รอบที่สองกลับเป็นโล่วปิงที่เลือกศิษย์สายนอกผู้หนึ่งออกมาด้วยตัวเอง ศิษย์ผู้นี้ถือได้ว่ามีร่างกายที่กำยำเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีท่าทางที่องอาจ ดูไปแล้วมีความสามารถที่สูงเลยทีเดียว
ทว่ารอบนี้หลงเฉินก็ยังคงไม่ได้เลือกให้ผู้ใดออกไป เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่ได้มีคำสั่งเลือกใครออกมา ศิษย์สายนอกของพรรคฟ้าดินผู้หนึ่ง จึงกระโดดขึ้นไปบนเวทีประลอง
ศิษย์ผู้นั้นหลงเฉินก็รู้จักดี เมื่อครั้งอยู่ในการทดสอบของหมู่ตึกก่อนหน้านี้ ในขณะที่กำลังจะข้ามฟาก และต้องผ่านปลาปากเสือที่อยู่ในแม่น้ำ หลงเฉินได้เคยช่วยเหลือเขามาครั้งหนึ่ง
เดิมทีแล้วเขาเป็นลูกน้องของชีซิ่ง ทว่าเนื่องจากสำนึกในบุญคุณของหลงเฉิน ทั้งเขายังเป็นผู้บอกเรื่องที่ซีชิ่งทำร้ายเสี่ยวเสว่ย หลงเฉินจึงได้รับเขาเข้ามาอยู่ด้วยในพรรคฟ้าดิน
เจ้าหนูผู้นี้มีนามว่าจูเฟิง ถือได้ว่ามีพรสวรรค์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว ในบรรดากลุ่มของศิษย์สายนอกด้วยกันนั้น ถือว่าเขาเป็นระดับผู้นำได้เลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าเป็นจูเฟิงที่กระโดดขึ้นไปบนเวทีประลอง หลงเฉินก็พยักหน้าส่งให้ พลางคิดในใจว่า มีแต้มคุณประโยชน์อีกแปดหมื่นแต้มให้เก็บเข้ากระเป๋าอีกแล้ว
ชายหนุ่มร่างกำยำผู้เข้าประลองจากฝ่ายหมู่ตึกที่สามสิบหกนั้น มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลาง เมื่อเห็นจูเฟิงที่มีพลังเพียงแค่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนต้น กล่าวขึ้นมาอย่างเหยียดหยามว่า
“เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า รีบไสหัวไปซะ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
“ลงมือเถอะ!” จูเฟิงส่ายหน้า แล้วชักกระบี่ยาวของตนเองออกมา
“ได้ ในเมื่อเจ้าอยากตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
ชายหนุ่มร่างกำยำกล่าววาจาออกมาอย่างเย็นชา ในมือปรากฏเป็นกระบี่หนาเล่มหนึ่งขึ้น ดูแล้วน่าจะหนักไม่น้อยเลยทีเดียว คาดว่าเขาคงจะเป็นคนประเภทที่เชี่ยวชาญในด้านการใช้กำลังกายแล้ว
“ซูม”
กระบี่ยาวของเขาสะบัดออก พุ่งเข้าหาจูเฟิงอย่างรวดเร็ว ตลอดทั่วทั้งร่างคล้ายกับกลายเป็นเงาลวงตาไป เงานั้นปรากฏเป็นสายเงาที่พล่านเลือนรูปร่างไม่ชัดเจน แต่เปี่ยมไปด้วยพลังเปลี่ยนแปลงกลับกลาย
ทางด้านศิษย์ของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก เมื่อเห็นดังนั้นต่างก็โห่ร้องยินดี บางคนร้องตะโกนชื่นชมเขาว่ายอดเยี่ยม ในบรรดาศิษย์สายนอก ชายรูปร่างกำยำผู้นี้ถือได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
เขาไม่แต่เพียงมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่ง ในด้านพลังกายก็ถือได้ว่าแข็งแกร่งไม่แพ้กัน ในยามที่ต่อสู้ จึงสามารถสร้างความได้เปรียบได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้แทงกระบี่เข้ามา จูเฟิงก็ทำราวกับมองไม่เห็นปลายกระบี่ในมือของเขาเลยก็มิปาน ใช้กระบี่ยาวในมือแทงสวนเข้าไปยังจุดที่เป็นกลางหัวใจของอีกฝ่ายในทันที ซึ่งการโจมตีของจูเฟิงนั้นทั้งรวดเร็วและแม่นยำกว่าอีกด้วย
เมื่อเห็นการตอบสนองของจูเฟิงเช่นนั้น ชายหนุ่มร่างกำยำก็อดที่จะสะดุ้งตกใจขึ้นมาไม่ได้ กระบวนท่าที่ใช้นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การตั้งรับ แต่เป็นกระบวนท่าที่คิดจะตายไปด้วยกัน แต่ในความคิดของเขา ต่อให้คิดที่จะทำให้คู่ต่อสู้ตายตกไปร่วมกัน ก็ควรจะต้องคิดหาทาง รอคอยโอกาสและจังหวะเวลา ที่เหมาะสมมากกว่านี้ มีอย่างที่ไหนพึ่งจะเริ่มก็ใช้กระบวนท่าเฉกเช่นนี้แล้ว ?
ที่ศิษย์ของหมู่ตึกที่สามสิบหกไม่ทราบก็คือ กลยุทธ์การต่อสู้ที่หลงเฉินได้ถ่ายทอดให้แก่ทุกคน
‘การต่อสู้แลกชีวิตถือได้ว่าเป็นยุทธวิธีที่ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่งแบบหนึ่ง ทว่ากลับมิใช่ว่าจะใช้ได้กับคนทุกแบบ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมองคนให้ออก
การแลกชีวิตสำหรับคนปกติ ถือเป็นเพียงการเสาะแสวงหาแนวคิด ดังนั้นในช่วงที่ความเป็นความตายกำลังกล้ำกรายเข้ามา ขอเพียงเจ้าแลกชีวิตด้วย พวกเขาก็จะหลบเลี่ยงไปในทันที
เพราะพวกเขาต่างก็กลัวตาย พวกเขายังมีความหวาดกลัว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่กล้าที่จะใช้ชีวิตของตนเองเข้าแลกกับเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าจะถือว่าได้ชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
ทว่าการใช้วิธีการเช่นนี้มิได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ในทุกผู้คน เพราะนอกเสียจากคนบ้าและคนโง่แล้ว ก็ยังมีคนที่กล้าหาญไม่กลัวตายอย่างแท้จริง ที่สามารถตายตกไปพร้อมกับเจ้า
และคนที่กล้าหาญอย่างแท้จริง ย่อมต้องกระจ่างแจ้ง เข้าใจลึกซึ้งต่อความเป็นตายมาตั้งแต่แรก จึงไร้ซึ่งความหวาดกลัวไร้ซึ่งความหวั่นเกรง เขาเหล่านั้นจะมองคนที่อยู่ต่อหน้าไม่ต่างอะไรไปจากผักปลา หรือวัวตัวหนึ่งเลยทีเดียว’
ดังนั้นจูเฟิงคิดจึงไม่จำเป็นต้องคิด กระโดดเข้าสู่การประลองโดยใช้กระบวนท่าที่ยอมแลกชีวิตในทันที ในความคิดของเหล่าศิษย์ของหมู่ตึกนั้น ชีวิตของพวกเขา ที่ยังมีลมหายใจอยู่ขณะนี้ เรียกได้ว่าแย่งชิงกลับมาจากมือมัจจุราช และเป็นหลงเฉินที่ฝืนชะตาท้าทายเทพแห่งความตายช่วงชิงกลับคืนมาให้
ในเมื่อพวกเขาสามารถรอดชีวิต ผ่านพ้นความเป็นตายมาได้แล้ว จึงเข้าใจลึกซึ้งว่าชีวิตก็สิ้นสุดที่ความตายเพียงเท่านั้น ต่อให้ต้องทิ้งชีวิตไปอีกครั้งก็ย่อมไม่ใส่ใจอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต่างกล้าที่จะทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ซึ่งทำให้เกิดเป็นความหวัง และภายใต้ความหวังจึงสามารถเกิดแสงสว่างขึ้นมาได้
ชายร่างกำยำ เมื่อได้เห็นจูเฟิงไม่คิดที่จะต้านทานกระบี่ใหญ่ของตนเอง ก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ตัวเขานั้นเขาอย่างไรเสียก็ไม่คิดที่จะกระทำเรื่องที่จะต้องมาบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ทำให้กระบี่ใหญ่ในมือที่หมายจะฟาดฟันคู่ต่อสู้ ถูกรั้งกลับคืนมาใช้ป้องกันกระบี่ยาวของอีกฝ่ายในทันที
ถึงอย่างไรชายร่างกำยำผู้นั้นก็มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า ทั้งยังมีความได้เปรียบทางด้านของพละกำลังจากการฝึกปรือ ดังนั้นเมื่อกระบี่ทั้งสองเล่มปะทะเข้าด้วยกัน จึงทำให้จูเฟิงถอยกระเด็นออกไปอยู่หลายก้าว
ชายร่างกำยำส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ยกกระบี่ใหญ่ในมือฟาดฟันไปที่ตัวจูเฟิงอีกครั้ง ซึ่งการโจมตีครั้งนี้เปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลที่มากขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าการจู่โจมในครั้งแรกนั้นเป็นแค่เพียงการหยั่งเชิงเอาไว้เท่านั้นเอง
กระบวนท่าการใช้กระบี่ในครั้งที่สองของชายร่างกำยำนั้น ฉับไวยิ่งขึ้นกว่าเดิม ราวกับจะฟันเข้ามาถึงร่างจูเฟิงในชั่วพริบตา ทว่าจูเฟิงนั้นก็ใช้กระบี่ยาวในมือสวนแทงเข้าไปที่ท้องน้อยของอีกฝ่ายในทันทีเช่นกัน
แต่ว่าความว่องไวของจูเฟิงกลับไม่ได้เร็วเท่าอีกฝ่าย ถ้าหากเป็นไปตามกระบวนท่า กระบี่ยาวของฝ่ายตรงข้ามนั้นก็คงจะฟันเข้ามาโดนหัวไหล่ของเขาไปแล้ว
ทว่าจูเฟิงก็ไม่ได้เกิดความหวั่นไหว ในเมื่อกระบี่ของเจ้าสามารถฟันข้าจนขาดเป็นสองท่อนได้ กระบี่ของข้าก็จะแทงจุดตันเถียนของเจ้าให้ทะลุเอง ต่อให้ข้าต้องตายเจ้าเองก็ต้องพิการ
ชายร่างกำยำนั้น พบว่าจูเฟิงทอสีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอด มิได้มีลักษณะที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแต่อย่างไร ในตอนแรกเขายังนึกว่า จูเฟิงเพียงคิดที่จะทำให้ตนเองตกใจขึ้นมาเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขาพบว่าเขาพลาดไปแล้ว ตัวบัดซบผู้นี้ไม่เกรงกลัวความตายเลยอย่างแท้จริง เห็นชัดว่าพร้อมที่จะรับความตายมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว และยังคิดที่จะฉุดดึงคู่ต่อสู้ให้เข้าสู่ความตายตามไปด้วย
เดิมทีชายฉกรรจ์ร่างกำยำถือได้ว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมที่สุดในหมู่ศิษย์สายนอกแล้ว ยามลงมือยังไม่เคยยั้งมือมาก่อน จนมีศิษย์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวที่เคยถูกเขาทำร้าย
แต่ว่าที่แล้วมานี้กลับยังมิเคยได้พบเจอกับความน่ากลัวเช่นนี้ ยิ่งไม่เคยพบเจอกับความกลัว ก็จะยิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นเท่านั้น คนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ล้วนรักชีวิตและเกรงกลัวความตายกันอยู่แล้ว
ชายฉกรรจ์ผอมสูงผู้ที่ขึ้นสู่สังเวียนเป็นคนแรกนั้น ก่อนหน้าที่จะได้พบกับความพ่ายแพ้เขายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามอีกฝ่าย ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่ว่าในขณะนี้เมื่อประลองกับจูเฟิงแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจขึ้นมาได้ถึงความรู้สึกอึดอัดกดดันที่ชายฉกรรจ์ผอมสูงนั้นพบเจอ
กระบี่เล่มใหญ่ในมือที่ขาดอีกเพียงแค่หนึ่งชุ่น (1นิ้ว) ก็จะสามารถฟันเข้าไปบนร่างของคู่ต่อสู้ได้แล้ว แต่ว่าชายกำยำกลับฝืนรั้งกระบี่กลับมา เพื่อต้านทานกระบี่ที่ท้องน้อย
“ชิ!”
ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดจะสามารถต้านกระบี่ของจูเฟิงเอาไว้ได้ แต่เนื่องจากต้องเสียเวลาในการเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า ทำให้ชายร่างกำยำยังคงถูกปลายกระบี่ของจูเฟิงที่ว่องไวน้อยกว่า สะกิดเข้าที่ท้องน้อย จนเกี่ยวกระชากอาภรณ์ที่เขาสวมใส่แหวกออกเป็นทางยาว
ชายร่างกำยำนั้นสัมผัสได้ ว่าที่ช่วงท้องเกิดความเสียวแปลบแล่นขึ้นมาเป็นสาย แม้จะรู้สึกเสียหน้าที่ต้องรั้งการโจมตีกลับคืนมา แต่หากไม่ทำเช่นนั้น ผลสุดท้ายถ้าเขาไม่ตายก็คงต้องพิการไปแล้ว
การจู่โจมครั้งนี้ทำให้ใบหน้าของชายฉกรรจ์ร่างกำยำชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขามองใบหน้าที่เรียบเฉยของจูเฟิง คนผู้นี้มีความร้ายกาจได้มากถึงเพียงนี้ นี่แทบจะเรียกว่าไม่ได้สนใจชีวิตของตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรเลยด้วยซ้ำ
หึ่ง !
ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ร่างกำยำก็ต้องแตกตื่นตกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เมื่อจูเฟิงได้กระชับกระบี่สังหารพุ่งตรงเข้าหา ซึ่งแต่ละกระบวนท่าที่ใช้ก็รุนแรงอย่างหาที่เปรียบ ทั้งยังไม่ต้องพึ่งพาพลังทำลายแต่อย่างใด มีเพียงแค่ความรู้สึกหวังจะเอาชีวิตอีกฝ่ายเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นสิ่งที่อธิบายว่าเพราะเหตุใดหลงเฉินจึงไม่ยอมให้พวกเขาทำการประลองกันตามปกติ เนื่องจากการประลองกันตามปกตินั้นจะส่งผลกระทบต่อความเคยชินในการลงมือของพวกเขา หากว่าต้องต่อสู้ก็ต้องหวังเอาชีวิตอีกฝ่าย มิใช่เป็นเพียงแค่การละเล่นเท่านั้น
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนี้นั้น ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเลยทีเดียว เป็นสิ่งที่เป็นประจักษ์ให้เห็นได้ดีที่สุด ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลังจากการฝึกปรือหรือว่าพลังการต่อสู้ ต่างก็ถือได้ว่าเหนือกว่าจูเฟิงถึงขุมหนึ่ง
แต่ว่าด้วยการโจมตีที่เหมือนไม่รักตัวกลัวตายของจูเฟิงเช่นนั้น ที่ทั้งคู่ต่อสู้เปลี่ยนแปลงกลับกลายไปมา ก็กลายเป็นว่าไม่อาจจะขวางกั้นจูเฟิงเอาไว้ได้
นี่ก็คือสิ่งที่หลงเฉินได้บอกกล่าวกับพวกเขามาก่อนหน้านี้ ‘เมื่อมีการต่อสู้กันระหว่างคนสองคนเกิดขึ้น ฝ่ายที่ยิ่งเกรงกลัวต่อความตายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นฝ่ายที่จะตายได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น’
ขอเพียงหลุดพ้นจากข้อผูกมัดของความตาย หลุดพ้นจากความหวาดกลัวความตาย ก็จะสามารถทำให้ใจของตนเองสงบนิ่งได้ และยิ่งทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบข้างได้ จนสามารถจับความเคลื่อนไหวของศัตรูได้ว่องไวขึ้น สุดท้ายก็จะขยายพลังความสามารถอันแข็งแกร่งขึ้นมาได้
การ ‘ใช้อ่อนสยบความแข็งแกร่ง’ นั้นก็เป็นจริงขึ้นมาได้ ทั้งยังสามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ และการเข้าโจมตีไปที่จุดอ่อนของอีกฝ่ายก็ยังเห็นผลได้เต็มสิบส่วนเลยทีเดียว
วิชาทักษะ、ทักษะยุทธ์、พลังการฝึกปรือ、พลังกาย、ไหวพริบ、และความแน่วแน่ หากรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก็จะทำให้จูเฟิงเหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายได้อย่างห่างไกลเลยทีเดียว
ทว่าจูเฟิงนั้น เพียงแค่ความแข็งแกร่งอันน่ากลัวที่เกิดจากความแน่วแน่ ก็สามารถที่จะทำลายความเชื่อมั่นของอีกฝ่ายได้แล้ว จึงทำให้พลังการต่อสู้ของอีกฝ่ายถูกลดทอนจนต่ำลงด้วย
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำนั้น นอกจากกระบวนท่าแรกที่ถือได้ว่าได้เปรียบกว่าแล้ว ตั้งแต่กระบวนท่าที่สองเป็นต้นไป ก็ได้เดินเข้าสู่เส้นทางเดียวกันกับศิษย์คนก่อนหน้านี้ไปในที่สุด
เพราะแต่ละกระบวนท่าของจูเฟิงนั้นดุดันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมาดหมายเอาชีวิต โดยเฉพาะตัวของจูเฟิงที่ยังคงสีหน้าสงบนิ่งไว้นั้น เรียกได้ว่าน่าตกใจเสียยิ่งกว่ามีใบหน้าดุร้ายเสียอีก
ถังหว่านเอ๋อมองไปที่หลงเฉิน แล้วอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา ท่าทางของศิษย์ผู้นั้นก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าเรียนรู้ไปกว่าเจ็ดแปดส่วนไปเลยทีเดียว
และจูเฟิงผู้นี้ ในตอนนี้แสดงให้เห็นว่านำเอาสิ่งหลงเฉินสอนมาใช้ไปแล้วกว่าเก้าส่วน ด้วยสภาพจิตวิญญาณที่สงบเยือกเย็นนั้น ถือได้ว่าคล้ายกันกับหลงเฉินมากจนเกินไปแล้ว
ถังหว่านเอ๋อย้อนคิดดูแล้วก็นึกขบขันขึ้นมา ศิษย์ของทางหมู่ตึก ราวกับว่าทุกผู้คนต่างก็มองหลงเฉินเป็นแบบอย่าง แต่ความจริงแล้วจะมีซักกี่คนที่ทราบว่า หลงเฉินนั้นยังมีอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปีเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อเทียบกับนางแล้วเขายังอ่อนกว่าถึงหนึ่งปีกว่าเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าหลงเฉินนั้นมีทั้งความสุขุมและความเยือกเย็นที่มากเกินกว่าวัยของเขา ยิ่งมีไหวพริบเหนือกว่าคนในวัยเดียวกันอย่างห่างไกลอีกด้วย ดังนั้นทุกคนต่างก็คิดกันว่าเขาน่าจะมีอายุมากกว่ายี่สิบไปแล้วด้วยซ้ำ
เมื่อมองไปที่หลงเฉินที่นั่งพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ในใจของถังหว่านเอ๋อก็ได้เกิดเป็นความอบอุ่นขึ้นมาสายหนึ่ง การที่มีหลงเฉินอยู่ข้างกายเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน ทั้งอบอุ่นและปลอดภัย
ถังหว่านเอ๋อพบว่ายิ่งนานวันตนเองก็ยิ่งเอาแต่พึ่งพาหลงเฉิน ราวกับว่าขอเพียงมีหลงเฉินอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว นั่นเพราะอย่างไรก็มีหลงเฉินให้สามารถพึ่งพาได้อย่างวางใจ
“ตูม”
ทันใดนั้นบนเวทีก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นตัดรอนความคิดของถังหว่านเอ๋อ ดึงความสนใจของนางให้หันกลับไปมองบนเทวีประลองอีกครั้ง แล้วนางพบว่ามีแขนซ้ายของใครบ้างคนตกห้อยลงมา แขนทั้งแขนฉีกขาดจนกลายเป็นหลายส่วน แขนข้างนั้นเป็นของจูเฟิง!
แต่ชายร่างกำยำที่เขาเผชิญหน้าอยู่ กำลังใช้มือข้างหนึ่งกุมที่ลำคอของตนเองเอาไว้ ร่องระหว่างนิ้วของมือที่กุมคอไว้นั้นโลหิตไหลมากมายรินออกมา บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าแพ้แล้ว”
จูเฟิงถึงแม้จะแขนขาดไปข้างหนึ่ง แต่ว่าบนใบหน้าของเขากลับไม่ได้มีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ใช้กระบี่ยาวชี้ไปยังทางด้านของอีกฝ่ายแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเย็นเยียบ
ทั่วทั้งลานประลองตกอยู่ในความเงียบ กระบวนท่าเมื่อครู่นั้นทุกคนต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจน ว่าจูเฟิงนั้นใช้แขนซ้ายเข้าต้านกระบี่ใหญ่เอาไว้ แล้วก็ใช้กระบี่ยาวของเขาฟันเข้าไปที่คอหอยของอีกฝ่าย
ถ้าหากกระบี่ยาวของจูเฟิง ปาดลึกเข้าไปอีกเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นก็คงมิใช่เพียงแค่เลือดไหลจากคอแล้ว แต่จะกลายเป็นศีรษะหล่นมาแทน
ชายกำยำผู้นั้นถูกตัดคอหอยไป จนไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้ ดวงตาทั้งคู่ยังเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว เร่งรีบกระโดดลงจากเวทีไป
เมื่อเขาลงจากเวทีได้ ก็มีคนเข้ามาให้ความช่วยเหลือในทันที ผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไม้เข้าทำการห้ามเลือดและรักษาบาดแผลให้แก่เขา
ถ้าหากเป็นคนธรรมดา หากว่าถูกปาดคอหอยเข้าไป โดยส่วนมากแล้วย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว มีผู้ที่มีความสามารถในการหยุดการไหลของโลหิตได้ เรื่องเช่นนี้นับว่าไม่ร้ายแรง
เพียงแต่ว่าเมื่อได้เกิดบาดแผลที่น่ากลัวขึ้นมาได้เพียงนี้ ก็ทำให้คนผู้นั้นเสียสติไปได้เลยทีเดียว รวมกับความรู้สึกว่ากำลังหนีความตายอีก มีหรือที่จะจิตมั่นขวัญกล้า ยืนอยู่บนเวทีประลองต่อไปได้
เมื่อเห็นว่าคนผู้นี้ได้พ่ายแพ้แล้ว ก็ทำให้ศิษย์ของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกเริ่มหวาดหวั่นกันขึ้นมา เจ้าเด็กน้อยกลุ่มนั้นก็ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว
“ตัวบัดซบ! พวกเจ้าโหดร้ายยิ่งนัก”
โล่วปิงเกิดโทสะจนใบหน้าเขียวคล้ำ กลยุทธ์การต่อสู้เช่นนี้ พวกเขาแทบจะไม่เชี่ยวชาญเลยก็ว่าได้
“โหดร้ายงั้นหรือ ? ”
หลงเฉินหัวเราะออกมาอย่างเกียจคร้าน “ถ้าเพียงเท่านี้ยังเรียกว่าโหดร้าย เช่นนั้น คงได้แต่บอกว่าพวกเจ้าน่ะไร้เดียงสาและไม่รู้ความเกินไปแล้ว
เจ้าสามารถถามพี่น้องทุกคนที่อยู่ข้างกายข้าได้เลย มีใครบ้างที่ไม่เคยหลุดพ้นจากความตายมาก่อน ต่อให้เป็นศัตรูในระดับเดียวกัน พวกข้าก็ไม่มีคนไหนที่ฆ่าคนไปไม่ถึงร้อยคน
การต่อสู้ที่ยิ่งสูงล้ำก็ไม่ต่างอะไรไปจากข้าวปลาอาหารที่หล่อเลี้ยง พวกเราต่างก็มีชีวิตรอดก้าวข้ามซากศพและเลือดเนื้อของศิษย์ของฝ่ายอธรรมกันมาแล้วทั้งสิ้น
ประสบการณ์ในยามที่พวกเราได้เผชิญหน้ากับเลือดและเพลิง พวกเราแต่ละคนต่างก็ผ่านช่วงเวลาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างห้าวหาญ พวกเจ้าน่ะ มีคุณสมบัติที่จะเทียบเคียงกับพวกเราได้อย่างนั้นหรือ ? แล้วยังกล้ามาหยามพวกเราอีกงั้นหรือ ? ช่างน่าตลกสิ้นดี ! ”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหลงเฉิน ศิษย์ทั้งหมดของหมู่ตึก ต่างก็เกิดความหึกเหิมขึ้นมาในใจ พวกเขารู้สึกได้ว่าเลือดภายในกายของตนเองนั้นได้เดือดพร่านขึ้นมาแล้ว ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปเมื่อครั้งอยู่บนสนามรบที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลงเฉิน
“วาจาไร้สาระก็กล่าวให้มันน้อยหน่อยก็แล้วกัน รอบที่สองเจ้าก็พ่ายไปแล้ว รีบส่งมอบแต้มคุณประโยชน์มาได้แล้ว” หลงเฉินลอบด่าทอตนเองที่ต้องมาเสียเวลากล่าวอะไรเช่นนี้กับคนอย่างตรีตรงหน้า พวกเจ้ามิใช่หรือที่คิดจะตบหน้าพวกเรา เช่นนั้นก็รีบเข้ามาเลย
“วางใจเถอะ ข้าโล่วปิงแน่นอนว่าย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเศษทานที่มอบให้กับกลุ่มขอทานไปหรอก” โล่วปิงเอ่ยออมมาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ได้โบกมือพร้อมกับโยนแผ่นป้ายของตนเองออกไป เพื่อให้ผู้อาวุโสถู่ฟางเป็นผู้ทำการถอนแต้ม
ข้อแรกก็คือนางเชื่อว่าถู่ฟางย่อมไม่กล้าที่จะเอาแต้มคุณประโยชน์ของนางไปมากมายอยู่แล้ว อีกข้อหนึ่งคือ หากนางทำด้วยตัวเองแล้วละก็ ก็คงรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากการกรีดเลือดกรีดเนื้อของตนเองเลยทีเดียว
เมื่อแผ่นป้ายได้กลับมาอยู่ในมือของโล่วปิง ในนั้นก็แสดงให้เห็นว่า แต้มคุณประโยชน์ได้น้อยลงไปอีกแปดหมื่นแต้ม
ถึงแม้โล่วปิงพยายามแสร้งทำสีหน้าปกติดุจเดิม ทว่าปากของนางกลับกำลังสั่นระริก ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวบ่งบอกถึงจิตใจของนางในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี นางกำลังโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว
“เหอะ รอบต่อไปพวกเรามาเปลี่ยนระดับกันหน่อยไหม ให้ศิษย์สายตรงออกศึกเลย”
.
.