เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 291 แรงกดดันแห่งมือกระบี่

 

“เหอะ รอบต่อไปเรามาเปลี่ยนระดับกันหน่อยไหม ให้ศิษย์สายตรงออกศึกเลย” โล่วปิงส่งเสียงขึ้นมา

 

“เอ๊ะ ระดับต่อไปมิใช่ว่าต้องเป็นศิษย์สายในหรือไงกัน ? พอเจ้าแพ้แล้วก็ไม่คิดจะทำตามกฎที่วางไว้เองด้วยหรือไง ? ” หลงเฉินกล่าวด้วยใบหน้าเย้ยหยัน

 

แต่ความจริงแล้วหลงเฉินเองก็ทราบดีอยู่แก่ใจในสิ่งที่โล่วปิงคิด เพราะศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในต่างก็มีพลังการต่อสู้ที่ธรรมดา ถึงแม้ว่าฝ่ายโล่วปิงจะได้รับทรัพยากรที่มากมาย แต่ว่าก็ยังไม่อาจที่จะเทียบได้กับด้านของหลงเฉิน

 

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้กล้าที่รอดจากการฆ่าฟันบนสนามรบมาแล้ว การต่อสู้เช่นนี้ทำให้พวกเขาพลาดท่าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงคิดที่จะประลองในระดับที่สูงขึ้นไปอีก เช่นนี้จุดเด่นของพวกนางถึงจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

ถึงอย่างไรศิษย์สายตรงต่างก็ได้รับการดูแลจากหมู่ตึกมาเป็นอย่างดี ทั้งยังได้รับการสอนสั่งอย่างเป็นพิเศษมามากมาย พวกเขาจึงต้องเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง

 

เมื่อถูกหลงเฉินถามออกมาเช่นนี้ โล่วปิงก็อดไม่ได้ที่จะใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ทว่าก็ยังคงเถียงอย่างปากแข็งออกไป

“การต่อสู้เช่นนี้ไม่ได้มีอะไรที่น่าดูแม้แต่น้อย ทั้งเพื่อให้ไม่เสียเวลา ก็ควรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นจะดีกว่า จึงจะถือได้ว่ามีความหมายต่อการแลกเปลี่ยนวิชา”

 

หลงเฉินก็คร้านที่จะเถียงกับนาง เพราะหลงเฉินเห็นว่ากู่หยางและพวกต่างก็ทอแววตาเจิดจ้าขึ้นมาแล้ว แต่ละคนคล้ายกับหมาป่าที่หิวโหยพบเห็นเหยื่ออันโอชะ ราวกับอดทนรอกันไม่ไหวแล้ว

 

นับตั้งแต่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่ในครั้งที่แล้ว หลงเฉินก็ได้กำชับพวกเขาว่าอย่าให้เกิดการประลองกันขึ้น ที่ผ่านมาพวกเขาจึงเกิดอาการคันไม้คันมือมาโดยตลอด

 

“เช่นนั้นก็ตามที่เจ้ากล่าวมา เจ้าเลือกคนออกมาเถอะ” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา

 

“ซูม”

 

เงาร่างของอีกฝ่ายก็ได้ปรากฏขึ้นบนเวที เป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างปานกลาง ภายในแววตาทั้งคู่เจิดจรัสและคมกล้า เปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะที่น่าตกใจ

 

“ข้าพเจ้าจ้าวเชียน ไม่ทราบว่าจะมีท่านใดที่จะขึ้นมาให้คำชี้แนะบ้าง”

 

ชายผู้นั้นถือได้ว่าเป็นศิษย์สายตรงคนหนึ่ง ที่เวลานี้ได้ซ่อนสภาวะที่ถือดีเอาไว้ภายใต้ความสำรวม

 

พวกเขาทราบดีว่าศิษย์ที่เผชิญหน้าอยู่ ได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายกันมา ถือได้ว่าเป็นผู้กล้าในหมู่ผู้กล้า พวกเขาเองจึงไม่อาจที่จะวางใจต่อไปได้อีก

 

“ข้าเอง”

 

ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ได้กระโดดขึ้นไปบนเวที คนผู้นั้นมีร่างกายที่สูงโปร่ง สะพายกระบี่ยาวเอาไว้ ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกถึงความถือดีเป็นอย่างยิ่ง

 

“เยว่จื่อเฟิง”

 

หลงเฉินอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาทั้งสองเคยช่วงชิงผลปราณลี้ลับกันมาก่อน จนกลายเป็นศัตรูขึ้น ทว่าหลงเฉินก็รู้สึกว่าฝ่ายนั้นเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งยังได้รับสมญานามว่าเป็นมือกระบี่——ผู้องอาจ

 

ภายหลังยังมีศิษย์สายตรงบอกมาว่า นอกจากถังหว่านเอ๋อกับเยี่ยจื่อชิวแล้ว ก็ยังมีกู่หยาง เยว่จื่อเฟิง และซ่งหมิงหย่นต่างก็เลื่อนระดับพลังได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

 

ตามปกติเยว่จื่อเฟิงที่มักจะไม่ชอบกล่าววาจา อีกทั้งยังไม่มีใครเข้าใจตัวเขามากมายนัก แต่เมื่อได้พบว่าเขากระโดดขึ้นไปบนเวที ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความคาดหวังขึ้นมาอยู่อย่างเปี่ยมล้น

 

เมื่อเยว่จื่อเฟิงได้ขึ้นไปบนเวที ก็คล้ายกับมีอาวุธที่แหลมคมถูกชักออกจากฝัก ตลอดทั่วทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะที่แกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ยากที่จะสูดลมหายใจเข้าออกได้

 

โล่วปิงได้หรี่ตามองดูอย่างละเอียด นางคิดไม่ถึงว่าหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด จะมีบุคคลที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ด้วย

 

ด้วยสายตาของโล่วปิงที่เป็นยอดฝีมือระดับขั้นก่อฟ้า เพียงแค่คราเดียวก็มองออกได้แล้วว่าเยว่จื่อเฟิงเป็นมือกระบี่ที่เก่งกล้าผู้หนึ่ง

 

มือกระบี่กับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆนั้นแตกต่างกัน นับตั้งแต่พวกเขากำเนิดเกิดมาต่างก็มีความศรัทธาต่อกระบี่ของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาสามารถที่จะใช้กระบี่ยาวในมือ ปลดปล่อยขีดความสามารถออกมา จนกลายเป็นพลังทำลายที่รุนแรงที่ไม่อาจจะคลี่คลายได้เลยทีเดียว

 

คำเล่าขานอันเก่าแก่สืบทอดกันมา ว่าสวรรค์ชั้นที่เก้าได้มีการดำรงอยู่ของเทพกระบี่ เป็นธรรมดาที่ต้องทุ่มเทฝึกฝนสู่การเป็นผู้ที่อยู่ในมรรคกระบี่อย่างสุดหัวใจ จึงจะได้รับการอวยพรจากเทพกระบี่ได้

 

แต่ว่าการกล่าวเช่นนี้กลับเป็นเพียงแค่คำกล่าวที่ยังไม่เคยเป็นที่ประจักษ์กันมาก่อน จึงไม่อาจที่จะทำให้ผู้คนเชื่อถือได้ แต่ความแข็งแกร่งของมือกระบี่นั้นถือได้ว่าเป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้ว

 

และพลังสภาวะในตัวของเยว่จื่อเฟิง ก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งวิถีกระบี่ออกมาเป็นสาย จนเห็นได้ชัดว่าเขามีความสำเร็จอยู่ในวิถีกระบี่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

เยว่จื่อเฟิงก่อนหน้านี้ที่อยู่ด้านหลังของคนอื่น มองดูความคึกคักอย่างนิ่งเงียบมาโดยตลอด โล่วปิงจึงไม่ทันได้ทันสังเกตเห็น แต่ในเวลานี้เมื่อได้พบแล้วในใจก็อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นมาว่ายอดเยี่ยม

 

“เตรียมพร้อมเสร็จแล้วอย่างงั้นหรือ ? ”

 

เยว่จื่อเฟิงก็มองไปที่คู่ต่อสู้อย่างเยือกเย็น มือขวาค่อยๆกุมไปที่ด้ามกระบี่เอาไว้ ภายในเสี้ยววินาทีขณะที่เขากุมด้ามกระบี่พลังสภาวะอันรุนแรงขุมหนึ่งก็ได้สายออกไปทั่วทั้งแปดทิศ

 

“ชี้แนะด้วย”

 

บนใบหน้าของจ้าวเชียนก็ปรากฏความระมัดระวังขึ้นมา ในมือก็มีหอกยาวขึ้นมาด้ามหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็ได้ระเบิดพลังสภาวะบนร่างออกมาเพื่อพร้อมที่จะรับศึก

 

“ระวังด้วย”

 

เยว่จื่อเฟิงตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

 

เคร้ง !

 

กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝักประดุจมังกรกู่ร้อง สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเวทีดุจดั่งสายฟ้ากัมปนาท มันคือประกายอันคมกล้าจากกระบี่ยาว

 

ถือได้ว่าเร็วจนเกินไปแล้ว ภายในช่วงเวลาที่เยว่จื่อเฟิงกวาดกระบี่เข้ามา กระบี่ยาวก็ได้ฟันเข้ามาจนถึงด้านหน้าตรงร่างของจ้าวเชียนแล้ว

 

กระบี่นี้ราวกับได้ทำลายขอบเขตของสภาวะห้วงอากาศและเวลาไปด้วย จนทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกผิดปกติขึ้นมา ทั้งยังประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

 

“ตัง”

 

จ้าวเชียนที่ได้มีการเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรก ทว่าก็ยังคิดไม่ถึงว่ากระบี่ของเยว่จื่อเฟิงจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ ขณะที่เขามีปฎิกิริยากลับคืน กระบี่ยาวก็ได้มาถึงเบื้องหน้าของเขาไปแล้ว จึงต้านรับเอาไว้ได้ทันท่วงที

 

หลังจากที่เสียงระเบิดดังขึ้น ทั่วร่างกายของจ้าวเชียนก็ได้เปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าหวาดกลัววนเวียนไปมา จนอดไม่ได้ที่ต้องสะดุ้งขึ้น ถ้าหากก่อนหน้านี้เยว่จื่อเฟิงไม่ได้ร้องตะโกนเตือนขึ้นมาก่อน เกรงว่าเขาก็คงจะไม่มีปฏิกิริยากลับมาได้ทัน อาจถึงขั้นถูกกระบี่นี้ฟันจนตายไปแล้ว

 

กระบี่นี้น่าหวาดเกรงมากเกินไปแล้ว ทั้งไร้สุ่มเสียงไร้วี่แวว ยังดีในขณะที่ตนเองขึ้นมาบนเวที ได้ใช้ท่าทีที่นอบน้อมถ่อมตน ไม่เช่นนั้นแล้วเยว่จื่อเฟิงก็คงจะไม่เตือนเขาแล้ว

“ระวังด้วย”

 

ช่วงเวลาที่จ้าวเชียนได้ถอยร่นไป ความรุนแรงจากการโจมตีระลอกหนึ่ง ก็ได้พุ่งเข้ามาที่ท้องน้อยของเขาในทันที เขาสัมผัสได้ว่ากระบี่ยาวเล่มนี้ได้แตะเข้ามาบนร่างของตนเองไปแล้ว

 

“ติ้ง”

 

จ้าวเชียนทุ่มเทพลังทั้งหมดขวางเอาไว้ ในเวลาเดียวกันหอกยาวในมือก็ได้ต้านทานด้วยพลังทั้งหมด จนในที่สุดก็สามารถป้องปัดและต้านทานกระบี่นั้นออกไปจากร่างกายได้

 

ถึงแม้จะต้านทานกระบี่ได้ กระนั้นแรงกระบี่กลับยังคงสั่นสะท้านจนทำให้ต้องลอยกระเด็นออกไป เมื่อเท้าของจ้าวเชียนกำลังแตะลงสู่พื้น ทันใดนั้นที่ช่วงคอก็ได้เย็นวาบขึ้นมา กระบี่ยาวได้พาดเข้ามาบนลำคอของเขาแล้ว

“เจ้าแพ้แล้ว”

 

ทั่วทั้งสนามตกอยู่ในสภาพที่เงียบสงบ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของทางหมู่ตึก หรือว่าจะเป็นทางด้านของโล่วปิง ต่างก็ไม่อยากที่จะเชื่อสายตาของตนเอง

 

เยว่จื่อเฟิงยืนอยู่ด้านข้างของจ้าวเชียน กระบี่ยาวในมือกำลังพาดไปที่คอของจ้าวเชียน ขอเพียงเขาออกแรงอีกเพียงนิดเดียว ศีรษะของจ้าวเชียนก็หล่นลงสู่พื้นแล้ว

 

แววตาของหลงเฉินทอประกายชื่นชมขึ้นมา แล้วกล่าวกับถังหว่านเอ๋อเบาๆ “เยว่จื่อเฟิงผู้นี้ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะโดยแท้ ถึงแม้เขาเพิ่งจะเข้าสู่วิถีทางแห่งเชิงกระบี่ แต่อนาคตข้างหน้าจะต้องเป็นบุคคลที่สุดยอดอย่างแน่นอน”

 

มือกระบี่แบบนี้พบเจอได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ถึงแม้ว่าคนที่ใช้กระบี่นั้นจะมีอยู่มากมาย แต่ว่าคนส่วนมากคิดว่ากระบี่นั้นเป็นเพียงแค่อาวุธเท่านั้น หาได้มีความข้องเกี่ยวกับชีวิตไม่

 

มือกระบี่ทุกคนจึงควรจะให้ความเคารพ เพราะวิถีกระบี่ของพวกเขาต้องทำความเข้าใจด้วยตนเอง ผู้อื่นย่อมไม่อาจจะช่วยเหลือเขาได้

 

ด้วยพรสวรรค์ของเยว่จื่อเฟิง ก็คงจะถูกหลิงหวินจื่อรับเอาไว้เป็นศิษย์ไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่ามือกระบี่กับผู้ฝึกยุทธ์นั้นกลับมีแตกต่างกัน จึงไม่ได้มีมรดกตกทอดสืบกันมาแต่อย่างไร

 

แม้ว่าจะมีมือกระบี่อยู่สิบหมื่นคน แต่วิถีกระบี่ที่พวกเขาฝึกฝนต่างก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะเส้นทางของมือกระบี่ทุกคน ต่างก็จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจด้วยตนเอง

 

ถังหว่านเอ๋อเองก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าไปมา คิดไม่ถึงว่าเยว่จื่อเฟิงที่ดูเป็นคนเงียบๆ จะสามารถเปลี่ยนแปลงจนแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้

 

หลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อต่างก็ทราบ เยว่จื่อเฟิงนั้นมีการก้าวหน้าที่น่าตกใจ แน่นอนว่าย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกครั้งใหญ่ธรรมะอธรรมที่ผ่านมาในครั้งนี้ เพราะขณะที่ตกอยู่ภายใต้ความเป็นความตายพริบตานั้นเขาคงได้เข้าใจหลักวิถีแห่งกระบี่ของตนเองขึ้นมาได้

 

เพียงแค่สามกระบวนท่าก็สามารถที่จะสยบศิษย์สายตรงคนหนึ่งไปได้ อีกทั้งการลงมือยังมิได้รุนแรงเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าออมแรงเอาไว้อยู่ ด้วยพลังการต่อสู้เช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างก็หวาดหวั่นกันขึ้นมาเลยทีเดียว

 

จ้าวเชียนถอนหายใจออกมา พยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “ข้าแพ้แล้ว ขอบคุณท่านที่ยั้งมือไว้”

 

“เช้ง”

 

เยว่จื่อเฟิงได้รั้งกระบี่ยาวเสียบคืนกลับเข้าไปในฝัก แล้วก็ได้หันกายกระโดดลงจากเวทีไป กลับไปยืนอยู่ภายในกลุ่มที่อยู่ด้านหลังของหลงเฉิน

 

ถู่ฟางและผู้อาวุโสมากมายต่างก็ยินดีขึ้นมา เยว่จื่อเฟิงพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถือว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งทางหมู่ตึกเองก็จะมียอดฝีมือรุ่นเยาว์เพิ่มขึ้นมาอีกคน หลังจากนี้ภายใต้ศึกการจัดอันดับของหมู่ตึก ย่อมมีส่วนช่วยได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

 

“เหว่ยเหว่ย ใครบางคนก็ให้มันรู้สึกตัวหน่อย เลิกทำตัวไร้ยางอายได้แล้ว เร็วๆหน่อย ส่งเงินมาเร็ว แล้วก็ส่งมาพร้อมรอยยิ้มด้วยละ” กัวหรานที่อยู่ข้างกายหลงเฉิน ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

 

โล่วปิงเพิ่งจะหายจากอาการตกใจ เมื่อได้ยินเสียงลำพองของกัวหราน ก็ทำให้นางอยากที่จะบีบเด็กน้อยผู้นี้ให้ตายคามือเลยจริงๆ

“ซูม”

 

โล่วปิงโยนแผ่นป้ายของตนเองเข้ามาอีกครั้ง ถู่ฟางก็หัวเราะดังเหอเหอแล้วรับป้ายมาทำการถอนแต้มคุณประโยชน์อีกแปดหมื่นแต้ม

 

เป็นครั้งที่สามแล้วที่ได้ถอนแต้มคุณประโยชน์ไป อีกฝ่ายที่พ่ายแพ้ไปถึงสามครั้งสามครา รวมทั้งหมดก็เสียแต้มคุณประโยชน์ไปทั้งหมดยี่สิบสี่หมื่นแต้มแล้ว

 

แม้ว่าทางหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกจะเรียกขานว่าโล่วปิง ว่าเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งของสำนักที่มั่งคั่งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีทรัพย์สินที่มากมาย ทว่าก็ยังทนไม่ได้ที่ต้องมาสูญเงินมากถึงเพียงนี้

 

ถู่ฟางที่เป็นถึงผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ในปีหนึ่งได้แต้มคุณประโยชน์เพียงแค่สองหมื่นกว่าแต้มเท่านั้น แต้มคุณประโยชน์เหล่านี้ ตามปกติยังจำเป็นที่จะต้องนำไปใช้จ่ายในส่วนต่างๆอีก ดังนั้นแต้มคุณประโยชน์ของเขาจึงไม่ได้มีมากมายอะไรนัก

 

ผู้อาวุโสถู่ฟางนั้นถือเป็นคนที่ซื่อตรง ทั้งยังไม่แยแสในการใช้ฝีมือเพื่อกอบโกยประโยชน์ให้แก่ตนเอง ต่างกับผู้อาวุโสซุนที่มีทรัพย์สินมากมายกว่าถู่ฟาง แต่เงินทองที่เขากอบโกยมาได้นั้นกลับต้องเสียให้แก่หลงเฉินไป

 

หรือนี้คงเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าโชคชะตาก็ว่าได้ เมื่อได้ลงมือกระทำเรื่องที่ไม่ดีไม่งามต่อผู้อื่นทั้งทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อที่จะช่วงชิงสิ่งของมาให้ได้แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับต้องมาใช้เพื่อส่งเสริมศิษย์หมู่ตึกไปเสียแทน

 

โล่วปิงมีตำแหน่งที่สำคัญในหมู่ตึก ดังนั้นทรัพย์สินของนางย่อมมีอยู่มากจนน่าตกใจ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต้มคะแนนยี่สิบสี่หมื่นที่ต้องปล่อยทิ้งไป มีหรือที่นางจะไม่เจ็บปวด ผู้อาวุโสเหล่านั้นต่อให้กอบโกยแทบเป็นแทบตายก็ใช่ว่าจะสามารถมีแต้มคุณประโยชน์เทียบเท่ากับนางได้

 

โล่วปิงแทบจะเป็นบ้าขึ้นมา สู้กันถึงสี่รอบกันไปแล้ว และทั้งหมดต่างก็เป็นการต่อสู้ของศิษย์สายตรงอีกด้วย

 

แต่ทางด้านของหลงเฉิน กลับไม่ได้เป็นคนเลือกคนแม้แต่คนเดียว อีกทั้งในส่วนของศิษย์สายตรง ผู้ใดอยากที่จะขึ้นก็ขึ้นไปเอง ในเมื่อยังไงเสียก็ได้รางวัลแห่งชัยชนะอยู่ดี ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ไปก็ใช่ว่าจะต้องร้อนรน

 

ผลสุดท้ายการประลองทั้งสี่ครั้งที่ผ่านมานี้ เด็กน้อยเหล่านี้ก็ช่างใจสู้กันจริงๆ มีคนที่โชคร้ายเพียงหนึ่งคน ที่เกือบถูกซัดจนทำให้พ่ายแพ้ตกเวทีไป ในส่วนที่เหลือนั้นต่างก็เป็นชัยชนะโดยทั้งสิ้น

 

การต่อสู้ดำเนินไปถึงเจ็ดรอบก็ชนะไปถึงหกรอบ รายรับที่ได้จึงมีถึงสี่สิบแปดหมื่นแต้มคุณประโยชน์ ผู้อาวุโสถู่ฟางที่พยายามสงบอาการเพื่อให้สีหน้าสงบ แต่ว่าความลิงโลดในแววตาของเขา กลับเป็นฝ่ายทรยศเขาเสียเอง

 

สีหน้าของโล่วปิงปั้นยากถึงขีดสุด ทั้งพลังขอบเขตและพลังการต่อสู้ที่ชัดเจน ที่สามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้ แต่กลับยังคงพ่ายแพ้ จนทำให้โล่วปิงเกิดโทสะจนแทบอยากจะฆ่าคนเลยทีเดียว

 

เมื่อได้มองไปที่แต้มคุณประโยชน์ที่หายไปบนแผ่นป้ายของตนเอง จิตใจของโล่วปิงก็แทบไม่ต่างอะไรจากการมีเลือดไหลรินออกมาจากภายในใจ นั่นถือได้ว่าเป็นเงินเก็บออมเกือบครึ่งค่อนชีวิตของนางเลยก็ว่าได้

 

ถ้าหากตนเองยังไม่อาจจะไปถึงเป้าหมายได้ แต้มคุณประโยชน์เหล่านั้นก็คงจะต้องหายไปอย่างแท้จริง เมื่อสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง แววตาของโล่วปิงก็ได้สาดประกายความอาฆาตขึ้นมา แล้วก็ได้ลอบส่งสัญญาณไปให้แก่ชายที่อยู่ข้างกาย พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำอยู่หลายประโยค

 

ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าไปมา บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเย็นเยือกขึ้นมา และกระโดดลอยตัวขึ้นมาบนเวที พร้อมกวาดสายตามองทุกคนด้วยแววตาที่เยือกเย็น

 

“ข้าพเจ้าคือผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่ง จะมาขอท้าสู้กับพวกเจ้า สาวงามผู้นั้นขึ้นมาเถอะ ท่านปู่อย่างข้าเกิดต้องตาเจ้าเข้าแล้วสิ”

 

เมื่อหลงเฉินได้ฟังวาจาของคนผู้นั้นจบ ก็หรี่นัยน์ตาจ้องเขม็งโดยที่ส่วนลึกภายในนั้นได้ปรากฏจิตสังหารขึ้นมา

.

.

ช่องทางการจัดจำหน่าย : https://novelrealm.com/detail.php?novel=22 <<< (ถึงตอนที่ 974 แล้วครับ)

ฝากแฟนๆกดติดตามหรือกดLikeเพจเคล็ดกายานวดาราด้วยครับ >>> 9 ดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset