เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 310 หลิงหวินจื่อผู้กล้าหาญ

 

หลงเฉินหมายจะส่งยิ้มน้อยๆกลับไปให้แก่นาง ทันใดนั้นที่ข้างเอวก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา เดิมทีร่างกายของหลงเฉิน ขอเพียงมีการเตรียมระวังป้องกันผู้อื่นย่อมไม่อาจที่จะทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว

 

แต่นี่กลับยังไม่ได้มีการเตรียมการ ทั้งยังเหนือความคาดหมายที่ถังหว่านเอ๋อแสดงอาการหึงหวงนี้ขึ้นมา บนตัวของหลงเฉินนั้นได้คงสภาพที่ดีเยี่ยมที่สุดเอาไว้ จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการสงสัยขึ้น

 

อย่างที่สองถังหว่านเอ๋อหลังจากที่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่เจ็ด วิถีพลังที่ใช้บนฝ่ามือ ก็ย่อมที่จะสามารถที่จะทำลายการป้องกันของหลงเฉินไปได้อยู่แล้ว อีกทั้งยังสามารถที่จะหยิกไปที่เอวหลงเฉินจนเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมาได้อีกด้วย

 

ฮวาปี้ลั่วก็เคยได้ยินในส่วนของหลงเฉินมาบ้าง ทว่ากลับหาได้คิดว่าเป็นเรื่องจริงไม่ วันนี้หลังจากที่ได้พบพลังการฝึกปรือของหลงเฉินแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมา

 

วิทยายุทธ์วิชาทักษะของฮวาปี้ลั่วนั้นถือได้ว่าพิเศษเฉพาะ ทั้งยังมีปฏิกิริยาที่อ่อนไหวต่อการคุกคามเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกได้ว่าบนตัวของชายหนุ่มผู้นี้จะอยู่เพียงแค่พลังขอบเขตก่อโลหิต แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดดัน เช่นนี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว

 

ในส่วนพลังสภาวะที่อยู่บนตัวหลงเฉินอีกส่วน นางเองก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน รู้สึกว่าหลงเฉินนั้นแตกต่างไปจากศิษย์หนุ่มทั้งหมดโดยอย่างสิ้นเชิง

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่ถูกจับตามองด้วยสายตาที่มากมายเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นแววตาที่ประหลาดใจ หรือว่าจะเป็นแบบเหยียดหยาม กลับหาได้สั่นคลอนสภาวะจิตใจของเขาได้ อย่างน้อยฮวาปี้ลั่วก็ยังไม่พบเห็นความเปลี่ยนแปลงอื่นใดของหลงเฉิน

 

ทุกสิ่งทุกอย่างของหลงเฉินกลับกลายเป็นการกระตุ้นความสงสัยภายในจิตใจของฮวาปี้ลั่วขึ้นมา บวกกับการคาดเดาของหลงเฉินก่อนหน้านี้ ทำให้นางรู้สึกว่าหลงเฉินน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงส่งยิ้มไปให้แก่เขาคราหนึ่ง

 

หลงเฉินเองเมื่อได้ส่งยิ้มกลับมา ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับหาได้เป็นธรรมชาติไม่ คล้ายกับเกิดความเจ็บปวดระคนมีความสุขผสมผสานกันอยู่

 

ฮวาปี้ลั่วก็ได้ใช้พลังสัมผัสอันแกร่งกล้า มองผ่านจนพบเห็นความเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นเอาไว้ของถังหว่านเอ๋อ จึงได้ใช้มืออันขาวผ่องปิดไปที่ริมฝีปาก หัวเราะคิกเบาๆออกมา

 

“พบเห็นผู้อื่นงดงาม ยังคิดที่จะยั่วยวนอีก เจ้าลืมเลือนฉู่เหยาเจี่ยเจียไปแล้วอย่างงั้นหรือ ? เจ้าหลายใจถึงเพียงนี้ แล้วเจี่ยเจียจะรู้สึกยังไง แล้วข้าจะรู้สึกยังไง ? ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีโทสะ

 

ภายในจิตใจของหลงเฉินรู้สึกได้ว่าไม่เป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง นี่ก็อะไรอีกกัน ? ข้าไปยั่วยวนผู้อื่นอย่างไรกัน นี่มิใช่เป็นเพียงแค่มารยาทอย่างงั้นหรือ

 

แต่ว่าตอนนี้หาใช่เวลาที่จะมาอธิบายเช่นนั้นไม่ มีแต่ทำได้แค่เพียงกัดฟันสะกดโทสะเอาไว้ จากนั้นก็ได้สะบัดหน้าแล้วเดินต่อไป

 

“หึหึ ดูเหมือนฮวาปี้ลั่วเจี่ยเจียจะมีความสนใจหลงเฉินผู้นี้ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว” ยินหวูซวงที่อยู่ทางด้านข้างของหานเทียนยวู่ ก็ได้พบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

หานเทียนยวู่เองก็ได้อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แต่หาได้กล่าววาจาอันใดออกมาไม่ ทว่าภายในแววตา กลับแฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์ที่ยากจะอธิบายออกมาได้

 

หานเทียนยวู่ที่มีพรสวรรค์อย่างเปี่ยมล้น อีกทั้งอายุยังไม่ทันจะย่างเข้าวัยยี่สิบก็ได้เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่เก้าไปแล้ว ถือได้ว่าในมวลหมู่ทั้งหมู่ตึก เป็นอัจฉริยะที่เกิดขึ้นมาในรอบสามพันปีเลยทีเดียว

 

ดังนั้นหานเทียนยวู่นับตั้งแต่เกิดมาต้องการอะไรก็ได้อะไร แม้จะกล่าวเช่นนี้ยิ่งเป็นสิ่งของที่ได้ยากแค่ไหนก็ยิ่งล้ำค่ามากเท่านั้น

 

สาวงามข้างกายของเขานั้นถือได้ว่ามีอยู่นับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าจะเพื่อวิทยายุทธ์จนไม่อาจที่จะสละเรือนร่างให้แก่เขา ทว่าภายในจิตใจกลับเรียกได้ว่าเป็นสตรีของเขาไปแล้ว

 

หานเทียนยวู่ชมชอบความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอคนอย่างฮวาปี้ลั่ว หานเทียนยวู่ก็ได้ถูกฮวาปี้ลั่วละลายจิตใจเขาไปได้เลยทีเดียว

 

แต่ว่าฮวาปี้ลั่วกลับทั้งไม่มองไม่แลเขาเลยตั้งแต่ต้น ทำให้เขาเกิดความรู้สึกถูกปฏิเสธเป็นครั้งแรก จนทำให้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

 

ที่ยังดีก็คือฮวาปี้ลั่วมีนิสัยที่เย็นชาต่อบุรุษเพศมาโดยตลอด นี่จึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

แต่ว่าวันนี้ฮวาปี้ลั่วกลับมีความสนใจต่อหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้เขารู้สึกถึงความล้มเหลวอยู่ลึกๆภายในจิตใจ

 

ที่ทำให้หานเทียนยวู่มีความเชื่อมั่นต่อพลังความแข็งแกร่งของตนก็คือ ความหล่อเหลาภายนอกของเขาเอง รวมไปจนถึงพลังฝีมือที่แข็งแกร่ง จนทำให้เขาสามารถที่สยบบุรุษทุกคนในระดับพลังเดียวกันได้ ด้วยความหล่อเหลาจึงยิ่งทำให้เขาสามารถที่จะคว้าใจของสตรีเพศมาได้อย่างง่ายดาย

 

เดิมทีรอบข้างของเขาก็มีกลุ่มสาวงามกันอยู่แล้ว ต่อให้มียินหวูซวงอยู่ด้วย เขาก็ยังเป็นที่ต้อนรับของสาวงามระดับศิษย์สายตรงกันอยู่แล้ว หากรวมสายในสายนอกก็ถึงกับนับไม่ถ้วนเลยก็ว่าได้

 

แต่ว่ามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ยังไงเสียก็มีความโลภไม่หมดไม่สิ้นอยู่ดี ต่อให้ตนเองครอบครองไม่ได้ ผู้อื่นก็อย่าหวังที่จะได้ครอบครอง

 

ถึงแม้ฮวาปี้ลั่วจะแสดงออกมาเพียงเล็กน้อยทั้งยังเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด หากมองในมุมมองที่หยิ่งทระนงของหานเทียนยวู่แล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นความอับอายอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

 

“ไม่แปลกใจเลยที่เป็นที่จับตาดูของเจ้าสำนัก ต้องทำให้หลงเฉินผู้นี้หายสาบสูญไปในขอบเขตแดนลับนพเก้าแล้ว ช่างน่ารังเกียจเสียจริง” หานเทียนยวู่มองไปที่แผ่นหลังของหลงเฉิน บนใบหน้าก็ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

“อือ ? ”

 

หลงเฉินที่กำลังเดินอยู่ทันใดนั้นก็ได้เกิดความรู้สึกขึ้น หันกลับไปมองทางด้านหลัง แต่พบเพียงหานเทียนยวู่ ที่ยังคงนั่งอย่างสงบ ด้วยลักษณะท่าทางที่เยือกเย็น หาได้มองไปที่เขาแม้ซักครา

 

“หรือว่าเป็นเพราะข้าเกิดความรู้สึกที่ผิดพลาดงั้นหรือ ? ”

 

ในชั่วครู่นี้เองเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารขุมหนึ่ง และจิตสังหารนั้นแท้จริงแล้วก็ได้มาจากหานเทียนยวู่นั้นเอง

 

ตนเองหาได้มีความแค้นกับเขาไม่ หลงเฉินจึงนึกไม่ออกว่าเหตุใดบุคคลเช่นนี้ถึงได้บังเกิดจิตสังหารต่อตนเองได้

 

ถึงแม้หานเทียนยวู่จะยังคงอยู่ในท่าทีไม่ใส่ใจอะไรเช่นนั้น แต่ว่าหลงเฉินกลับมีความเชื่อมั่นต่อจิตวิญญาณของเขา เพราะความรู้สึกของเขา ยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว

 

การปรากฏขึ้นมาในครั้งนี้ทำให้หลงเฉินต้องเกิดความระมัดระวังขึ้นมา เพราะในเวลาที่เมื่อครู่เดินผ่านหมู่ตึกที่หนึ่ง หลงเฉินนั้นก็ได้พบว่ายอดฝีมือหมู่ตึกที่หนึ่งนั้นมีมากมายเกินไปแล้ว

 

ศิษย์สายตรงมีมากถึงหนึ่งร้อยสี่สิบสามคน มีผู้อยู่เหนือขอบเขตถึงยี่สิบแปดคน นอกจากหานเทียนยวู่แล้ว ก็ยังมีอีกทั้งสามคนที่มีพลังสภาวะที่แข็งแกร่งน่ากลัว มีความแน่วแน่ที่น่าตกใจ เห็นได้ชัดว่าต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ

 

ทางหมู่ตึกที่สองศิษย์สายตรงมีหนึ่งร้อยเก้าคน ผู้อยู่เหนือขอบเขตสิบคน ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศอีกสามคน

 

แน่นอนว่าต้องทำให้หลงเฉินเกิดความตกใจขึ้นมาได้อย่างแน่นอน แท้จริงแล้วรากฐานของหมู่ตึกล้ำลึกได้ถึงเพียงนี้ แทบจะมิใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถที่จะเทียบได้เลย

 

ถึงแม้กลุ่มของหลงเฉิน จะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด แต่ว่าเมื่อเทียบกับพวกเขากลับยังคงน่าอเนจอนาจมากจนเกินไปแล้ว

 

“ในท่ามกลางขอบเขตแดนลับนพเก้า หลงเฉินเจ้าต้องตายแน่นอน ค่อยๆรับผลกรรมไปซะเถอะ”

หลงเฉินและพวกที่กำลังอยู่ในระหว่างเดิน ทันใดนั้นภายในท่ามกลางกลุ่มคน ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั้นยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว

 

ผู้คนนั้นเกิดงงงันขึ้นจึงหันกลับไปมองยังชายผู้นั้น เมื่อเห็นว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้ใดถึงที่กล้าทอแววตาท้าทายออกมาอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้

 

“เจียงอี้ฝ่าน” ได้มีคนกล่าวขึ้นมา

 

“ได้ยินมาว่าเจียงอี้ฝ่านผู้นี้ได้พ่ายแพ้เงื้อมมือของหลงเฉินมาก่อน ดูเหมือนว่าที่ลือกันคงจะเป็นเพียงแค่การประโคมข่าวสินะ”

 

ข่าวที่แพร่สะพัดก่อนหน้านี้ กล่าวกันว่าหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกได้นำพาเหล่าลูกศิษย์ไปสั่งสอนหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด แต่กลับโดนโต้กลับคืนเสียเอง

 

ถึงแม้ศิษย์ของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกจะลอบทำการหยกบันทึกภาพ ทว่าหยกบันทึกภาพเหล่านั้น กลับแพร่หลายอยู่แต่เพียงแค่เหล่าเบื้องสูงของทางหมู่ตึกเท่านั้น เหล่าลูกศิษย์กลับหาได้ทราบกันไม่

 

เมื่อได้เห็นเจียงอี้ฝ่านที่อยู่ในอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นกันขึ้นมา ที่แท้หลงเฉินผู้นี้ถึงกับร้ายกาจถึงเพียงนั้นจริงหรือ

 

ถังหว่านเอ๋อและพวกเมื่อได้เห็นเจียงอี้ฝ่านอาฆาตมาดร้ายถึงเพียงนี้ ถึงกับสาปแช่งหลงเฉินต่อหน้าผู้คนมากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมา เพิ่งคิดจะกล่าววาจา หลงเฉินก็ได้อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อหยุดทุกคนเอาไว้

 

เพียงแค่หันไปทางเจียงอี้ฝ่านแล้วส่งด้วยยิ้มขึ้นมา “ใบหน้าของเจ้าไม่เจ็บแล้วอย่างงั้นหรือ ? ”

 

“เจ้า……พรวด”

 

เจียงอี้ฝ่านเมื่อได้ยินวาจาประโยคนี้ ก็คล้ายกับต้องพิษเข้าก็มิปาน พริบตานั้นสีหน้าก็ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นดำคล้ำ กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

 

เพราะประโยคนี้ของหลงเฉิน เป็นสิ่งที่ติดตราตรึงใจต่อจิตวิญญาณของเจียงอี้ฝ่านไปเสียแล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้ แม้กระทั่งหลับฝันเขาก็ยังถูกเสียงเช่นนี้ปลุกจนตกใจตื่น

 

ถึงแม้ร่างกายจะได้รับการเยียวยามาจากวัตถุดิบที่ล้ำค่าไปแล้ว แต่ว่าหลงเฉินกลับกลายเป็นเหมือนฝันร้ายของเขา เขาแทบไม่อาจที่จะเข้าถึงวิทยายุทธ์ได้ เมื่อหลงเฉินกล่าววาจาประโยคนี้ขึ้นมา เขาก็เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้นมาโดยฉับพลัน จนถึงกับกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

“ฮาฮาฮา”

 

กู่หยางและพวกต่างก็ได้หัวเราะฮาฮาขึ้นมายกใหญ่ ทั้งยังได้แสดงท่าทียอมรับนับถือต่อหลงเฉิน ในการใช้คารมทำร้ายเช่นนี้ แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการฆ่าคนด้วยคำพูดเลยก็ว่าได้

 

ทางด้านหน้าของศิษย์หมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก มีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ยืนอยู่ สตรีผู้นั้นก็กำลังทอสีหน้าอาฆาตมองไปทางหลงเฉินเช่นกัน เรียกได้ว่าเกลียดชังหลงเฉินจนแทบจะกัดกินทั้งเป็นเลยทีเดียว คนผู้นี้ก็คือโล่วปิง

 

ที่ด้านข้างของนาง ก็ได้มีชายหนุ่มร่างกายกำยำอยู่ผู้หนึ่ง เกอเกอของโล่วปิง หรือก็คือเจ้าสำนักของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกโล่วฟ่งนั่นเอง

 

เดิมทีเหล่ายอดฝีมือระดับเจ้าสำนัก ต่างก็มักจะนั่งกันอยู่ตรงหัวแถวอย่างสงบเสงี่ยม โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นถึงชนชั้นเจ้าสำนักในอันดับต้นๆ ต่างก็หลับตากันอยู่ หาได้ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้นในบริเวณโดยรอบไม่ เพียงแต่อยู่ในท่วงท่าที่ลึกล้ำสูงส่งอยู่ตลอด

 

เจ้าสำนักเองก็ถือว่าเป็นระดับหนึ่งซึ่งในสายตาของพวกเขา หลิงหวินจื่อที่ถือว่าเป็นเจ้าสำนักที่รั้งท้ายอยู่ จึงไม่ควรค่าแก่การที่จะเหลียวแลเลยด้วยซ้ำ นี่ก็คือความทระนงของพวกเขานั่นเอง

 

แต่ว่าโล่วฟ่งกลับหาได้มีท่าทีที่ทระนงสูงส่งเฉกเช่นนั้นไม่ ทั้งหาได้มีสภาวะในการ “ควบคุมสติ” ได้กล่าวออกมาว่า

 

“หลิงหวินจื่อ เจ้าสั่งสอนศิษย์ของเจ้าเช่นนี้หรือ ? ”

ทันใดนั้นหลิงหวินจื่อก็ได้หยุดเท้าลง แล้วก็ค่อยๆหันหน้ากลับมา มองไปทางโล่วฟ่งอย่างเฉยชา “ข้าจะสอนสั่งทารกของพวกข้าอย่างไร ก็หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าไม่ รีบบอกให้สุนัขคลั่งของทางเจ้าอย่าได้เที่ยวกัดคนไปทั่วจะดีกว่า”

 

วาจาของหลิงหวินจื่อ เรียกได้ว่าไม่เกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้คนที่อยู่ในระดับเจ้าสำนักต่างก็ต้องตกใจขึ้นมา ถึงแม้ว่าในระหว่างเจ้าสำนักเองก็ยังมีการลอบชิงชัยกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่การฉีกหน้ากลางที่สาธารณะ ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

โดยเฉพาะหมู่ตึกที่หลิงหวินจื่ออยู่ ถือได้ว่าเป็นการคงอยู่ในระดับที่ต้อยต่ำที่สุดในหมู่หมู่ตึกทั้งหมด เขาไปเอาความเชื่อมั่นมากมายมาจากไหนกัน ?

 

“หลิงหวินจื่อ เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว” โล่วฟ่งมีโทสะขึ้นมายกใหญ่ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหวินจื่อกล้าที่จะชนกับเขาซึ่งๆหน้าเช่นนี้

 

“อย่าได้ไปสนใจสุนัขบ้าฝูงนี้เลย พวกเราไปกันเถอะ” หลิงหวินจื่อไม่คิดที่จะมองไปทางสองพี่น้องโล่วฟ่งแม้ซักครา เพียงแต่นำพาทุกคนก้าวออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

 

หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะลอบยกหัวแม่โป้งให้แก่หลิงหวินจื่อนี่จึงสมกับเป็นเจ้าสำนัก กำปั้นทั้งสองข้าง ก็ได้ยกออกไปทางด้านหน้า แล้วก็หันไปทางด้านโล่วฟ่งสองพี่น้อง เชิดชูนิ้วกลางเพียงนิ้วเดียวขึ้นสูงเป็นตระหง่าน หลังจากนั้นจึงได้ติดตามอยู่ทางด้านหลังของหลิงหวินจื่อต่อไป

 

กัวหรานและพวกเมื่อพบเห็นท่าทีของหลงเฉินกำลังทำท่าทางเช่นนั้น ก็ได้ลอกเลียนแบบตาม ต่างก็พากันหันไปยังทางด้านของสองพี่น้องโล่วฟ่ง จากนั้นก็ชักนิ้วกลางขึ้นสูง คล้ายกับเป็นการแสดงความเคารพขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

 

ในความหมายของนิ้วกลางนั้น เป็นท่าทางของการด่าทอผู้คนอย่างหนึ่งที่มักจะใช้กันภายในยุทธภพ ถึงแม้ผู้ฝึกยุทธ์ที่“สูงส่ง”เหล่านั้นจะหาได้เคยกระทำเรื่องเช่นนี้ไม่ แต่ว่าก็เข้าใจได้ถึงความหมาย

 

ผู้คนต่างก็อ้าปากตาค้างมองไปยังกลุ่มของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด เด็กน้อยกลุ่มนี้แท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่กันแน่ ?

 

“หลิงหวินจื่อ เจ้าหาที่ตาย ? ”

 

โล่วฟ่งที่มีโทสะขึ้นมาก็ได้ปะทุพลังสภาวะออกมาทั่วทั้งร่าง หลงเฉินและพวกก็รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายได้เกิดความตึงเครียดขึ้นมา พลังสภาวะรอบด้านก็นิ่งสงัดขึ้น หาได้เกิดความเคลื่อนไหวใดต่อไป จนผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนโทรมถึงกับต้องอยู่ในอาการใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ มุมปากมีโลหิตไหลรินออกมา

 

“รั้งพลังสภาวะของเจ้ากลับไปซะ ไม่เช่นนั้นภายในสิบกระบวนท่าหัวเจ้าได้หลุดออกมาแน่” หลิงหวินจื่อทอสีหน้าเย็นชา จ้องมองแล้วกล่าวไปทางด้านของโล่วฟ่ง

 

ในขณะที่หลิงหวินจื่อกำลังกล่าววาจาอยู่ มือขวาของเขาก็ได้ค่อยๆที่จะจับไปที่ด้ามกระบี่ที่อยู่บนแผ่นหลัง พลังสภาวะขุมไร้สภาพหนึ่ง ก็ได้ทำการผนึกโล่วฟ่งเอาไว้

 

ภายในชั่วขณะที่หลิงหวินจื่อจับที่ด้ามกระบี่ ภายในพริบตาตลอดทั่วทั้งผืนฟ้าผืนดินก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นสั่นสะเทือนขึ้นมา จิตสำนึกไร้สภาพขุมหนึ่งก็ได้ถูกบ่มเพาะอยู่ระหว่างทั้งฟ้าทั้งดิน

 

เดิมทียอดฝีมือระดับเจ้าสำนักที่กำลังนิ่งเงียบสงบกันอยู่ ต่างก็ได้ลืมตากันขึ้นมา ทั้งยังได้ทอสีหน้าตกใจมองเข้าไปยังทางด้านของหลิงหวินจื่อ

 

“ขอบเขตควบคุมกระบี่ ? ”

 

ยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักผู้หนึ่ง ถึงกับอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความแตกตื่น

 

สิ่งที่เรียกกันว่าขอบเขตควบคุมกระบี่ ในหมู่มือกระบี่ถือได้ว่าเป็นขอบเขตที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับระดับขอบเขตไม่ อีกทั้งยังทะลวงข้ามไปแต่ละขั้นได้อย่างยากลำบาก

 

วิถีกระบี่ของมือกระบี่ยิ่งสูงส่ง ก็จะยิ่งแสดงความน่ากลัวของพลังทำลายออกมาได้เท่านั้น ถึงกับถูกเรียกว่าอยู่ในระดับที่ไร้ผู้ต้านได้เลยทีเดียว

 

และยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักเหล่านั้น ถึงแม้จะหาใช่มือกระบี่ไม่ ทว่าเกี่ยวกับขอบเขตของมือกระบี่ ยังคงพอทราบมาอยู่บ้าง

 

ในขณะที่โล่วฟ่งกำลังเตรียมกล่าววาจาขึ้นมาต่อ เขาก็ได้ถูกจิตสำนึกกระบี่ของหลิงหวินจื่อผนึกเอาไว้ เขาแม้แต่จะขยับก็ยังไม่กล้าที่จะขยับ ทันทีที่เขาขยับหลิงหวินจื่อก็ได้กระเสือกพลังทั้งหมดเข้าหา อีกทั้งกระบวนท่าของเขาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทานรับเอาไว้

 

ขณะนี้กลับอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าหากรั้งเก็บพลังสภาวะบนร่างกลับคืนมา มีแต่จะทำให้เขายากที่จะถอนตัวออกมาได้ จนชั่วระยะเวลาหนึ่งถึงกับหลั่งเหงื่ออันเย็นเยือกออกมา

 

“หยุดมือ”

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset