“กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ายอมรับ ตอนนี้เจ้าก็สมควรที่จะยอมรับว่าเจ้าเองนั้นเป็นสุกรได้แล้ว”
คำพูดของหลงเฉิน ทำให้โล่วปิงโกรธจัด นางทอสีหน้าเย็นเยียบ ในดวงตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังฉายชัด จ้องมองหลงเฉินราวกับอยากจะฆ่าให้ตาย
“เด็กเดรัจฉาน เจ้าฝันไปเถอะ!” โล่วปิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวออกมา
ทว่ายังไม่ทันที่หลงเฉินจะได้ตอบโต้กลับไป หลิงหวินจื่อก็ได้เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ทางที่ดีเจ้ายอมรับซะเถอะ”
“เฮอะ ข้าไม่ยอมรับแล้วอย่างไร ? พวกเจ้าบังคับข้าได้อย่างนั้นหรือ ? ” โล่วปิงกล่าวอย่างท้าทาย แล้วหัวเราะเสียงเย็นชา
ถึงแม้จะคดโกงจนทำให้ ‘เสียหน้า’ แต่หากว่ายอมรับว่าตนเองเป็นสุกร เช่นนั้นแม้แต่หน้าก็คงจะไม่มี‘ให้เสีย’แล้ว การกระทำเช่นนั้นเป็นความอัปยศยิ่งนัก และเป็นความอัปยศที่จะติดตามตัวนางไปตลอดกาล
อีกทั้งเรื่องนี้หากถูกเล่าลือออกไป ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของทุกคนในสำนักพลิกสวรรค์ หมู่ตึกทุกสาขาจะต้องหัวเราะเยาะเย้ยนางอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่อาจกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาได้
“ข้ามอบแต้มคุณประโยชน์ให้ แล้วก็ยอมมอบตำแหน่งของการเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้าอีกหนึ่งตำแหน่งให้แก่พวกเจ้า นี่ก็ถือว่ายอมให้มากที่สุดแล้ว พวกเจ้าน่ะ ทางที่ดีอย่าทำเป็นได้คืบจะเอาศอกดีกว่า” โล่วปิงกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ได้คืบจะเอาศอกงั้นหรือ ? สำหรับการถูกเจ้าประนามหยามเหยียดเช่นนี้ พูดจาให้ร้ายพวกเราเช่นนี้ พวกเราอยู่กันอย่างเงียบสงบ จู่ๆกลับถูกด่าทอ กลายเป็นสิ่งบรรเทิงของสตรีปากร้ายผู้หนึ่งไป การที่เราต้องการให้เจ้าแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ นี่เรียกว่าได้คืบจะเอาศอกอย่างนั้นหรือ?
สิ่งเดิมพันทั้งสามสิ่งนี้ ยังแทบจะนับได้ว่าน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ เจ้าน่ะคิดว่าตัวเองสูงส่งอยู่เหนือพวกข้า จนสามารถที่จะเหยียบย้ำพวกข้าอย่างไรก็ได้เช่นนั้นใช่หรือไม่ ? วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ายอมรับว่าตัวเจ้านั้นคือสุกรให้ได้!” หลงเฉินโต้กลับด้วยวาจาเผ็ดร้อน แต่ยังคงใช้น้ำเสียงเยียบเย็น
“ฝันไปเถอะ เจ้ากล้ากล่าววาจามากมายเช่นนี้ เพียงเพราะพวกเจ้าไม่ได้รับสิ่งเดิมพันจากข้าเพียงแค่อย่างเดียว เหอะ ข้าเองก็อยากจะดูว่าพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ? ” โล่วปิงบอกปัดไปอย่างเด็ดขาด
นางนั้นถือว่าตนเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า และยังมีพี่ชายที่มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าสำนัก นางเชื่อว่าหลิงหวินจื่อไม่กล้าที่จะทำร้ายนางอย่างแน่นอน
“ต้องขออภัยด้วย หากเป็นเช่นนั้นข้าก็มีแต่ต้องฆ่าเจ้าแล้ว” หลิงหวินจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“เจ้ากล้างั้นหรือ ? ” โล่วปิงกระแทกเสียงออกมาด้วยโทสะ
“ข้าจะให้เจ้าใคร่ครวญจนข้านับถึงสาม หลังจากที่ข้านับสาม ถ้าหากเจ้ายังไม่ยอมรับ ข้าหลิงหวินจื่อขอสาบานต่อกระบี่ยาวในมือของข้าว่า จะใช้มันตัดศีรษะของเจ้าลงมาเอง หนึ่ง ! ” หลิงหวินจื่อกล่าวอย่างเย็นชา แล้วเริ่มต้นนับ
โล่วปิงทอสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง นางทราบว่าหลิงหวินจื่อถือเป็นมือกระบี่ กระบี่ยาวในมือของเขา ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของ ‘ที่สุดแห่งความศรัทธา’ ของเขาเลยทีเดียว
มือกระบี่ทุกคน ล้วนแต่มีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ต่อกระบี่ของตน พวกเขาจะไม่สาบานอะไรอย่างง่ายดาย ยิ่งการสาบานต่อกระบี่ในมือยิ่งถือเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ การที่หลิงหวินจื่อทำเช่นนี้จึงถือว่าเป็นการสัตย์สาบานที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้า ดังนั้นเมื่อลั่นวาจาออกไปแล้ว เขาย่อมทำตามคำสาบานนั้นอย่างแน่นอน
เพราะถ้าหากพวกเขาไม่อาจที่จะทำตามที่สาบานเอาไว้ จิตวิญญาณของพวกเขาก็จะถูกทำลายลง จนในที่สุดจะไม่อาจที่จะเกิดความก้าวหน้าได้อีกต่อไป
ดังนั้นโล่วปิงจึงหวาดกลัวขึ้นมา นางเชื่อแล้วว่า สิ่งที่หลิงหวินจื่อกล่าวนั้นเป็นความจริง มิใช่เป็นเพียงการข่มขู่นางเท่านั้น
“เจ้าบ้าไปแล้ว ถ้าหากเจ้าฆ่าข้าไปแล้ว เจ้าจะต้องมีความผิดและเจ้าไม่มีทางที่จะพ้นผิด….”
“สอง” หลิงหวินจื่อตอบคำ ด้วยการเอ่ยคำเพียงคำเดียวออกมา น้ำเสียงเย็นเยียบบาดลึก
ในตอนนี้บนใบหน้าของโล่วปิงเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬเย็นเฉียบ นางไม่อาจทนรับแรงคุกคามที่แผ่ออกมาจากกระบี่ยาวของหลิงหวินจื่อได้ ยิ่งมองดูกระบี่นั้น ก็ยิ่งรู้สึกคล้ายกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายกระหายเลือดตนหนึ่งที่เตรียมพร้อมจะพุ่งกระโจนเข้าขย้ำคอของนางให้ขาดได้ทุกเมื่อ
“สาม!”
“ข้ายอมแพ้แล้ว ข้าเป็นสุกร ข้ายอมรับว่าข้านั้นคือสุกร ปล่อยข้าไปเถอะ” เมื่อหลิงหวินจื่อเอ่ยจบคำ โล่วปิงก็ร้องเสียงหลงด้วยอาการตื่นกลัวและหวาดผวา
ในช่วงเสี้ยววินาทีที่หลิงหวินจื่อขานเลขสามออกมา พริบตานั้นกระบี่ยาวของเขาก็ให้ความรู้สึกราวกับสัตว์มายาที่ตื่นขึ้นจากการหลับไหล จิตสังหารที่น่าหวาดกลัวแผ่กระจายออกมาและพุ่งตรงเข้าทลายกำแพงป้องกันจิตใจของโล่วปิงให้พังลงไปทันที
ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งสนาม ใบหน้าของศิษย์ของหมู่ตึกที่สามสิบหกทุกคน เต็มไปด้วยความงุนงงปนหวาดหวั่น ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าแห่งยุค ถึงกับยอมรับต่อหน้าผู้คนว่าตนเองนั้นคือสุกร นี่ช่างเป็นเรื่องที่ขายหน้ายิ่งเสียกว่าขายหน้าเสียอีก
ในส่วนกู่หยางและเหล่าบรรดาศิษย์ของหมู่ตึกที่ร้อยแปดนั้น ภายในใจของพวกเขาล้วนแล้วแต่กำลังกู่ตะโกน ร่ำร้องอย่างสะใจ สตรีผู้นั้น นับตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในหมู่ตึก วาจาแต่ละคำที่ออกมาจากปากของนางมีแต่คำด่าทอพวกเขาว่าเป็นสุกรเลี้ยงเสียข้าวสุกไม่ขาดปาก ความหยิ่งยโสที่นางแสดงออกมานั้น เสมือนมองผู้อื่นเป็นเพียงแค่แมลงตัวหนึ่ง
ในขณะนี้ เมื่อถูกความตายบีบบังคับ จึงได้ยอมรับออกมาว่าตนเองนั้นคือสุกร ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งตื่นเต้นทั้งเหยียดหยาม
“ถุ้ย ยังกล้าจะบอกว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า มีศักดิ์ศรีอยู่เพียงแค่นี้เองงั้นหรือ ? ที่แท้ก็เป็นเพียงสตรีปากร้ายกลัวตายผู้หนึ่งเท่านั้นเอง”
“พี่ใหญ่หลงเฉินกล่าวได้มิผิด วีรชนย่อมไม่จำเป็นต้องถามถึงต้นกำเนิด สตรีปากร้ายก็ไม่จำเป็นที่ต้องดูอายุ”
“พี่ใหญ่หลงเฉินเคยกล่าวเช่นนี้เอาไว้ด้วยงั้นหรือ ? ข้าเหตุใดถึงไม่รู้ ? ”
“เชอะ นั่นเป็นเพราะตามปกติเจ้าไม่ตั้งใจฟังเอง คำพูดที่พี่ใหญ่หลงเฉินเคยกล่าวออกมา ข้ายังจดบันทึกเอาไว้เลยล่ะ และทุกวันนี้ก็ยังนำกลับมาทบทวน เจ้าเทียบกับข้าได้อย่างงั้นหรือ ? ”
“……”
“เช้ง”
กระบี่ยาวของหลิงหวินจื่อถูกเสียบกลับเข้าฝัก เขาจ้องมองโล่วปิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสมือนคิดจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยวาจาใดๆ
หลงเฉินที่มองหลิงหวินจื่ออยู่นั้น เขาทราบดีว่า หลิงหวินจื่อไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำกับสตรีปากร้ายเช่นนี้อยู่แล้ว จึงรีบกล่าวออกมาว่า “เหว่ย ใช่ว่าเจ้ายอมรับว่าเจ้าเปนสุกรแล้วจะจบเรื่องนะ สมองสุกรอย่างเจ้าลืมสิ่งเดิมพันอย่างอื่นไปแล้วงั้นหรือ ยังไม่รีบมอบสิ่งของมาแต่โดยดีอีก ? ”
การเผชิญหน้ากับความเย้ยหยันของศิษย์หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด และความผิดหวังของศิษย์หมู่ตึกที่สามสิบหก ทำให้โล่วปิงรู้สึกว่าตนเองแทบจะเป็นบ้าขึ้นมาแล้ว
“เอาไป”
โล่วปิงสะบัดมือหนึ่งครั้ง แผ่นป้ายทั้งสองแผ่นก็ลอยเข้าหาหลงเฉิน หลงเฉินเมื่อได้รับแผ่นป้ายเข้ามาแล้วก็นำไปให้ถู่ฟาง ของสองชิ้นนี้แม้ว่าจะรู้จักหลงเฉิน แต่หลงเฉินกลับหาได้รู้จักพวกมันไม่
เมื่อรับแผ่นป้ายมาแล้ว ถู่ฟางก็ทำการตรวจสอบแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งอยู่ชั่วครู่ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นแผ่นป้ายยืนยันสถานะในการเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้าของจริง
ในส่วนแผ่นป้ายอีกแผ่นนั้น คือป้ายของโล่วปิง ถู่ฟางได้ทำการทาบป้ายของตนเองลงไป ทันใดนั้น บนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสถู่ฟาง เกิดอะไรขึ้น ? ” หลงเฉินถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของถู่ฟาง
“มีแต้มไม่ครบสี่สิบหมื่น ขาดแต้มคุณประโยชน์อีกสามพัน” ถู่ฟางตอบ
ทว่าเมื่อนึกทบทวนดูแล้วก็ถือได้ว่ามีเกือบครบจะแล้ว โล่วปิงมีแต้มคุณประโยชน์มากถึงเกือบแปดสิบหมื่น นั่นแทบจะเทียบเท่ากับสวัสดิการที่ได้รับทั้งปีของหมู่ตึกแห่งหนึ่งเลยเดียว
“แต้มคุณประโยชน์ทั้งสามพันแต้มนี้ก็ช่างมันไปเถอะ” ถู่ฟางอมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็โยนแผ่นป้ายกลับไปให้แก่โล่วปิง
ถู่ฟางเป็นคนใจกว้าง ข้อนี้หลงเฉินทราบดี ทว่าการใจกว้างกับคนที่ไม่คู่ควรนั้น เขาไม่อาจจะยอมรับได้ หลงเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกไป “ผู้อาวุโสถู่ฟาง ท่านทำเช่นนี้ก็โหดร้ายเกินไปแล้ว นี้มันก็เวลาใดกันแล้ว ยังจะไปทำการตอกหน้าท่านผู้อาวุโสโล่วอีก ทำเช่นนี้ไม่ดีเลยนะ”
“อย่างไรกัน ? ” ถู่ฟางงงงันขึ้นมาทันที
“ผู้อาวุโสโล่วก็ยอมรับไปแล้วว่าตนเองคือสุกร สิ่งที่จ่ายออกมานี้ก็มากมายถึงเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่คิดที่จะเหลือเศษเงินไว้ให้นางได้ตั้งตัวเลยหรือ ? นั่นเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าเชียวนะ ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามาตาเลยทีเดียว
นางมีหรือที่จะสามารถทำเรื่องไร้ยางอาย ด้วยการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นได้ โดยเฉพาะกับการเอาเปรียบพวกหลังเขา บ้านนอกคอกนาอย่างพวกเรา นี่ท่านก็ไม่ต่างอะไรไปจากการกำลังตบหน้านางอยู่เลยนะ เจ้าว่าใช่หรือไม่ ท่านผู้อาวุโสโล่วปิง ? ” หลงเฉินกล่าวออกมา แล้วปั้นหน้ายิ้มส่งให้
ถังหว่านเอ๋อพยายามที่จะกลั้นหัวเราะอย่างหนัก ตัวบัดซบผู้นี้ เลวร้ายเกินไปแล้ว โล่วปิงก็ช่างโชคร้ายนัก แท้จริงแล้วสมควรที่จะกล่าวว่า คนที่เป็นศัตรูกับหลงเฉินไม่มีคนใดไม่ที่ไม่โชคร้ายจะดีกว่า
เมื่อได้เห็นหลงเฉินฉีกหน้าโล่วปิง เหล่าศิษย์ของหมู่ตึกต่างก็รู้สึกสะใจเพิ่มขึ้นอีก โทสะที่มีมาตั้งแต่ต้นนั้นคลายลงไปมากแล้ว ในเวลานี้พวกเขาสาสมแก่ใจยิ่งนัก
การที่ได้เห็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าจอมวางอำนาจ ผู้ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ได้รับการเหยียดหยามคืนจากหลงเฉิน อีกทั้งยังเสมือนเอาคำพูดของนางฟาดกลับเข้าไปที่หน้านางอย่างแรง จนหน้าตามืดมน ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สะอกสะใจยิ่ง แทบเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งทีเดียว
ถู่ฟางเมื่อแรกนั้น มีอาการตื่นตะลึงกับคำกล่าวหาของหลงเฉิน ต่อมาเมื่อเข้าใจกลอุบายของจอมเจ้าเล่ห์ก็ต้องส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หลงเฉินผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ไม่ได้เล่นงานผู้อื่นวันนี้ หากยังไม่ตายไป ก็ต้องมีซักวันที่ได้เล่นงานเขา และจะไม่เหลือช่องทางให้รอดไปได้เลยแม้แต่น้อย
ทว่าเมื่อได้ลองทบทวนดูก็นับว่าทำเช่นนั้นถูกต้องแล้ว ด้วยจิตใจที่คับแคบของโล่วปิง ด้วยนิสัยที่หากมีความแค้นแล้วย่อมต้องชำระอย่างแน่นอน ต่อให้ล่วงเกินนางไปมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ ก็หาได้มีข้อแตกต่างอะไรไม่ สุดท้ายนางก็เคียดแค้นพวกเขาอยู่ดี และไม่รู้จักการให้อภัยอยู่ดี จะใจดีกับคนเช่นนี้คงไม่ได้ประโยชน์อะไร มิสู้เล่นงานนางให้รู้สึกสะใจยิ่งขึ้นตั้งแต่ตอนนี้ไปเสียเลย ยังจะดีเสียกว่า
ในเวลานี้ โล่วปิงนั้นโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ สั่นเทิ่มไปทั่วทั้งร่าง ดูดูไปแล้วราวกับว่าเป็นลมบ้าหมูเลยก็มิปาน นางล้วงเอายาโอสถออกมาจากภายในแหวนมิติสามเม็ด โยนให้แก่หลงเฉิน จากนั้นก็นำพาเหล่าศิษย์ของหมู่ตึกที่สามสิบหกจากไปในทันที โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ยาโอสถทั้งสามเม็ดที่หลงเฉินรับมานั้น แม้จะไม่ได้มองเขาก็ทราบได้จากกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ว่านี่คือโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นของแท้ ทว่ายาสามเม็ดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นระดับสูง แต่ว่าในด้านฝีมือการหลอม กลับต่างไปจากตัวเขาอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อได้มาแล้วก็ย่อมไม่คิดที่จะปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ขอบพระคุณมาก ไว้เถ้าแก่มาอีกนะขอรับ” หลงเฉินก็ได้แสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาอย่างเป็นมิตรพร้อมกับกล่าวออกมาเสียงดังลั่น
“พรวด”
โล่วปิงที่นำพาเหล่าศิษย์เดินออกไปไกลหลายร้อยจั้งแล้ว เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลงเฉิน ในที่สุดโทสะที่สะสมอัดแน่นเอาไว้ระเบิดออกมาในใจ จนต้องกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“หลงเฉิน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ ข้าไม่เลิกราแค่นี้แน่”
กล่าวจบโล่วปิงก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว จนเห็นเป็นเงาร่างพร่ามัวมองดูคล้ายดั่งภูติพรายสายหนึ่งก็มิปาน วิ่งตะบึงออกไปจากหมู่ตึก หายลับไปจากสายตาของทุกผู้คน
โล่วปิงมีโทสะเกินจะต้านทานไหว รู้สึกเหมือนกำลังจะคลุ้มคลั่งมากขึ้นทุกขณะ นางต้องการที่จะอยู่เพียงลำพังชั่วครู่ เพื่อทำการสงบใจก่อน
ศิษย์ของทางหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก เมื่อเห็นว่าโล่วปิงจากไปแล้ว ก็รีบพาคนเจ็บขึ้นหลัง วิ่งตะบึงติดตามกันออกไป หายลับไปจากหมู่ตึกไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอย
ตอนมาก็ยกกันมาเป็นขบวน ขากลับ กลับต้องวิ่งหนีอย่างอุตลุด เมื่อเห็นผู้บุกรุกถูกกลับไปแล้ว เหล่าศิษย์ของหมู่ตึกก็ได้ระเบิดเสียงโห่ร้องอย่างยินดีออกมา
ทุกคนต่างวิ่งเข้ามาห้อมล้อมหลงเฉิน แย่งกันกล่าววาจาเสียงดังแซงแซ่ ยกหลงเฉินขึ้นมาบ่า แล้วก็โยนขึ้นๆลงๆ ไปหลายที มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะแสดงออกถึงความลิงโลดภายในจิตใจของพวกเขาได้ดีที่สุด
“เหวยเหวย พวกเจ้าหยุดเลยนะ ข้าไม่ชมชอบให้บุรุษแตะเนื้อต้องตัวนะ ให้ตายเถอะ ผู้ใดลูบปั้นท้ายของข้ากัน!!!!!!” หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นมา
ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง ความยินดีนี้ดำเนินต่อเนื่องไปอีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็ปล่อยตัวหลงเฉินลง
หลงเฉินเข้าใจจิตใจของทุกคนดี หลังจากที่ทุกคนเริ่มสงบลงมาได้ หลงเฉินก็หันไปกล่าวกับกู่หยางว่า :
“ข้าจงใจที่จะไม่ชิงหอกทองคำกลับมา ก็เพื่อจะให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนของเจ้า และเจ้าก็จะต้องเป็นผู้ชิงหอกกลับมาด้วยตัวเจ้าเอง”
“ข้าทราบแล้ว ข้าจะต้องชิงอาวุธของข้ากลับมาให้ได้อย่างแน่นอน” กู่หยางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขาสาบานว่าจากนี้เป็นต้นไป จะไม่มีวันใจอ่อนให้แก่ศัตรูอีกต่อไปแล้ว
“หากมองจากสภาพเช่นเจ้าในตอนนี้ คงต้องจบสิ้นกันแล้วกระมัง ? ” หลงเฉินกล่าวด่าทอกู่หยาง
“อย่างไรหรือ ? ” กู่หยางถามกลับอย่างสับสน
กัวเหรินที่ฟังอยู่เป็นผู้กล่าวอธิบายขึ้นมาว่า “ความหมายของพี่ใหญ่ก็คือ ไหนๆเจ้าก็จะชิงของกลับมาแล้ว ก็ควรจะนำสิ่งของอะไรติดไม้ติดมือกลับมาด้วย เจ้ารู้จักไหม ? สิ่งที่เรียกกันว่า ‘ดอกเบี้ย’ น่ะ นี่เจ้ายังไม่เข้าใจนิสัยของพี่ใหญ่อีกหรือไง ? ”
กู่หยางก็เข้าใจขึ้นมาในวินาทีนั้น ด้วยนิสัยตามแบบฉบับของหลงเฉิน เพื่อพี่น้องแล้วแม้จะต้องเสี่ยงอันตรายก็ยอม แต่ถ้าเป็นศัตรู หากไม่ตายไป ก็ย่อมต้องมีบาดแผลเต็มกาย
หลงเฉินนั้น ย่อมไม่สร้างศัตรูโดยง่ายอยู่แล้ว ทว่าวันใดที่คิดว่าผู้ใดผู้หนึ่งคือศัตรู คนผู้นั้นย่อมต้องถูกเล่นงานไม่หยุดไม่หย่อน และแน่นอนว่าย่อมต้องเล่นงานจนตาย จึงยอมรามือ
เมื่อย้อนคิดถึงคนที่เป็นศัตรูกับหลงเฉินก่อนหน้านี้ กู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ทำให้เขายิ่งนับถือปณิธานของหลงเฉินมากยิ่งขึ้น
ถ้าหากก่อนหน้านี้มีคนข่มเหงเขาเช่นนั้น กู่หยางก็แทบจะไม่มีความเด็ดเดี่ยวใดๆ ที่จะไปรับมือกับศัตรูเช่นในการต่อสู้ที่ผ่านมานั้นเลย
ทว่าเมื่อได้ลองทบทวนดูอย่างลึกซึ้ง กู่หยางก็คิดได้ว่า ตนเองไม่อาจที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอในการเป็นศัตรูกับหลงเฉินได้เลย
มีอยู่หลายครั้งที่อยากจะถามไถ่หลงเฉิน ว่าก่อนหน้าได้เคยคิดกับตัวเขาเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างแท้จริงมาก่อนหรือไม่ ทว่าก็ยังคงลังเล สุดท้ายจึงยังคงไม่กล้าที่จะถามไถ่ออกไป เพราะเขาเกรงว่าคำตอบที่ได้มาจะยิ่งทำให้ยากที่จะรับได้มากกว่าเดิม
หลังจากการตะโกนโห่ร้องประกาศชัยชนะจบลง หลงเฉินก็ถูกหลิงหวินจื่อและถู่ฟางเรียกตัวไป เพื่อถามไถ่ว่าจะจัดการอย่างไรกับแต้มคุณประโยชน์ที่หลงเฉินชนะมาได้
หลงเฉินขอให้ถู่ฟางให้นำแต้มคุณประโยชน์ทั้งหมดนั้นไปแลกเป็นโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็น มาแจกจ่ายให้กับทุกคนในหมู่ตึก ซึ่งก็น่าจะเพียงพอให้ได้คนละหนึ่งเม็ด
หากแต่ถู่ฟางเห็นว่า โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นเหล่านี้จะมอบให้ศิษย์สายตรงคนละสิบเม็ดเพื่อได้ใช้เพิ่มพูนพลังกันก่อน เพราะขอบเขตแดนลับนพเก้าใกล้ที่จะเปิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นการเพิ่มพูนระดับพลังฝีมือของพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
หลงเฉินคิดทบทวนอยู่สักพัก โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นนั้น เขาก็สามารถหลอมขึ้นมาเองได้ อีกทั้งยังจัดว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่ไปแลกเปลี่ยนมาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ในเมื่อตัวเขาเอง ช่วงระยะเวลานี้ ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ มิสู้ยอมที่จะเหนื่อยหน่อย ทำการหลอมโอสถให้แก่ทุกคนก็น่าจะช่วยให้ไม่เบื่อหน่ายมากนัก
ถ้าหากบอกว่าจะหลอมโอสถให้แก่ศิษย์ทั้งหมด เช่นนั้นเขาก็คงต้องเหน็ดเหนื่อยตายแล้ว แต่ทว่าหากเพียงแค่หลอมโอสถให้แก่ศิษย์สายตรง เช่นนั้นย่อมไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร ดังนั้นเขาจึงยืนกรานจะแบ่งยาโอสถให้แก่ทุกคน
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินยืนกรานเช่นนั้น หลิงหวินจื่อกับถู่ฟางก็ไม่คิดที่จะคัดค้านอีก พวกเขาเองก็เข้าใจในเหตุผลของหลงเฉิน ดังนั้นทำตามที่เขาต้องการจะดีกว่า
เมื่อหลงเฉินกลับไป ถู่ฟางกับหลิงหวินจื่อก็มองสบตากัน ต่างฝ่ายต่างก็มองเห็นแววตาที่นับถือชื่นชมที่มีต่อศิษย์ผู้นี้ของอีกฝ่ายออก บุคคลเฉกเช่นหลงเฉินนี้ ก็ย่อมไม่แปลกเลยที่ศิษย์เหล่านั้นจะยินยอมที่จะติดตามเขา นั่นก็เป็นเพราะว่าเขานั้นได้มองศิษย์ทุกคนไม่ต่างอะไรไปจากพี่น้องแล้วจริงๆ
ในขณะที่ ทางด้านของหมู่ตึกพลิกสวรรค์กำลังโห่ร้องกันอย่างยินดีถึงเรื่องการแบ่งโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นอยู่นั้น โล่วปิงก็ได้นำพาบรรดาลูกศิษย์กลับมาถึงยังหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกแล้ว
“ท่านพี่ ท่านต้องช่วยข้าฆ่าเจ้าเด็กนั่นนะ” โล่วปิงเมื่อได้พบท่านเจ้าสำนัก แล้วก็ได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวออกมา