับเป็นเวลานาน
ค่าพูดของนักพรตชราทําให้เขายินดี แต่มันก็ทําให้เขากังวลและเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
ความคิดในเรื่องการบ่มเพาะเพื่อกลายเป็นเซียนของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
“ระหว่างฟ้าและดิน อะไรคือเทพ?”
วันต่อมา แสงตะวันยามเช้ในความรู้สึกอบอุ่นและพึงพอใจ
ชายหนุ่มตื่นแต่เช้าเพื่อสอบถามเรื่องของนักพรตชรา แต่คนในวัดเต่กลับไม่รู้เรื่องเขาเลย
“อาจารย์ลุงมักจะฝึกฝนวิถีแห่งการบ่มเพาะอยู่ในเขา เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
เขาซานชิงนั้นกว้างใหญ่ มันเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาใครสักคน
ช่างมันเถอะ ชายหนุ่มลงจากเขาด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ฉันจะลองไปที่เขาหลงหูดูสักครั้ง!
ที่นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋ และเป็นที่ที่บรรพบุรุษของปรมาจารย์เต๋เคยอาศัยอยู่
ในเหลียนชานที่ไกลออกไปหลายพันไมล์
เจิ้งเหว่ยจวินมาที่หมู่บ้านเพื่อพบกับหวังเย้าโดยเฉพาะ
“เชียนเชิง เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ของบริษัทหนานชานเภสัชได้ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว” เขาพูด “อุปกรณ์การผลิตยาก็ก่าลังทําการติดตั้งอยู่คิดว่าใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนก็จะสามารถเริ่มต้นการผลิตได้แล้ว”
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
“วันนี้เชียนเชิงว่างเปล่า เราไปดูกันไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ได้สิครับ ถ้าไปตอนบ่ายคุณสะดวกรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“สะดวกครับ” เจิ้งเหว่ยจวินรีบตอบ
เช้าวันนั้น มีคนไข้สองรายที่โทรมานัดเพื่อเข้ามารักษา แต่พวกเขาก็ยังไม่มาหวังเย้าจึงต้องรอพวกเขาอยู่ที่คลินิกก่อน
เจิ้งเหว่ยจวินอยู่คุยกับเขาสักพัก เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาในคลินิกเขาก็เป็นฝ่ายขอตัวออกมา
ช่วงเช้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีคนไข้คนไหนที่มีอาการหนัก
ตอนเที่ยง หวังเย้าเชิญเจิ้งเหว่ยจวินไปทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารไม่ไกลจากหมู่บ้านหลังจากนั้นพวกเขาก็ไปที่บริษัทหนานชานเภสัชด้วยกัน
การดําเนินการในส่วนสําคัญของบริษัทเป็นไปด้วยดี กําแพงถูกก่อขึ้นตัวตึกถูกสร้างเสร็จแล้วพื้นด้านในแห้งสนิทดีมีรถบรรทุกสองคันกาลังขนอุปกรณ์ผลิตยาลงจากรถ
“นี่คือเครื่องผลิตยาที่ล้ำหน้าที่สุดในประเทศครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
ทั้งสองเดินดูรอบๆตึกที่เพิ่งสร้างใหม่
เมื่อเดินไปถึงมุมทิศเหนือของตึก หวังเย้าก็ชี้ไปที่ช่องว่าง “ที่ตรงนั้นต้องเปลี่ยนนะครับ”
“เราจะเปลี่ยนยังไงเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“เอารูปปั้นมือมาไว้ตรงนี้” หวังเย้าเดินไปตรงจุดนั้น เพียงออกแรงเหยียบลงไปเล็กน้อยพื้นตรงนั้นก็ยุบลงไป
เมื่อเจิ้งเหว่ยจวินเห็นแบบนั้น เขาก็รีบกวักมือเรียกคนข้างกายที่ใช้งานง่ายมาคนหนึ่งในเวลาไม่นานผู้ดูแลการก่อสร้างก็วิ่งเข้ามาหาพวกเขา
“เชียนเชิง หินแบบไหนถึงจะเหมาะกับที่นี่ครับ?”
“อืม หินบนภูเขาหินที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ก็ได้ครับ ความกว้างและส่วนสูงไม่น้อยกว่า 2 เมตรถ้าจะให้เหมาะที่สุดก็ต้องสัก 3 เมตร
“ผมเข้าใจแล้ว ไปหาก่อนที่ดีที่สุดมา” เจิ้งเหว่ยจวินพูดกับคนที่รับผิดชอบ
“ครับ คุณเจิ้ง”
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว เจิ้งเหว่ยจวินก็ถามด้วยความสงสัยว่า “ที่ตรงนี้มีปัญหาอะไรเหรอครับ เขียนเชิง?”
“มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับอากาศของที่ตรงนี้” หวังเย้าตอบ
เมื่อเขายืนอยู่ตรงจุดนั้น เขาก็รู้สึกถึงลมเย็นที่พัดมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมันทําให้เขารู้สึกอึดอัด เขาจึงคิดที่จะวางหินสักก้อนเอาไว้ตรงนี้เพื่อกันลม
“เชียนเชิงกําลังพูดเรื่องอากาศอยู่เหรอครับ? เขียนเชิงรู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วยเหรอ?”เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“เอ่อ มันก็เรื่องของความรู้สึกเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
สิ่งที่เรียกว่าฮวงจุ้ยก็คือเรื่องพลังงานระหว่างฟ้าดิน
หลังจากเดินไปรอบๆอีกเล็กน้อย ในที่สุดทั้งสองก็มองไปยังจุดที่ติดตั้งอุปกรณ์เอาไว้วิศวกรผู้ชํานาญการได้อธิบายเรื่องอุปกรณ์ให้พวกเขาฟัง
“มันต้องใช้เงินเยอะรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ครับ เป็นธรรมดาที่ของดีจะมีราคาแพง แล้วพวกเราก็ยังใช้ของที่ดีที่สุดด้วย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด เขายอมแพ้ที่จะสู้เพื่อสิทธิและทรัพย์สินของตระกูลรวมไปถึงอานาจในหลายเมืองทางใต้และหุ้นในอีกหลายโรงงานความต้องการของเขามีเพียงหุ้นของตระกูลเจิ้งที่มีอยู่ในบริษัทหนานชานเภสัชจะต้องเป็นของเขาทั้งหมดและทางตระกูลก็ตกลงตอนนี้หวังเย้าคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทและเขาก็เป็นอันดับที่สองตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะเป็นคนที่มีอานาจการบริหารหลังจากที่บริษัทก่อตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ผมตั้งใจจะอยู่ที่นี่ยาวเลยครับ เขียนเชิง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด เขาไม่ต้องการเข้าไปยุ่งกับธุรกิจของตระกูลอีกต่อไป ดังนั้น ความสนใจทั้งหมดของเขาจึงทุ่มให้กับบริษัทใหม่แห่งนี้
“ดีครับ ผมยินดีต้อนรับ” หวังเย้าพูด
“แล้วผมก็อยากซื้อบ้านในหมู่บ้านสักสองหลังด้วย” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ได้สิครับ ที่นั่นยังเหลือบ้านว่างอีกหลายหลังเลย” หวังเย้าตอบ
บ่ายวันนั้น เจิ้งเหว่ยจวินได้ไปหาหวังเจียนหลี่เพื่อซื้อบ้านสองหลังที่อยู่ติดกันเขาได้ติดต่อช่างที่จะเข้ามาปรับแก้และตกแต่งบ้านใหม่ให้เขา
คืนนั้น หวังเจ๋อเชิงมาที่บ้านของหวังเย้า เขานําของขวัญติดมือมาด้วย
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“โรงงานผลิตยาจะเริ่มผลิตเมื่อไหร่เหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ทําไมครับ? อยากไปทํางานที่นั่นเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่” หวังเจ๋อเชิงตอบ เขาเห็นหวังเย้าอยู่กับเจิ้งเหว่ยจวินในตอนบ่ายเขาจึงได้แวะมาหาหวังเย้าในตอนกลางคืน
“ถ้ารู้ว่าเมื่อไหร่แล้วผมจะบอกนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ได้ ขอบคุณนะ”
หลังจากนั่งพูดคุยกันได้สักพัก หวังเจ๋อเชิงก็ลุกขึ้นและกลับไป
“รอเดี๋ยวครับ พี่แค่มานั่งคุยกับผมเท่านั้น เอาของพวกนี้กลับไปเถอะ” หวังเย้าพูด“คราวหน้า ไม่ต้องเสียเงินซื้อของพวกนี้มาแล้วนะครับ”
“จะทําแบบนั้นได้ยังไง?” หวังเจ่อเชิงพูด
“ผมบอกให้เอากลับไปก็เอากลับไปเถอะครับ” หวังเย้าพูด “ผมจะเอาไว้แค่ผลไม้ผมมีชาอยู่ด้วยเอากลับไปให้คุณลุงกินนะครับ”
หวังเจ๋อเชิงทําได้แค่ยอมแพ้ ขากลับ เขายังมีชาติดมือกลับไปด้วยแถมยังเป็นของที่แค่มองก็รู้ว่ามีราคา