“สัตว์ร้ายพรรณนาผสานร่าง”
ในขณะที่เจียงอี้ฝ่านตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เงาพยัคฆ์ขนาดใหญ่ที่ด้านหลังของเขา ก็ค่อยๆถ่ายเทเข้าสู่ภายในร่างกาย ในเวลาเดียวกันพลังสภาวะอันโหดร้ายก็ได้พวยพุ่งออกมา
หลงเฉินลอบแตกตื่นขึ้นมา ภายในพริบตานั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเก่าแก่ที่สุดขุมหนึ่ง ซึ่งทำให้หลงเฉินถึงกับหยุดนิ่งลง
“ครืนครืน”
“กร๊อบ”
ที่ทำให้ทุกผู้คนหวาดผวาขึ้นมาก็คือ บนร่างของเจียงอี้ฝ่าน ได้เกิดเสียงดังครืนที่น่าประหลาดขึ้น เสียงนั้นฟังคล้ายกับเสียงกระดูกแตกก็มิปาน
“สวรรค์ นี้มันอะไรกัน ? ”
กัวเหรินและพวกพ้อง ต่างก็ทอสีหน้าหวาดผวามองไปที่เจียงอี้ฝ่าน ในระหว่างที่เงาพยัคฆ์สายนั้นแทรกซึมเข้าไปในร่างของเจียงอี้ฝ่าน ร่างกายของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นร่างที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมา
ใบหน้าก็เริ่มปลี่ยนรูปลักษณ์ เขี้ยวยาวทั้งสองข้างบนปากก็ยิ่งยาวขึ้น ส่วนหัวก็เริ่มที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างใหญ่หลวง แววตาทั้งสองข้างขยับย้ายไปอยู่ส่วนขมับ หว่างคิ้วมีเขางอกออกมา
และในขณะเดียวกันนั้นร่างกายของเขาก็ได้พองออกมาจนคล้ายกับลูกบอลเป่าลม บนแขนขาก็ได้มีเส้นขนสีดำมากมายงอกออกมา กล้ามแขนกับกล้ามขาก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเอวของมนุษย์
และที่น่าหวาดผวามากที่สุดก็คือ ตรงส่วนบั้นท้ายของเจียงอี้ฝ่านถึงกับมีบางอย่างที่คล้ายกับหางงอกเงยออกมา หางนั้นยาวเกือบหนึ่งจั่ง ลักษณะคล้ายกับเป็นหางของอสรพิษ ที่ด้านบนยังปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่เร้นลับอยู่เต็มไปหมด
เจียงอี้ฝ่านในเวลานี้แทบจะดูไม่คล้ายกับร่างของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่คล้ายกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็มิปาน ร่างกายเขาทำให้เกิดสภาวะบรรยากาศที่น่าหวาดกลัว จนทำให้พื้นดินที่เขายืนอยู่ เกิดการสั่นไหวขึ้นมาไม่หยุด
คนที่อยู่ในสนามทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือพวกพ้องของเขา ต่างก็ถูกภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏแก่สายตาทำให้อยู่ในอาการตกตะลึง พลังฝีมือเช่นนี้ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน
ท่ามกลางคนมากมายที่อยู่ในสนาม มีแต่เพียงโล่วปิงที่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้ที่หลงเฉินกล่าวไว้นั้นไม่ผิดเลย แท้จริงแล้วเจียงอี้ฝ่านหาได้มีคุณสมบัติที่คู่ควรจะได้รับตำแหน่งของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศไม่
เพราะพลังฝีมือของเขา ไม่ว่าจะถูกวางไว้ในที่ตำแหน่งใด เมื่ออยู่กับสุดยอดฝีมือคนอื่นๆ ยังถือได้ว่าห่างกันถึงขุมหนึ่ง
แต่ท้ายที่สุด เมื่อเจียงอี้ฝ่านที่ได้หยิบยืมใช้พลังจากสัตว์ร้ายพรรณนาผสานร่าง ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่เหนือชั้น ก็ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากสาขาหลักมาได้ อีกทั้งทางสาขาหลักยังคิดว่าเขานั้นมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับสุดยอดฝีมือคนอื่นๆ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันอย่างน้อยก็ถือได้ว่าจัดอยู่ในระดับเดียวกันได้
ทว่าภายในหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกมีแต่เพียงเจ้าสำนักกับโล่วปิงเท่านั้นที่ทราบ เมื่อได้ใช้กระบวนท่านี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือว่าจิตวิญญาณ เกี่ยวกับเจียงอี้ฝ่าน ต่างก็น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง
ตระกูลของเจียงอี้ฝ่านถือได้ว่าเป็นตระกูลที่เก่าแก่เป็นอย่างยิ่งตระกูลหนึ่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะตกต่ำลงไปแล้ว ทว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเองก็ยังเคยปรากฏมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่มาก่อน
ด้วยว่าบุคคลนั้น มีความแข็งแกร่งที่สามารถผสานรวมร่างเข้ากับสัตว์ร้ายได้ ซึ่งความแข็งแกร่งนั้นก็ถูกส่งต่อมาสู่ลูกหลาน หลงเหลือเป็นสายโลหิตที่แข็งแกร่งเอาไว้ และมาปรากฏชัดเจนในรุ่นของเจียงอี้ฝ่าน ความสามารถนั้นในตัวเขาสามารถปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้
ทว่าการผสานเงาสัตว์นั้น ไม่เพียงเป็นการรวมพลังที่แข็งแกร่งของสัตว์ร้ายเอาไว้ แต่ยังสามารถที่จะผสานรวมความแน่วแน่ของสัตว์มายาให้ปะทุออกมาได้ หากว่าใช้ร่วมกับทักษะยุทธ์เข้าไปอีกเช่นนี้ ก็จะยิ่งทำให้ยิ่งเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาได้ง่าย จนท้ายที่สุดก็จะง่ายที่จะเกิดความบ้าคลั่งจากความกระหายเลือดขึ้นมาได้
บรรพบุรุษท่านนั้นของเขา เนื่องจากเป็นเพราะมีความกระหายเลือดที่มากจนเกินไป จึงได้ถูกไล่ล่า และสุดท้ายก็ถูกสุดยอดฝีมือผู้หนึ่งสังหารไป
ทว่าไม่ว่าจะเกิดผลกระทบมากมายแค่ไหน แต่ว่าวันใดที่ใช้กระบวนท่านี้ออกมา ก็จะทำให้เจียงอี้ฝ่ายระเบิดพลังเพิ่มขึ้นมาได้นับสิบเท่า จนเรียกได้ว่าแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้
ถ้าหากมิใช่เป็นเพราะกระบวนท่าสัตว์ร้ายพรรณนาผสานร่างนี้ เจียงอี้ฝ่านก็แทบจะไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสุดยอดฝีมือได้เลย ในเวลานี้เจียงอี้ฝ่านจึงถือได้ว่าอยู่ในระดับพลังสภาวะสูงสุดของเขาแล้ว
ทว่าหลังจากที่ใช้กระบวนท่านี้ไปแล้ว เจียงอี้ฝ่านจะต้องกลับไปพักฟื้นเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน จึงจะสามารถฟื้นคืนมาจากผลกระทบที่ตามมาได้บ้าง นี่จึงแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการทำร้ายตนเองอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
“หลงเฉิน ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วสินะว่า ข้ากับเจ้ามันคนละชั้น เช่นนั้นเจ้าก็ตายไปได้แล้วละ”
เจียงอี้ฝ่านในเวลาที่ได้ระเบิดพลังในร่างออกมาเช่นนี้ แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังไม่คล้ายกับมนุษย์ไปแล้วด้วยซ้ำ ทุ่มต่ำราวกับสัตว์มายา จนทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา
“หน้าเจ้าไม่เจ็บแล้วอย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินเองก็คร้านจะเปลี่ยนวาจาที่กล่าวออกมา
“ซูม”
พลองของจางอี้ฝ่านถูกฟาดลงมาอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนองของเขารวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ แม้ว่าพองนั้นจะยังฟาดลงมาไม่ถึงพื้น แต่ด้วยพลังสภาวะมหาศาล พื้นดินอันกว้างใหญ่ก็ยังไม่อาจจะทนรับพลังทำลายเอาไวได้ ถึงกับค่อยเกิดรอยแตกขึ้นมาแล้ว
“ตู้ม”
พลองยาวนั้นฟาดลงมาบนดาบยาวของหลงเฉินอย่างรุนแรง พื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าของหลงเฉินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนหลงเฉินรู้สึกเนื้อตัวสั่นสะท้าน จนไม่อาจควบคุมร่างไม่ให้ลอยกระเด็นออกไปได้
“แข็งแกร่งยิ่ง”
หลงเฉินรู้สึกได้ว่าที่หน้าอกเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย คล้ายกับอวัยวะภายในเกิดการพลิกไปมาก็มิปาน มุมปากของเขามีโลหิตไหลรินออกมา ตอนนี้เจียงอี้ฝ่ายแข็งแกร่งอย่างแท้จริง หาได้เป็นชื่อเสียงจอมปลอมไม่
“ไปตายซะเถอะ”
กระบองที่โจมตีเข้ามาเพียงครั้งเดียวซัดจนหลงเฉินกระเด็นลอยออกไป เจียงอี้ฝ่านหยุดเท้าเอาไว้กับพื้น จนทำให้พื้นดินเกิดการแตกขึ้นเป็นเสี่ยงๆ ตลอดทั่วทั้งตัวอยู่ท่ามกลางอากาศ มือทั้งสองข้างที่กุมพลองเอาไว้ก็ได้ไหลเวียนเอาพลังอันมหาศาลทั่วทั้งร่างกายทั้งหมดมา ยกพลองฟาดกระแทกลงไปอีกครั้งอย่างรุนแรง หมายที่จะบดขยี้หลงเฉินให้กลายเป็นก้อนเนื้อบดภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
บนใบหน้าหลงเฉินก็ได้ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้น นี่แหละจึงถือเป็นการต่อสู้ที่แท้จริง
“วงแหวนแห่งเทพบังเกิด”
“ตูม”
เจียงอี้ฝ่านเมื่อได้ฟาดกระบองลงมา บริเวณโดยรอบกว่าร้อยลี้ก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันก็เกิดหมอกควันปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้าคล้ายดั่งระลอกคลื่นซัดถาโถมเข้ามาก็มิปาน แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน สั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า
“ศิษย์พี่เจียงแข็งแกร่งยิ่ง”
“เหอะเหอะ คราวนี้หลงเฉินผู้นั้นคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“เจ้าพวกคร่ำครึ มีหรือที่จะสามารถเทียบกับผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของพวกเราได้ ? ”
เมื่อได้ฟังเสียงที่ดังสนั่นไปทั่วทุกพื้นที่ ถึงแม้ว่าจะถูกม่านควันบดบังสายตาเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยังคิดว่า การโจมตีที่หนักหน่วงเพียงนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดจะสามารถมีชีวิตรอดไปจากกระบวนท่าที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้อย่างแน่นอน
“สมควรที่ร่างกายต้องแหลกลานไปแล้วละ” ได้มีคนกล่าวเยาะเย้ยออกมา
“เอ๊ะ ไม่ถูกต้อง”
ในช่วงเวลาที่ม่านควันปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถที่จะมองเห็นความเป็นไปของสภาพการณ์ได้อย่างชัดเจน ทว่าพวกเขายังสามารถมองเห็นบางอย่างได้อย่างชัดเจน
สิ่งนั้นก็คือวงแหวนแห่งเทพ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าร้อยจั้ง ปกคลุมอยู่ทั้งบนฟ้าและที่พื้นดิน ทั้งยังส่องแสงเป็นประกายสว่างเจิดจ้าอย่างไร้ที่เปรียบ สาดส่องไปทั่วทุกอนู แผ่ปกคลุมไปนับหมื่นภพ
“อะไรน่ะ ? ”
ทันใดนั้นศิษย์ของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก ก็ต้องอ้าปากค้างขึ้นมา จดจ้องมองไปกลางสนามอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในจุดที่หลงเฉินถือดาบยาวอยู่ เส้นผมของเขาลอยระบำขึ้นมา อาภรณ์พลิ้วไหวไปตามพลังสภาวะของเขาไม่หยุด วงแหวนแห่งเทพที่อยู่ทางด้านหลังก็ได้เพิ่มความสูงขึ้นมากว่าร้อยจั้ง จนกลายเห็นเด่นชัด คล้ายกับเทพราชาแห่งสวรรค์ลงมาจุติ ทอดมองไปอย่างกว้างไกลไปถึงสวรรค์ชั้นที่เก้า
คนทั้งสองที่กำลังถืออาวุธประจันหน้ากันอยู่ จับจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเยียบเย็น พลันศีรษะของเจียงอี้ฝ่านก็ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไป ไม่สามารถที่จะมองออกว่าเขากำลังแสดงความรู้สึกเช่นใดออกมา เพียงแต่พบเห็นแววตาของเขา ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแตกตื่นตกใจ ไม่อยากที่จะเชื่อเท่านั้น
“นี่เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อ ไปตายซะเถอะ” เจียงอี้ฝ่านตะโกนออกมาเสียงดัง ไหลเวียนพลังอันมหาศาลจากทั่วทั้งร่างเข้าสู่ใจกลางของพลองยาวอย่างบ้าคลั่ง
ที่ด้านบนพลองยาวนั้น กำกับไว้ด้วยอักขระนับไม่ถ้วน พลันก็ได้ส่องสว่างขึ้นมา สาดส่องกระจายออกมาจนกลายเป็นพลังอันมหาศาล คล้ายกับหมาป่าขนาดใหญ่ก็มิปาน ทั้งยังคล้ายกับพุ่งเข้าหาหลงเฉินไม่หยุด
หลงเฉินส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ไหลเวียนพลังภายในจุดดารากักวายุขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว พลังอันมหาศาลทั่วทั้งร่างกายก็แทบจะไม่รั้งเอาไว้อีกเลยแม้แต่น้อย ปลดปล่อยให้ไหลเวียนเข้าสู่ทลายมารจนหมดสิ้น
ทลายมารเมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังลมปราณของหลงเฉิน ทันใดนั้นก็ได้กู่ร้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหว วิถีอักขระที่ด้านบนดาบยาวก็ได้สว่างขึ้นมา คล้ายกับสัตว์ร้ายถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
“ตู้ม”
“ตู้ม”
“ตู้ม”
ในระหว่างการประลองของทั้งสองคน ด้วยพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัว ก็ได้ทำให้พื้นดินเริ่มที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อเกิดพลังหมุนวนขนาดใหญ่สายหนึ่งกระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ส่วนใจกลางของพลังที่หมุนวน ก็ได้ทำให้ทุกสิ่งถูกบดขยี้จนกลายเป็นผงไป
ศิษย์ที่ยืนอยู่ในจุดที่ห่างไกลออกไปอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจขึ้นมาอย่างหนัก เมื่อได้พบเห็นวังวนที่ปรากฏต่อสายตา แรงคุกคามแห่งความตายก็ได้ไหลเวียนกันเข้ามาในจิตใจ หมู่ศิษย์เหล่านั้นจึงได้แยกย้ายกันมุ่งหน้าหลบเลี่ยงไกลออกไป
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสของหมู่ตึกเอง ก็ยังต้องมีสีหน้าเปลี่ยนไป และพากันถอยห่างออกไปไกล ขณะนี้พลังของหลงเฉินกับเจียงอี้ฝ่านนั้น แม้แต่พวกเขาเองต่างก็ไม่อาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้ทั้งหมด คงต้านทานไว้ได้แต่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาหน้าถึงเพียงนั้นอีกแล้ว
ถังหว่านเอ๋อ กู่หยาง และพรรคพวก ในที่สุดที่รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของหลงเฉิน ก่อนหน้าที่หลงเฉินได้ต่อสู้กับหยินหลอ เนื่องจากเป็นการมองจากในที่ที่ห่างไกลมากจนเกินไป จนทำให้พวกเขาไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวเช่นนี้ได้
ทว่าการต่อสู้ที่ปรากฏอยู่ต่อสายตาในครั้งนี้ เพียงแค่ผลพวงจากการต่อสู้ของทั้งสองคน ยังสามารถที่จะสังหารเหล่าศิษย์สายนอกให้ตายได้โดยง่าย นี่ถือได้ว่าเป็นพลังการต่อสู้ที่เย้ยฟ้าได้เลยทีเดียว
สำหรับผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศแล้ว ย่อมต้องสามารถที่จะจัดการกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่มีแต่เพียงแค่ความหยิ่งทระนง ย่อมไม่อาจที่จะต้านทานพลังของผู้ใดเอาไว้ได้
พลังกายของทั้งสองคนก็ได้เพิ่มพูนมากขึ้นไม่หยุด พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ยังดีที่เป็นพื้นที่ที่เป็นลานว่างเปล่าไม่ได้มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ
ขณะนี้กลางลานประลองที่เคยเป็นที่ตั้งของเวทีประลอง ก็ได้เกิดเป็นหลุมลึกกว่าร้อยจั้งหลุมหนึ่ง ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากถึงหลายสิบลี้เลยทีเดียว
ตรงใจกลางของหลุมยักษ์นั้น หลงเฉินและเจียงอี้ฝ่านยังคงปะทะกันอย่างดุเดือดอยู่ การต่อสู้นั้นบ้าระห่ำ และแทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์อะไรเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เพียงแค่พละกำลังในการต่อสู้เท่านั้น
“ย้ากกกกกกกกกกกกก……”
เจียงอี้ฝ่านกู่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง บนใบหน้ามีเส้นเลือดปูนขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ตลอดทั่วทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปน มองเห็นโลหิตไหลเวียนไปมาอย่างช้าๆ เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าไม่ว่าเขาจะเสริมพลังเข้าไปมากมายถึงเท่าไหร่ หลงเฉินก็ยังคงสามารถที่จะรับมือเขามาได้โดยตลอด อีกทั้งยังใช้แต่เพียงพละกำลังและความเร็วเท่านั้น
“พี่ใหญ่หลงเฉิน ท่านช่างสมกับเป็นแบบอย่างของข้าเลยจริงๆ ท่านช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว” กัวเหรินตะโกนขึ้นมาอย่างลิงโลด
ทางด้านหมู่ตึก ทุกผู้คนต่างมองไปที่ร่างของหลงเฉิน จนทำให้เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาไม่หยุด หลงเฉินแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเทพไร้พ่ายในสายตาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งการมีอยู่ของหลงเฉินยังเป็นสิ่งที่คอยค้ำจุนจิตวิญญาณพวกเขาเอาไว้ด้วย
ถังหว่านเอ๋อมองไปยังเหล่าศิษย์ที่อยู่โดยรอบ เห็นสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเช่นนั้น ภายในจิตใจของนางก็ได้เปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญเพิ่มขึ้นมาอย่างเปี่ยมล้น
ถึงแม้หลงเฉินจะชมชอบหยอกล้อ และแม้ว่าตามปกติจะชอบทำตัวทะลึ่งทะเล้นอยู่เป็นประจำ และมีอยู่บางเวลาที่ยังถูกกล่าวหาว่าเด็ดดอกฟ้าอีก
แต่ว่าในช่วงเวลาสำคัญ หลงเฉินยังไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวังมาก่อนเลย เขาถือได้ว่าสมกับที่เป็นบุรุษที่ควรค่าแก่การเชื่อมั่นเลยทีเดียว
อาจจะเป็นเพราะรู้จักกับหลงเฉินมานาน และความรู้สึกระหว่างกันของทั้งคู่ ต่างก็ไม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดก็ไม่อาจที่จะเข้าใจความหมายได้ ทว่าภายในจิตใจของพวกนางเองนั้นกระจ่างกันเป็นอย่างดี
เรื่องบางอย่างนั้น การเก็บเอาไว้ในใจ เป็นสิ่งที่ดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เหยาในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ยังได้ขอให้ถังหว่านเอ๋อ คอย ‘ดูแล’ หลงเฉินให้ดี ซึ่งถือเป็นการบ่งบอกถึงทุกสิ่งได้แล้ว
ในเวลานี้เมื่อได้เห็นหลงเฉิน ดูคล้ายกับเป็นเทพบุตรเย้ยฟ้ากำลังมองทอดไปทั้งใต้หล้า ด้วยความรู้สึกทระนงตนที่มีมาแต่กำเนิดแล้วนั้น ก็รู้สึกได้ว่าความเจิดจ้าของหลงเฉินตอนนี้ก็คือความเจิดจ้าของนางเช่นเดียวกัน
ห่างออกไปจากการต่อสู้หลายร้อยลี้ หลิงหวินจื่อที่กำลังมองลงมาจากที่สูง มองดูเงาร่างสายหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางการต่อสู้อย่างพิจารณา ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้ปรากฏแววความเจ็บปวดขึ้นมา
“หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นสวรรค์กำลังชี้นำข้าอยู่อย่างนั้นหรือ ? ก่อนหน้านี้ข้าก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับเขา ที่ทระนงห้าวหาญ ไม่เกรงกลัวแม้แต่ฟ้าดิน
แต่ว่านับตั้งแต่ที่ข้าได้เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้า ภายในจิตใจกลับยิ่งบังเกิดความหวาดกลัวและหวาดเกรงขึ้นมามากยิ่งขึ้น จนไม่อาจที่จะปล่อยวางจากเรื่องที่ทำได้
ข้าที่แท้เป็นอันใดไปแล้ว ? ข้าที่แท้กำลังหวาดกลัวอยู่อย่างนั้นหรือ ? ฉากแห่งการเข่นฆ่าสังหารเมื่อก่อนหน้านี้เช่นนั้น หลิงหวินจื่อที่คอยยิ้มเย้ยความเป็นความตายผู้นั้น ได้ตายไปแล้วหรืออย่างไร ? ”
หลิงหวินจื่อมองไปยังเงาร่างของหลงเฉิน คล้ายกับว่าได้มองเห็นตนเองในช่วงเวลาที่ยังเยาว์วัยอยู่ก็มิปาน คล้ายกับเห็นเงาของตนเองทับซ้อนอยู่บนเงาร่างของหลงเฉิน
“ซูม”
ภายในห้วงความคิดของหลิงหวินจื่อก็ได้เกิดการสั่นไหวขึ้นมา คล้ายกับได้ปลดผนึกอะไรบ้างออกไป ตลอดทั่วทั้งร่างกายคล้ายกับเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน เพียงแค่ชั่วครู่ก็ได้ดูหนุ่มขึ้นมาอีกหลายปี
“หลงเฉิน ขอบใจเจ้ามาก ข้าหลิงหวินจื่อติดค้างน้ำใจเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว”
และภายในพริบตานั้นเอง หลิงหวินจื่อก็สามารถเบิกพลังแห่งจิตใจออกมา จนทำให้พลังขอบเขตเพิ่มพูนขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง
หากมีพลังในการฝึกปรือเทียบเท่ากับระดับเดียวกันกับเขาเช่นนี้นั้น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการฝึกปรือที่ไม่ง่ายดายอีกต่อไป ต่อให้สามารถที่จะทะลวงพลังขอบเขตไปได้ แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจอีกมากมาย เพื่อที่จะทำให้พลังขอบเขตอันบริสุทธิ์เพิ่มพูนขึ้นมามากยิ่งขึ้น
และหลิงหวินจื่อนั้น หลายปีมานี้ เพื่อที่จะสลัดให้หลุดจากอันดับหมู่ตึกที่รั้งท้าย จึงต้องทุ่มเทแรงใจไปไม่น้อย ผลสุดท้ายถึงกับหลงทางไปโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายตนเองก็ถูกจิตมารของตนเองคอยชักใยเสียแทนโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีหลิงหวินจื่อที่ถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุค ขณะนี้ได้เข้าใจขึ้นมาแล้ว ในที่สุดก็เปิดใจมองเห็นถึงสิ่งที่เป็นได้ จนสามารถที่จะมองเห็นท้องฟ้าในอนาคตได้ด้วย
ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ได้แฝงคติไว้ให้แก่เขา จนทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของตนเองขึ้นมาได้
“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ……อ๊ากก”
ไม่ว่าเจียงอี้ฝ่านจะสู้อย่างแทบเป็นแทบตายอย่างไร ก็ยังไม่อาจที่จะจัดการหลงเฉินได้เลย จนในที่สุดก็ทำให้เขาเข้าสู่สภาวะความคลุ้มคลั่งขึ้นมา
เดิมทีที่กำลังผสานพลังกับสัตว์ร้ายอยู่ ก็ยิ่งจะทำให้เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม เจียงอี้ฝ่านในเวลานี้นั้น ก็ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว
“วิชาผลาญโลหิต”