“ตู้ม!”
ดาบยาวสีทองเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นประดุจอาวุธแห่งการเบิกสวรรค์ ดาบยาวเล่มนั้นฟันเข้าใส่พลองยาวของเจียงอี้ฝ่านอย่างรุนแรง เกิดเป็นเสียงดังสนั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งผืนฟ้า
แรงปะทะทำให้พื้นดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หมอกควันปกคลุมไปทั่วบริเวณจนยากจะมองเห็นภาพได้ชัดเจน พลันเงาร่างสายหนึ่งก็ทะยานออกมาจากม่านหมอก เมื่อตกลงสู่พื้นก็กระเด็นกระดอนอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลิ้งออกไปนอกพื้นที่ที่เคยเป็นเวทีประลอง ไกลกว่าหลายร้อยจั้ง จึงค่อยฝืนหยุดร่างเอาไว้ได้
เมื่อภาพของเงาร่างนั้นชัดเจนขึ้น ก็ปรากฏเป็นเจียงอี้ฝ่านศิษย์ของหมู่ตึกที่สามสิบหก ที่กำลังอ้าปากกว้าง ตาเบิกค้าง ทอสีหน้าแตกตื่นตกใจอย่างหนักหน่วง
เจียงอี้ฝ่านนั้น เบิกวิชาแห่งการผสานรวมสัตว์ขึ้นมาใช้ ทำให้พลังการต่อสู้เพิ่มพูนขึ้นมาก ร่างของเขาเองก็แข็งแกร่งมากกว่าปกติหลายสิบเท่า แต่ทว่าแรงระเบิดจากการปะทะกันเมื่อครู่นี้ กลับยังสามารถทำให้ร่างกายของเขาลอยกระเด็นออกไปอย่างรุนแรงได้ เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นพลังที่มีความรุนแรงมหาศาล
เจียงอี้ฝ่านคิดอย่างแตกตื่น จับจ้องมองเข้าไปในกลุ่มควันเบื้องหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพเงาร่างสายหนึ่งก็ค่อยๆปรากฏต่อสายตา เป็นคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากจุดที่เป็นใจกลางของกลุ่มหมอกควัน
หลงเฉินเดินออกมาพร้อมกับดาบยาวสีทองที่เปี่ยมไปด้วยพลังพาดอยู่บนหัวไหล่ ดูคล้ายกับเทพสวรรค์ลงมาจุติ ทั่วทั้งร่างกายของเขา เมื่อมองดูแล้วให้ความรู้สึกราวกับเย้ยไปทั้งฟ้าดิน สายตาทอดมองไปทั้งแปดทิศด้วยความแน่วแน่ ค่อยๆเดินออกมาอย่างช้าๆ
ศิษย์ทั้งหมดของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก จ้องมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึกตาค้าง รู้สึกแห้งผากไปทั้งลำคอ ทว่าจะกลืนน้ำลายก็ทำได้ยากเหลือเกิน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้พวกเขาแทบไม่กล้าที่จะเชื่อสายตาของตนเอง
ในขณะที่ถู่ฟางและเหล่าบรรดาศิษย์ร่วมสำนักกับหลงเฉินนั้น ไม่ได้เกิดความรู้สึกตกใจมากมายแต่อย่างใด พลังการต่อสู้ของหลงเฉินพวกเขาต่างก็กระจ่างแจ้งที่สุด ว่าหอกยาวอัสนีบาตที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่ตัวช่วยอบอุ่นร่างกายเท่านั้น
ขณะนี้เมื่อได้เรียกทลายมารออกมา ก็หมายความว่าการอบอุ่นร่างกายได้สิ้นสุดลงแล้ว ได้เวลาเข้าสู่การต่อสู้ที่แท้จริงเสียที
“พี่ใหญ่ช่างมีพลังยุทธ์ร้ายกาจนัก”
กัวเหรินประกบกำปั้นทั้งสองมือเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ชูขึ้นสูง บนใบหน้าเต็มไปด้วยแววลิงโลด ราวกับว่าดาบทลายมารของหลงเฉิน ได้ซัดเจียงอี้ฝ่านให้ลอยไปได้ในดาบเดียว
ศิษย์คนอื่นๆก็เป็นเช่นเดียวกันกับกัวเหริน มองไปทางหลงเฉิน สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ หลงเฉินในใจของพวกเขานั้น ก็ไม่ต่างอะไรไปจากเทพไร้พ่ายผู้หนึ่ง
ทุกครั้งที่ได้เห็นหลงเฉินลงมือจัดการกับศัตรู พวกเขาต่างก็รู้สึกเลือดลมเดือดพล่านกันขึ้นมา เด็กน้อยที่ยังมีความเกลียดชังเต็มแน่นอยู่ในอก ก็แทบจะทำการสังหารผู้คนทั้งหมดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามให้หมดสิ้นไป
“เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว ร่ายรำอยู่เบื้องหน้ามาครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็เอาบั้นท้ายชี้ฟ้าให้ดูอีก จะมีความสามารถอะไรบ้างสักหน่อย ก็ไม่ได้หรือไงกัน ?
คนอย่างเจ้ายังคู่ควรที่จะถูกเรียกขานเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศได้ด้วยอย่างงั้นหรือ ? อย่าบอกข้านะว่าตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศของเจ้า เป็นเพราะใช้วัวควายซื้อหามา” หลงเฉินกล่าวคำสบประมาทออกมา ด้วยสีหน้าไม่แยแส
หลงเฉินก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาไม่ยอมใช้พลังอย่างเต็มที่ นั่นเป็นเพราะว่านี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ จึงไม่อาจที่จะไม่ระวังตัวได้
คิดที่จะถ่องแท้ในการต่อสู้ มีแต่ต้องกระจ่างในพลังฝีมือของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้เพิ่มพูนโอกาสในการได้รับชัยชนะของตนเองได้มากยิ่งขึ้น ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ เช่นนี้จึงถือเป็นกลยุทธ์การต่อสู้ที่เชื่อถือได้มากที่สุด
แต่ว่าตอนนี้หลงเฉินรู้แล้วว่า เจ้าหนูเจียงอี้ฝ่านผู้นี้ เรียกว่าเป็นตัวโง่งมได้เลย ชั้นเชิงการต่อสู้ก็แทบจะไม่มี ทำได้แค่หลับหูหลับตาทุบตีเหมือนคนหูดับตาบอด
การโจมตีในครั้งที่ผ่านมา ที่ดูคล้ายว่าจะมียุทธวิธีที่เหนือชั้น ที่แท้กลับมีแต่เพียงคุ่คุยโอ้อวดถึงพลังอันน้อยนิดของตนเองออกมาเท่านั้น หลงเฉินยังคิดว่าเขาจะเก่งกาจมากกว่านี้เสียอีก แต่สุดท้ายใช้แค่เพียงดาบเดียวก็สามารถซัดจนกระเด็นได้แล้ว ทำให้ในตอนนี้หลงเฉินรู้สึกว่าตนเองคล้ายกับถูกเหยียดหยาม
หากทราบตั้งแต่แรกว่าเจ้าตัวโง่งมผู้นี้จะเชื่อถือไม่ได้ถึงเพียงนี้ เขาก็คงไม่มัวรอรี คอยแต่ระมัดระวัง ดูชั้นเชิง เช่นนี้ มิสู้ใช้ดาบสับให้ตายเสียแต่แรก ก็คงสิ้นเรื่องไปแล้ว
จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้หลงเฉินเข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ความหมายของสิ่งที่เรียกกันว่าสุดยอดฝีมือนั้น สำหรับแต่ละผู้คนก็ยังมีข้อแตกต่างกันเป็นอย่างมากอยู่ ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเทียบเคียงกับม่อเนี่ยน หรือหยินหลอได้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ? ” เจียงอี้ฝ่านกล่าวขึ้น ทั้งตื่นตระหนกทั้งเดือดดาล
“หน้าเจ้าไม่เจ็บแล้วอย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินยังคงใช้คำพูดเดิม
“เจ้า!……ไปตายซะ”
เจียงอี้ฝ่านถูกเพลิงโทสะเข้าครอบงำในพริบตา ตอนนี้เขาทั้งโกรธและแตกตื่น จนแทบจะควบคุมสติไว้ไม่ได้ เข้าใกล้ความบ้าคลั่งเต็มที เขาใช้พลองยาวในมือไล่ฟาดเข้าใส่หลงเฉินถี่รัว
“เจ้าก็ไปเองสิ”
ทลายมารในมือหลงเฉินที่เต็มไปด้วยความเร้นลับสุดจะคาดเดา ถูกเขาใช้ฟาดฟันเข้าไปบนพลองยาวของเจียงอี้ฝ่านอย่างหนักหน่วง
ในตอนนั้น เจียงอี้ฝ่านรู้สึกได้ถึงพลังขุมใหญ่พุ่งตรงเข้ามาปะทะ พลังนั้นรุนแรงจนเขาไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้เลย ได้แต่ล้มกลิ้งไปกลิ้งมา ตามแรงปะทะนั้น สุดท้ายก็ลอยกระเด็นออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้นั้นทั้งสูงและไกลยิ่งกว่าเดิม เจียงอี้ฝ่านตกลงบนพื้นดินโคลน ไกลกว่าจุดเดิมถึงพันจั้ง ไถลไปกับพื้นจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อน ในปากก็เต็มไปด้วยโคลน
“นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“หลงเฉินผู้นี้ที่แท้เป็นสัตว์ประหลาดใช่หรือไม่”
“ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นในกลุ่มศิษย์ของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก ทุกคนต่างตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ความแข็งแกร่งของหลงเฉินคนนี้นั้น ช่างน่ากลัวจนเกินไปแล้ว
โล่วปิงเองก็เช่นกัน นางจ้องมองหลงเฉินด้วยความตื่นตระหนก และเมื่อพินิจดูดาบยาวในมือขอหลงเฉิน ก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมา : ชัดเจนแล้ว หลงเฉินผู้นี้เป็นผู้ที่มีพลังกายเทพมาตั้งแต่เกิด ดาบยาวประหลาดเล่มนั้น ช่างน่าตกใจยิ่งนัก
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือร่างกายที่ผอมบางนั้น ลวงผู้คนเอาไว้ ผู้ใดก็คงคิดไม่ถึงว่า ร่างกายที่ผอมบางอ่อนแอเช่นนั้น จะสามารถซุกซ่อนพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดหวั่นไว้ได้ นี่แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์มายาในร่างมนุษย์แล้ว
เจียงอี้ฝ่านถูกเหวี่ยงไปมาจนหัวหมุน ตกลงมาที่พื้น มึนงงอยู่ชั่วขณะจนไม่สามารถเงยหน้าที่แนบติดกับพื้นขึ้นได้ ดินโคลนที่พื้นใต้ตัวเขาเห็นเป็นรอยครูดไถลเป็นทางยาว
เมื่อได้สติกลับคืนมา ก็รู้สึกว่าภายในปากถูกยัดไว้ด้วยอะไรบางอย่างจนเต็มแน่น เขาถ่มคายสิ่งนั้นออกมา จึงได้ทราบว่าเป็นเศษดินโคลน
เมื่อคายดินโคลนออกมาแล้ว จึงได้รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ภายในปากจนแทบจะทนรับไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางหลงเฉินที่อยู่ห่างออกไปอย่างเจ็บแค้น
ในตอนนั้นเอง หลงเฉินก็ได้ทอสีหน้า ‘เป็นห่วง’ มองตอบกลับมา แล้วเอ่ยถาม : “หน้าเจ้าเจ็บอยู่อย่างงั้นหรือ ? ”
เจียงอี้ฝ่านได้ฟังก็เกิดอาการหน้าตึงขึ้น เขายันกายลุกขึ้นช้าๆ ชี้ไปทางหลงเฉินแล้วกล่าว : “ข้ายอมรับว่าดูแคลนเจ้าเกินไป ทว่าหากเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ แล้วยังจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถือว่าเจ้านั้นคิดผิดมหันต์แล้ว
ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้ากระตุ้นโทสะข้าได้เป็นที่สำเร็จแล้ว ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้ร่างของเจ้า ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ รวมทั้งคนในตระกูลของเจ้า ข้าก็จะไม่ยกเว้น เหอะเหอะ……”
หลงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ตัวบัดซบผู้นี้ถึงกับคิดที่จะใช้ครอบครัวมาคุกคามเขา และเขารู้สึกได้ว่า ตัวบัดซบอย่างเจ้านี้ เป็นคนถ่อยจิตใจคับแคบผู้หนึ่ง ดังนั้นคงสามารถทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่พูดได้แน่นอน
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะลอบถอนใจออกมา สวรรค์ ท่านตามืดบอดหรืออย่างไร ถึงได้ให้ตัวบัดซบเช่นนี้ สำเร็จเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศได้
“ดูเหมือนว่าข้าคงไม่สามารถที่จะปล่อยให้เจ้ากลับไปอย่างมีชีวิตได้แล้วจริงๆ” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นเยียบ ทุกๆคำพูด เอ่ยออกมาพร้อมกับก้าวเข้าหาเจียงอี้ฝ่านไปทีละก้าว
ขณะนี้ บนพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่เคยเป็นที่ตั้งของเวทีประลองซึ่งแตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้วนั้น ได้ปรากฏเป็นหลุมขนาดยักษ์ขึ้น กินอาณาบริเวณกว้างหลายสิบลี้ เศษชิ้นส่วนเวทีเหล็กกล้ากระจัดกระจายไปทั่ว หาได้มีสภาพดั่งที่เคยกล่าวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วไม่
“ฮ่าฮ่าฮ่า คิดที่จะฆ่าข้างั้นหรือ ? เจ้าก็ช่างทำให้ข้าขำเสียจริง เช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นเองว่า ต่อให้เจ้าฝึกปรืออีกสักพันปี ก็ยังไม่อาจที่จะรู้จักหลักวิชาเทพเทวะของข้าได้”
เจียงอี้ฝ่านหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่ง กัดฟันแน่น ที่หว่างคิ้วก็มีแผนภาพปรากฏขึ้นมา จากนั้น เขาก็ผสานมือเข้าหากันผนึกเป็นลักษณะที่ซับซ้อน
“ครืนครืน”
ในระหว่างที่วิชานั้นสำแดงออกมา บนแผ่นหลังอันเปล่าเปลือยของเจียงอี้ฝ่านก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงไม่หยุด คล้ายกับว่าจะระเบิดขึ้นมาก็มิปาน ในเวลาเดียวกันก็ก่อเกิดพลังสภาวะที่โหดร้ายขุมหนึ่งดีดพุ่งออกมา
หลงเฉินเห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา เขาพบว่าสภาวะอากาศเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นมาไม่หยุด ก่อนจะค่อยๆปรากฏเป็นเงาพยัคฆ์ขนาดใหญ่ให้เห็น
เงาพยัคฆ์นั้นมีความสูงสิบจั้ง แม้จะคล้ายว่าเกิดขึ้นจากการเข้ารวมตัวกันของหมอกสีดำ แต่ดูไปแล้วกลับให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด
พลังสภาวะที่แผ่กระจายออกมานั้นทำให้ผู้คนหายใจติดขัด และทันทีที่เงาพยัคฆ์สายนั้นปรากฏขึ้นมา แววตาทั้งคู่ของเจียงอี้ฝ่านก็กลายเป็นสีเลือดในพริบตา ดวงตาสีเลือดที่น่ากลัว ดูคล้ายกับดวงตาแห่งมารร้าย
“ซูม”
เจียงอี้ฝ่านสะบัดพลองยาวในมือ แล้วหมุนควงกวัดแกว่ง จนเกิดเสียงซูมซูมดังขึ้น และเมื่อมีเงาพยัคฆ์สายนั้นหนุนเสริมแล้ว ก็ทำให้พลังอันมหาศาลของเขาปะทุขึ้นมาอย่างถึงขีดสุด
“นี่คือตัวตนที่แท้จริงของข้า เจ้าหนู รับความตายไปซะเถอะ”
เจียงอี้ฝ่านตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วก็พุ่งเข้าใส่หลงเฉินทันที จับพลองไว้ด้วยมือทั้งสองข้างฟาดเข้าไปที่หลงเฉินอย่างรุนแรง
“ตู้ม”
หลงเฉินยกดาบขึ้นต้านทาน เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และถูกพลังอันแข็งแกร่งมหาศาลขุมนั้นซัดจนต้องถอยออกไปเป็นสิบก้าว
ในทุกครั้งที่หลงเฉินถอยไปหนึ่งก้าว ก็ทำให้พื้นดินยุบตัวลงตามไปด้วย จนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อถอยไปถึงสิบกว่าก้าว ก็ต้านทานพลังนั้นไว้ไม่ไหว ถูกพลังนั้นดันห่างออกไปเกือบร้อยจั้ง
“ไม่เลวเลยจริงๆ นี่สิ ถึงจะมีความหมายขึ้นมาบ้าง”
หลงเฉินสะบัดมือที่ชาไปมาเล็กน้อย เช่นนี้จึงค่อยดูสมเป็นผู้ที่มีกลิ่นอายของสุดยอดฝีมือขึ้นมาบ้าง
“ตายซะ!”
เจียงอี้ฝ่านใช้พลองกระแทกตัวหลงเฉิน จนกระเด็นไปทางด้านหลัง แล้วก็โจมตีออกไปอีกครั้ง เขาในขณะนี้เมื่อมีเงาพยัคฆ์คอยหนุนเสริม ตลอดทั่วทั้งร่างก็ได้ระเบิดพลังออกมา
“เคร้ง”
เสียงดาบและพลองปะทะเข้าด้วยกัน ทว่าครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เกิดการระเบิดขึ้น เพราะพลองของเจียงอี้ฝ่านในตอนนี้ราวกับกระแทกเข้ากับฝ้ายก็มิปาน แต่ทำให้พลังอันมหาศาลทั้งร่างถึงกับถูกสลายหายไปจนสิ้น จนทำให้รู้สึกอัดอั้นจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
“วิชาดาบวายุคลั่งช่างสมกับที่เป็นทักษะยุทธ์ขั้นพสุธาระดับสูง วิจิตรงดงามนัก ประดุจการประดิษฐ์อักษรที่หมดจด”
“ไสหัวไป”
หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดัง คล้ายกับสายฟ้าฟาดลงมาจากฟ้า ทลายมารในมือถูกดันออกไปทางด้านหน้า การป้องกันพลังอันมหาศาลก่อนหน้า ในตอนนี้นั้นถูกเพิ่มเติมด้วยพลังอันมหาศาลที่ปะทุขึ้นมาเพียงชั่วพริบตา
เจียงอี้ฝ่านก็รู้สึกได้ว่าดาบของหลงเฉินนั้นทำให้พลังอันมหาศาลดั่งขุนเขาของตนเองเสมือนหลั่งไหลลงสู่มหาสมุทร จึงได้รีบที่จะทำการต้านทาน
แต่ทว่าก็ไม่ทันกาลแล้ว ทันใดนั้นเองเขาก็พบว่า พลังอันมหาศาลของตนนั้นถูกฉีกแยกเป็นสองส่วนไปแล้วและกำลังโจมตีกลับมา เขาถึงกับไร้หนทางที่จะรับไว้ได้ จนต้องกระเด็นถอยออกไปในทันที
โล่วปิงและเหล่าศิษย์จากหมู่ตึกที่สามสิบหกเมื่อเห็นว่า เจียงอี้ฝ่านที่ใช้กระบวนท่าที่เหนือชั้นกว่า แต่กลับไม่อาจที่จะทำอันตรายหลงเฉินได้ ก็ต่างพากันหน้าถอดสี
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ? ”
แม้แต่สีหน้าของโล่วปิงก็ยังต้องเปลี่ยนไป ความแข็งแกร่งของหลงเฉินนั้นถือได้ว่าอยู่ห่างไกลไปจากที่นางคาดเดาเอาไว้มากไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์คงจะย่ำแย่ลงไปอีกเป็นแน่
“ตู้ม”
“ตู้ม”
“ตู้ม”
แม้ว่าพลังกายของเจียงอี้ฝ่านจะปะทุเพิ่มพูนขึ้นมา จนทำให้เกิดการโจมตีที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ก็ยังคงถูกหลงเฉินกดดันจนต้องถอยรนออกไปติดต่อกัน นี่แทบทำให้เจียงอี้ฝ่ายตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยความโกรธ
หากเป็นก่อนหน้านี้แล้วพลังกายของเจียงอี้ฝ่านในตอนนี้ สมควรที่จะสามารถควบคุมหลงเฉินเอาไว้ได้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่โชคไม่ได้เข้าข้างเขา เพราะหลงเฉินพึ่งจะฝึกปรือวิชาดาบวายุคลั่งมา จึงได้ทำให้วิชาสายดาบของเขาเจิดจรัสมากขึ้นกว่าเดิม
นั่นทำให้เจียงอี้ฝ่านที่ร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลัง ถึงกับทำอะไรหลงเฉินไม่ได้ ในเวลานี้ดาบยาวในมือของหลงเฉินฟาดฟันเข้าหาคู่ต่อสู้ไม่หยุด จนสาดเป็นประกายสีทองไปทั่วผืนฟ้า กดดันให้เจียงอี้ฝ่านถอยออกไปไม่หยุดเช่นกัน
ภายใต้การโจมตีที่ฟาดฟันลงมาดุจฝนคลั่งพายุคะนองของหลงเฉินนั้น ถึงกับทำให้เจียงอี้ฝ่านไม่อาจนำเอาพลังสภาวะในร่างกายออกมาได้ และมีบางครั้งที่ได้ทุ่มพลังทั้งหมดโจมตีออกไปในกระบวนท่าเดียว แต่กลับยังต้องถูกหลงเฉินใช้เคล็ดวิชาโดยการหยิบยืมพลังส่วนหนึ่งสวนกลับไป จนทำให้เขามีโทสะจนแทบกระอักเลือดออกมา
“นี้มันวิชาดาบวายุคลั่ง”
ผู้อาวุโสของหมู่ตึกผู้หนึ่งที่จดจำทักษะยุทธ์ชุดนี้ได้เอ่ยขึ้น ผู้อาวุโสผู้นั้นเมื่อได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมขึ้นมาว่า “หลงเฉินช่างสมกับเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้จริง ได้ยินมาว่าเขาพึ่งจะเข้าไปนำเอาทักษะยุทธ์ชุดนี้มาจากหอพลิกสวรรค์เมื่อไม่นานมานี้เอง
ช่วงเวลาเพียงสั้นๆเท่านี้ ก็สามารถที่จะถ่องแท้ต่อวิชาดาบได้แล้ว ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ ด้วยคุณลักษณะเช่นนี้ ด้วยความกล้าหาญเช่นนี้ ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสที่อยู่ท่ามกลางสนามประลอง อายุอานามต่างก็เกินเจ็ดสิบกว่าปีกันไปแล้ว เรียกได้ว่ามีชีวิตมานานถึงเพียงนี้แล้ว แต่ยังอดไม่ได้ที่จะสาดประกายแววตาที่แสบร้อนขึ้นมา
เพียงแค่ครู่เดียวที่ได้มองดูการต่อสู้ ก็สามารถที่จะมองออกว่า เป็นวิชาทักษะใดที่หลงเฉินใช้ออกมาต่อสู้กับเจียงอี้ฝ่าน จากนิสัยการต่อสู้ ‘เข้าแลก’ ที่แล้วๆมาของหลงเฉิน เมื่อเทียบกับในเวลานี้เสมือนกลายเป็นคนละคนไปเลยทีเดียว
อีกทั้งหลงเฉินยิ่งสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ วิชาดาบที่ใช้ยิ่งนานก็ยิ่งเร่าร้อนมากยิ่งขึ้น จนท้ายที่สุดแล้วจะยิ่งเคยชินจนออกกระบวนท่าได้อย่างอิสระ
ผู้อาวุโสหลายคนสบตามองกัน แล้วอดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจออกมา ที่แท้ในแม่น้ำฉางเจียงคลื่นลูกหลังกระทบไล่คลื่นข้างหน้า บนโลกนี้คนรุ่นใหม่ตามไล่หลังคนรุ่นเก่า คลื่นด้านหน้าอย่างไรก็ต้องกระทบจบอยู่ที่ชายหาดอยู่ดี หลงเฉินนั้นถึงกับถือโอกาสใช้ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศผู้หนึ่งมาเป็นหินลับมีดให้ตัวเอง
นึกไปนึกมาถึงช่วงเวลาที่ตนเองยังเยาว์วัย ต่างก็ปฏิบัติตนไปตามระเบียบแบบแผนที่วางเอาไว้มาโดยตลอด เมื่อเทียบเปรียบกับหลงเฉิน พวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองก็ช่างมีชีวิตอย่างสูญเปล่านัก
ไม่แต่เพียงถู่ฟางและเหล่าผู้อาวุโสมากมายที่มองออก แม้แต่ถังหว่านเอ๋อที่ถือได้ว่าเป็นศิษย์ที่มีพลังฝึกปรือสูง ก็ยังสามารถที่จะมองออกได้
นี่ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เพราะนับตั้งแต่แรกมาจนถึงก่อนหน้านี้ วิชาดาบของหลงเฉินนั้นสะเปะสะปะเป็นอย่างยิ่งจนเห็นได้ชัด ในระหว่างที่เวลาได้ล่วงเลยไป ยิ่งผ่านเลยไป ก็ยังดูไม่ออกว่าประหลาดที่ตรงใด
ถังหว่านเอ๋ออดที่จะส่ายหน้าไปมาไม่ได้ กับเด็กน้อยผู้นี้ที่มีชีวิตมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ หลงเฉินที่ตลอดมานี้คล้ายกับกำลังท้าทายสิ่งที่เป็นดั่งต้นแบบของทุกคนมาโดยตลอด
การที่ใช้ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศเป็นตัวทดสอบ ตัวทดสอบที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เกรงว่าบนโลกใบนี้ คงจะมีแต่คนที่มีสมองเช่นเดียวกับหลงเฉินจึงจะสามารถคิดขึ้นมาได้
ทางด้านโล่วปิง ตอนนี้มีสีหน้าปั้นยากอย่างถึงขีดสุด ลงมือไปก็หลายครั้งหลายครา แต่กลับต้องเป็นฝ่ายที่พ่ายเสียเอง ในเวลานี้นางเกิดความสับสนอย่างหนัก ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
“ตัวบัดซบหลงเฉิน เป็นเจ้าบังคับข้าเองนะ”
เจียงอี้ฝ่านทันใดนั้นก็ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง บนใบหน้าที่ดุร้าย ก็ได้กัดฟันเอาไว้ ผนวกสองมือประกบเข้าด้วยกัน
“สัตว์ร้ายพรรณนาผสานร่าง”
.
.