เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 320 พบกับทัณฑ์อัสนีอีกครั้ง

 

“ในที่สุดมันก็มาถึงแล้ว”

หลงเฉินทำสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไร้ที่เปรียบ ถึงแม้จะมีการเตรียมใจเอาไว้มาก่อนแล้ว ทว่าเขาเองก็ถือได้ว่ามีความโชคดีมาโดยตลอด ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ครั้งที่แล้วอาจจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ

 

ทว่าในตอนนี้เขากลับไม่ได้คิดว่าจะโชคดีเช่นนั้น เพราะยังไม่ทันที่จะทะลวงพลัง หมอกอัสนีที่อยู่บนท้องฟ้าก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว ทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

อีกทั้งในเวลาที่หมอกอัสนีเหล่านั้นเริ่มรวมตัวกันขึ้นมา ระหว่างฟ้าดินก็ได้ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยพลังที่น่าหวาดกลัว ช่องว่างแห่งอากาศก็ได้แข็งตัวกันขึ้นมา

 

ความรู้สึกเช่นนั้นจู่ๆก็ได้ปะทุขึ้นมา ในเวลาเดียวกันพลังความแน่วแน่ก็ได้ระเบิดขึ้นมา มุ่งหน้าเข้ากดดันไปยังหลงเฉิน

 

พลังความแน่วแน่ขุมนั้นเรียกได้ว่ามีบ่อเกิดมาจากทั่วทั้งฟ้าดิน หลงเฉินรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวเดียวดายขึ้นมา ราวกับถูกโลกหล้าทำการขับไล่อยู่เลยก็มิปาน

 

คล้ายกับว่าเขานั้นหาได้เป็นที่ต้องการของโลกใบนี้ ทั้งหมายที่จะกำจัดเขาอย่างไร้เยี่อใย แล้วคนเพียงคนเดียวจะสามารถต่อกรกับทั้งใต้หล้าได้อย่างไรกัน ?

 

“ที่แท้ก็เป็นพวกไร้นัยน์ตา เจ้าพวกโง่งมมีตั้งมากมายกลับไม่ไปรังควาน ต้องมารังควานข้าเสียให้ได้

 

ได้ ! เช่นนั้นก็มาเถอะ คิดว่าข้าจะเกรงกลัวเจ้าหรือไง ! ” ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกได้

 

ในเมื่อเจ้าคิดที่จะลบล้างข้า ใยข้าต้องเกิดความรู้สึกหวาดกลัวหรือสำนึกบุญคุณเจ้ากัน ? คิดที่จะลบล้างข้าหลงเฉิน เช่นนั้นก็มาเถอะ

 

“ตูม”

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้ไหลเวียนพลังลมปราณทั้งหมดที่อยู่ภายในจุดดารากักวายุ จนทำให้พลังลมปราณภายในร่างตนเองเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

 

พลังลมปราณที่คล้ายดั่งคลื่นมหาสมุทรซัดถาโถม กำลังบีบอัดอยู่ภายในร่างกายของหลงเฉินไม่หยุด นี่ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มพูนพลังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

หากว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตามปกติ พลังลมปราณภายในจุดตันเถียนในเวลานี้ก็ได้ไหลเวียนไปตามกระแสแห่งหมอก จนกลายเป็นวัตถุสภาพขึ้นมา

 

ถือได้ว่าหลงเฉินต้องเจอความยากลำบาก ที่มากกว่าการเลื่อนระดับพลังของผู้อื่นนับร้อยพันเท่าเลยก็ว่าได้ เพราะผู้อื่นนั้นจะกักเก็บพลังลมปราณเอาไว้อยู่เพียงแค่ภายในจุดตันเถียนเท่านั้น

 

หลงเฉินที่พึ่งพาพลังอันมหาศาลภายในจุดดารากักวายุ ก็ได้อัดพลังลมปราณใส่ภายในเส้นลมปราณเอาไว้

 

เพียงแค่ในข้อนี้ก็ถือได้ว่าเป็นระดับความยาก ที่ยากเป็นอย่างมากแล้ว ทว่ายังดีที่หลงเฉินได้หยุดอยู่ในขอบเขตขั้นก่อโลหิตสูงสุดเป็นเวลานาน พลังลมปราณภายในร่างของเขาจึงเรียกได้ว่าเข้าถึงขีดจำกัดไปได้ตั้งแต่แรกแล้ว

 

เมื่อได้เข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า พลังลมปราณภายในร่างของเขาทำการดูดซับพลังสภาวะเก่าแก่ที่มาจากแดนลับ ในที่สุดก็ได้เข้าถึงจุดอิ่มตัวขึ้นมา จึงเริ่มต้นทำการหมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังสับเปลี่ยนพลังลมปราณภายในร่าง ราวกับว่าเขาสามารถที่จะมองเห็นได้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายเหล่านั้น เริ่มผนึกตัวกันจนกลายเป็นเม็ดเล็กๆขึ้น

 

ในระหว่างที่เม็ดเหล่านั้นปรากฏขึ้นมา หลงเฉินก็ได้พบว่าพลังลมปราณได้แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ทั้งยังเพิ่มพูนขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

 

ขณะที่พลังลมปราณได้เกิดการสลับเปลี่ยนไปมาไม่หยุด พลังสภาวะภายในร่างกายของหลงเฉินก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ที่บริเวณเหนือศีรษะของหลงเฉินก็ได้มีพลังพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาเป็นสาย

 

กร๊อบ !

 

พื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าหลงเฉินก็เริ่มเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมา พลังลมปราณภายในก็ได้สลับสับเปลี่ยนขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

ในระหว่างที่พลังลมปราณภายในร่างเขาได้สลับสับเปลี่ยนอยู่ หมอกอัสนีที่อยู่บริเวณเหนือศีรษะของหลงเฉินก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ขึ้น ถึงกับปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบนับหมื่นลี้เลยทีเดียว

 

พริบตาเดียวทั่วทั้งผืนฟ้าก็ได้มืดสนิทลงไปแล้ว ภายใต้ใจกลางหมอกอสนีบาตที่ปกคลุมอยู่หลายร้อยลี้ ก็เงียบสงัดขึ้นมาหาได้เกิดความเคลื่อนไหวอันใดไม่

 

แต่ภายใต้ความเงียบสงัดเช่นนี้ กลับแฝงไว้ด้วยพลังทำลายที่เปี่ยมด้วยพลังความแน่วแน่จากฟ้าดิน ยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงด้วยแรงกดดันแห่งสวรรค์ชั้นเก้าเลยทีเดียว

 

ภายในจุดที่หลงเฉินอยู่ ไม่อาจจะทนแบกรับแรงกดดันขุมนั้นไว้ได้ ถึงกับเริ่มที่จะจมลงไปอย่างช้าๆ

 

“ให้ตายเถอะ นี่สวรรค์คิดจะเอาชีวิตข้าจริงๆหรือ”

 

หลงเฉินมองไปยังเสียงที่รุนแรงน่าหวาดกลัวขุมนี้ ก็ตกใจจนใบหน้าเขียวคล้ำ การเผชิญหน้ากับพลังอันน่าหวาดกลัวที่มหาศาลเช่นนี้ เขาแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเม็ดทรายเลยทีเดียว

 

แต่นี้ก็คือหลงเฉิน หากเปลี่ยนเป็นคนผู้อื่นต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ในยามที่ต้องมาเผชิญหน้ากับพลังความแน่วแน่แห่งฟ้าดิน ก็คงจะต้องแหลกสลายไปในทันที

 

เวลาเดียวกันหลงเฉินก็นึกคิดมาได้ว่าก่อนหน้านี้ ยอดฝีมือแห่งดินแดนหลิงผู้นั้นในช่วงเวลาที่ได้กระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ก็ได้เตือนหลงเฉินเอาไว้ ทัณฑ์สวรรค์ในคราแรกได้มุ่งเป้าอยู่ที่ความแน่วแน่ของเขา

 

ดังนั้นเมื่อผ่านทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกไปแล้ว ความแน่วแน่ของหลงเฉินเรียกได้ว่าอยู่ห่างไกล จากผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆไปไกลเลยก็ว่าได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้า ก็ยังไม่อาจที่จะใช้พลังความแน่วแน่เพื่อกดดันเขาได้

 

ความแน่วแน่แห่งฟ้าดินครั้งนี้เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้วกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าหลายสิบเท่า จนทำให้หลงเฉินเข้าใจขึ้นมาได้ว่า แม้ระดับทัณฑ์สวรรค์ก็ยังมีการก้าวหน้าไปที่ละขั้นด้วยเช่นเดียวกัน

 

ถ้าหากไม่มีความสำเร็จจากครั้งแรก จนได้รับพลังความแน่วแน่ที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดมา เพียงแค่พลังความแน่วแน่แห่งฟ้านี้ขุมนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนสติแตกกันได้ จนอาจถึงขั้นทำให้จิตสำนึกเกิดความวุ่นวายจนกลายเป็นตัวโง่งมเลยก็ว่าได้

 

ทำให้หลงเฉินได้มองเห็นความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง เขาจำเป็นที่จะต้องฝึกปรือเพื่อรองรับพลังจากทัณฑ์อัสนีในทุกคนให้ได้มากที่สุด จึงจะสามารถที่จะรับทัณฑ์อัสนีในครั้งต่อไปได้

 

“ตูม”

 

พลังลมปราณภายในร่างหลงเฉินเมื่อได้ทำการสับเปลี่ยนจนเสร็จสิ้น พลังสภาวะที่แข็งแกร่งก็ได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุทะลวงเมฆหมอกไปในทันที

 

“ครืนครืน”

 

ห้วงอากาศที่เดิมทีเงียบสงัด ก็ได้เริ่มเกิดการปะทุขึ้นมา เมฆที่ปกคลุมทั่วฟ้าก็เกิดการเคลื่อนไหว จนถึงกับเกิดพายุขนาดใหญ่ขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าอย่างช้าๆ ใจกลางของพายุอยู่เหนือศีรษะของหลงเฉินพอดิบพอดี

 

“ตูม”

 

ทันใดนั้นทั่วทั้งผืนฟ้าก็ได้เกิดพายุฝนอัสนีพุ่งลงมา อสนีบาตที่มีขนาดความหนาเท่าไข่ห่าน ก็ได้ปะทุพุ่งเข้าใส่หลงเฉิน

 

“ให้ตายเถอะ ฝ่ามาครั้งแรกยังร้ายถึงเพียงนี้เชียว”

 

หลงเฉินด่าทอขึ้นมาในใจ เขาสามารถที่จะสัมผัสได้ว่าทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้กับครั้งที่แล้วแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง เมื่อดูจากความรุนแรง จะต้องไม่ผ่ามาแค่ครั้งเดียวแน่ เขาทราบดีว่าอสนีบาตเช่นนี้ต่อให้ใช้อาวุธชนิดใดก็ไม่อาจที่จะต้านทานได้ และเขาเองก็ไม่อาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้ไหว

 

เพราะถ้าหากการต้านทานในครั้งนี้ใช้วิชาฝ่ามือในการโกง หากเมื่อทัณฑ์อัสนีในครั้งต่อไปมาถึง ถ้ายังไม่มีของเล่นในการโกง เขาก็คงจะต้องตายอย่างแน่นอน

 

ขณะนี้หลงเฉินหาได้มีวิธีอันใดไม่ ทำได้แต่เพียงใช้ร่างกายเข้าต้านทาน ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้เกิดความคิดที่หาญกล้าขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง

 

“ตูมตูมตูม”

 

พลังแห่งอสนีบาตปะทุปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ จนทำให้พื้นที่ที่กว้างใหญ่ก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ โดยมีหลงเฉินเป็นใจกลาง รอบบริเวณกว่าร้อยลี้ก็ได้ปกคลุมไปด้วยฟ้าผ่า

 

“พรวด”

 

หลงเฉินกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง พลังแห่งอสนีบาตเหล่านั้นช่างน่าหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว พลังระเบิดอันมหาศาลทำให้หลงเฉินได้รับบาดเจ็บในทันที

 

พลังแห่งอสนีบาตเหล่านี้ กลับแตกต่างไปจากอัสนีแห่งฟ้าดินที่หลงเฉินดูดซับตามปกติ ทัณฑ์อัสนีเช่นนี้ก็ช่างดุร้ายมากเกินไปแล้ว

 

ถ้าหากลองเปรียบเทียบกัน พลังแห่งอสนีบาตเหล่านั้นที่ถูกหลงเฉินดูดซับก่อนหน้านี้ ก็ไม่ต่างอะไรไปจากแกะที่อบอุ่น

 

พลังแห่งอสนีบาตในตอนนี้ต่างก็บ้าคลั่งไม่ต่างไปจากสัตว์มายา ได้ซึมผ่านเข้าทางผิวหนังของหลงเฉิน เพื่อที่จะทำลายร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง

 

แต่ว่าเมื่อหลงเฉินสามารถที่จะยืนหยัด ต่อสู้กับพลังอสนีบาตสีม่วงอันบ้าคลั่งที่กำลังเกรี้ยวกราดอยู่ภายในร่างของเขา ในเวลาเดียวกันก็ได้กระตุ้นพลังแห่งอสนีบาตของตนเองเพื่อกลืนกินอัสนีที่บ้าคลั่งเหล่านั้น

 

ที่ทำให้หลงเฉินต้องแตกตื่นก็คือ พลังแห่งอสนีบาตของตนเองเหล่านั้น เพิ่งจะเข้าถึงพลังแห่งอสนีบาตเหล่านี้ อย่าว่าแต่ให้เข้าไปกลืนกินเลย เมื่อได้พบเจออสนีบาตเหล่านี้ก็แตกตื่นจนหนีหัวซุกหัวซุน ในทางกลับกันก็ได้ถูกพลังแห่งอสนีบาตเหล่านี้ไล่ตะเพิดจนคล้ายกับสุนัขก็มิปาน ท้ายที่สุดก็ได้ถูกพวกมันกลืนกินจนว่างเปล่า

 

หลงเฉินทอแววตาโง่งมขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าพลังแห่งอสนีบาตที่ตนเองฝึกปรือมาอย่างยากลำบาก กลับไม่อาจที่จะโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียวเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากหลงเฉินเกิดความคาดหวังที่จะให้พวกมันช่วยชะลอทัณฑ์สวรรค์เอาไว้

 

“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ยังไงก็ต้องหลอมทัณฑ์อัสนีให้ได้”

 

“พลังเกราะแห่งลมปราณ”

 

หลงเฉินตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ พลังแห่งจิตวิญญาณและพลังลมปราณก็ได้ถูกกระตุ้นขึ้นมา ด้วยพลังลมปราณของหลงเฉินก็ได้สร้างเป็นเกราะหนาปกคลุมเอาไว้อยู่ภายนอกร่างกาย

 

นี่คือทักษะยุทธ์ระดับพสุธาที่ได้เรียนรู้มาจากถังหว่านเอ๋อ นางยังได้บอกอีกว่าศิลปะมากมายหาได้เป็นตัวถ่วงไม่ หากสามารถที่จะเรียนรู้มากขึ้นซักอย่างหนึ่ง นั้นหาใช่เรื่องที่แย่แต่อย่างไร

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือทักษะยุทธ์เล่มนั้นถังหว่านเอ๋อกลับซื้อมาเอง เมื่อหลงเฉินได้ร่ำเรียนไปแล้ว ก็เหมือนได้กำไรมาเลยก็ว่าได้ สตรีเพศ จะอย่างไรก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสัญชาติญาณไปได้

 

ทว่าในเวลานี้เองก็รู้สึกตื้นตันต่อสัญชาติญาณของถังหว่านเอ๋อ ถึงแม้เกราะหนานี้จะไม่อาจต้านทานการซึมเข้ามาของอสนีบาตไปได้ทั้งหมด ทว่าก็สามารถปิดกั้นพลังแห่งอสนีบาตที่ภายนอกได้อยู่ส่วนหนึ่ง ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอสำหรับหลงเฉินแล้ว

 

หลงเฉินได้ใช้ร่างกายของตนเองกลายเป็นดั่งสระน้ำ เพื่อที่จะทำการจับปลาที่อยู่ภายในสระ พลังแห่งอสนีบาตส่วนหนึ่งภายในร่างกายในขณะนี้ หลงเฉินก็ได้ใช้ร่างกายของตนเองเพื่อทำการปิดผนึกมันเอาไว้อย่างเด็ดขาด

 

พลังเกราะแห่งลมปราณสามารถที่จะช่วยให้หลงเฉินต้านทานพลังอสนีบาตที่มาจากภายนอกได้ในเวลาเดียวกัน ที่เขาจำเป็นต้องทำก็มีแต่เพียงการต่อกรกับอสนีบาตจากภายในร่างกายเท่านั้น

 

“ถูกหลอมไปซะ”

 

หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ผสานทั้งสองมือเข้าด้วยกัน พลังแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดก็ได้ถูกไหลเวียนขึ้น แล้วพุ่งเข้าสู่ภายในร่างกายของหลงเฉิน ตรงเข้าโจมตีพลังแห่งอสนีบาตอย่างบ้าคลั่ง

 

หลงเฉินถือได้ว่ามีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างโชกโชน ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยทำเช่นนี้มาก่อน ทว่าครั้งนี้ก็แค่ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วก็เท่านั้น

 

ครั้งก่อนที่หลอมรวมนั้นเป็นเพียงพลังอสนีบาตธรรมดา แต่ตอนนี้เป็นทัณฑ์อัสนีที่แฝงเอาไว้ด้วยความแน่วแน่แห่งการทำลายล้าง ความยากระหว่างทั้งสองถือได้ว่าอยู่ในระดับต่างกันเกือบร้อยเท่าเลยทีเดียว

 

ครั้งนี้หลงเฉินต้องเข้าแลกจริงๆแล้ว หาได้มีการเก็บออมพลังแห่งจิตวิญญาณไว้เลยแม้แต่น้อย เพราะทัณฑ์อัสนีย่อมไม่ปล่อยให้เขามีเวลามากมาย เขาจึงจำเป็นที่จะต้องรีบสยบพลังแห่งอสนีบาตเหล่านี้ให้ได้โดยเร็ว

 

ขณะนี้ทัณฑ์อัสนีภายในร่างกายหลงเฉิน ก็ได้บีบหลงเฉินจนตัดขาดจากสภาพแวดล้อมภายนอกไป ถือได้ว่าเป็นแบบฉบับของการปิดประตูตีแมวนั้นเอง

 

แต่ว่าแมวในครั้งนี้กลับดุร้ายมากจนเกินไป ต่อให้ไม่มีการสนับสนุนจากพลังแห่งอสนีบาตในภายหลัง ก็ยังคงไม่อาจที่จะยอมสยบได้ และพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉิน ภายใต้การแล่นผ่านไปตามเส้นลมปราณ ก็ได้สั่นสะเทือนเส้นลมปราณของหลงเฉินจนเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา

 

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงต้องถูกสลายพลังไปจนหมดสิ้นแน่”

 

ภายในจิตใจของหลงเฉินก็ได้เกิดความร้อนรนขึ้นมานับหมื่น หากเป็นไปตามระดับที่คาดการณ์เอาไว้ อย่างน้อยเขาก็คงจะต้องใช้เวลาอีกซักระยะ จึงจะสามารถสยบพวกมันเอาไว้ได้

 

แต่ว่าทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่เหนือศีรษะกลับหาได้ยอมให้เขามีเวลามากมายถึงเพียงนั้น เมื่อพลังแห่งอสนีบาตระลอกที่สองได้เข้ามาถึง เขาก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม

 

เมื่อถึงเวลาพลังเกราะแห่งลมปราณของหลงเฉิน ก็ไม่อาจที่จะปิดกั้นพลังแห่งอสนีบาตที่มากมายเหล่านั้นเอาไว้ได้แล้ว หรือก็คือการชักนำพลังแห่งอสนีบาตให้ซึมเข้าไปสนับสนุนอสนีบาตที่อยู่ภายในร่างกายของหลงเฉิน มิเช่นนั้นแล้วทุกอย่างที่หลงเฉินพยายามมาโดยตลอดก็คงจะต้องสูญเปล่าไป

 

“ยังไงก็คงต้องคิดหาวิธีในการจัดการซักหน่อยแล้วละ”

 

ทางหนึ่งหลงเฉินก็ได้ใช้พลังลมปราณเพื่อควบคุมความบ้าคลั่งของทัณฑ์อัสนีที่กำลังไหลเวียนอยู่ภายในเส้นลมปราณ อีกทางหนึ่งก็คอยตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของอสนีบาตเหล่านั้นเอาไว้

 

“เอ๊ะ ข้าก็โง่เสียเหลือเกิน”

 

ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้พบว่า ภายในกระแสโลหิตของตนเอง ที่แต่เดิมแล้วกักเก็บพลังแห่งอสนีบาตเหล่านั้นอยู่ ก็ได้ถูกทัณฑ์อัสนีกดดันจนต้องหลบซ่อนอยู่ภายใต้กระแสโลหิต จนไม่กล้าแม้แต่จะออกมาเลยด้วยซ้ำ

 

“ตูม”

 

หลงเฉินไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาทั้งหมด จากนั้นก็ได้จัดการกดดันพลังแห่งอสนีบาตเหล่านั้นเข้าไปสู่ภายในกระแสโลหิตของตนเอง

 

หลังจากที่พลังเหล่านั้นได้เข้าไปยังกระแสโลหิตไปแล้ว อักขระแห่งอสนีบาตที่มีอยู่แต่เดิมเหล่านั้นก็ได้แตกฮือกันขึ้นมาภายในพริบตา ก็คล้ายกับแมวเหมียวตัวหนึ่งกำลังไล่จับหนูอยู่นั้นเอง

 

พลังแห่งอสนีบาตที่กำลังหลบหนีจากการถูกกลืนกินของทัณฑ์อัสนีบ้าคลั่ง หรือแท้จริงแล้วก็คืออักขระแห่งอสนีบาตดั้งเดิมเหล่านั้นนั่นเอง

 

แต่ว่าหลังจากที่กลืนกินพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็รู้สึกว่าสภาวะอันบ้าคลั่งของพวกมันได้น้อยลงแล้ว อักขระแห่งอสนีบาตที่กลืนกินไปก่อนหน้านี้เมื่อว่างเปล่าขึ้นมา พลังแห่งทัณฑ์อัสนีเหล่านั้น ก็ถึงกับเกาะติดเข้าไปที่กระแสโลหิตของหลงเฉินทันที

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หากคิดจะขังสัตว์ร้ายเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องมีเหยื่อล่อ” หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะยินดีขึ้นมา

 

เดิมทีหลงเฉินคิดที่จะพึ่งหยาดโลหิตมาเพื่อทำการเพาะเลี้ยง ด้วยพลังแห่งทัณฑ์อัสนี หลังจากที่กลืนกินพวกมันไปแล้ว เช่นเดียวกันกับกระแสโลหิตของหลงเฉิน โดยการพึ่งพาในการสร้างขึ้นมา จึงไม่ทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นอีก

 

หลงเฉินได้ฉวยโอกาสใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปกระตุ้นทัณฑ์อัสนีเหล่านั้น แล้วก็ได้พบว่าสามารถที่จะทำให้พวกมันผ่อนเบาลงไปได้เป็นอย่างมาก

 

ในที่สุดก็ทำสำเร็จ หลงเฉินรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย แล้วก็ค่อยๆที่จะเพิ่มระดับเกราะแห่งลมปราณเข้าต้านทานเอาไว้ โดยการใช้พลังแห่งทัณฑ์อัสนีส่วนหนึ่ง ค่อยๆไหลเวียนเข้าไป โดยการชี้นำทัณฑ์อัสนีที่มีอยู่แต่เดิมเข้าไปกลืนกินพวกมัน

 

หลงเฉินตกใจระคนดีใจเมื่อได้พบว่า ในระหว่างที่กำลังกลืนกินไม่หยุด พลังแห่งอสนีบาตภายในร่างกายเขา ก็ยิ่งแข็งแกร่งน่าหวาดกลัวมากขึ้น การกลืนกินก็ยิ่งเร็วขึ้นมาเป็นเท่าทวี

 

คล้ายกับก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งดูดซับก็ยิ่งเร็วขึ้น ภายในใจกลางหยาดโลหิตของหลงเฉิน เกิดเป็นอักขระแห่งอสนีบาตสีม่วงชนิดหนึ่ง

 

“ตูม”

 

ในยามที่หลงเฉินกำลังกลืนกินพลังแห่งอสนีบาตด้วยความละโมบ ท่ามกลางอากาศทันใดนั้นก็ได้บังเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา อสนีบาตรได้เกิดการปะทุสลายหายไป คงเหลือเอาไว้แต่เพียงลำแสงอสนีบาตที่ผ่าออกมาเป็นสายที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งการทำลายนับหมื่นมุ่งเข้าใส่หลงเฉิน

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset