เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 329 เหล็กวิหคสลักเหมันต์

 

“ได้ ข้าจะเชื่อใจพวกเจ้า”

 

คำตอบของกัวเหริน ก็ทำให้จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรม ผ่อนลมหายใจออกมาได้ในที่สุด ทั้งสองคนต่างก็หันไปสบสายตากับคนที่อยู่ทางด้านหลังในเวลาเดียวกัน

 

ทั้งสองคนนั้นรู้สึกขึ้นมาในทันที ว่านี่เป็นการปล่อยให้พวกเขาผ่านเส้นทางสายนี้ไปได้แล้ว และจะต้องจัดการกับเจ้าหนูที่น่าชังนี่เป็นอันดับแรก

 

“ฉึบฉึบ”

 

เงาร่างทั้งสองสายแบ่งเป็นหนึ่งหน้าหนึ่งหลังทะยานลอยเข้าไป ผู้อยู่เหนือขอบเขตทั้งสองคนต่างก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรวดเร็วอย่างไร้ที่เปรียบ จนพริบตาเดียวก็ได้เข้าไปถึงกลางทางแล้ว

 

“เฮ้ย ! เจ้าพวกมารร้ายฝ่ายอธรรม กล้าที่จะรุกล้ำเขตแดนฝ่ายธรรมะของพวกเรา ตายไปซะเถอะ ! ”

 

กัวเหรินก็ได้เปล่งเสียงขึ้นมา ทันใดนั้นไข่มุกเหล็กกลุ่มหนึ่ง ก็ได้ปลิวว่อนไปตลอดทั่ว

 

“ไม่……”

 

ชั่วระยะเวลาหนึ่งที่ทั้งสองคนกำลังตกใจอยู่ ทันทีที่ไข่มุกเหล็กกระทบโดนกำแพงหิน ก็ได้มีมือที่ถือค้อนเหล็กปรากฏขึ้นมานับไม่ถ้วน เหมือนอย่างที่หลงเฉินได้เคยประสบมาก่อน

 

“พรวดพรวด……”

 

แม้จะทุ่มเทพลังทั้งหมดเข้าต้านทานเอาไว้ แต่ค้อนยักษ์นั้นกลับมีอยู่มากมายจนเกินไป แทบไม่ต่างอะไรไปจากถูกน้ำสาดเข้ามา ผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งทั้งสองก็ได้ถูกทุบจนบี้แบนกลายเป็นเนื้อบด

 

หลังจากที่ทั้งสองคนตายได้ไป พลังต้นตระกูลแห่งธรรมชาติบนตัวของพวกเขา ก็ได้พวยพุ่งลอยออกมา หายลับเข้าไปยังภายในชั้นหินทะลุผ่านกำแพงหินเข้าไปและสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ชั่วระยะเวลาที่ทุกคนต่างก็งุนงง ได้แต่ทอใบหน้าที่ตกตะลึงมองไปยังด้านใน เศษเนื้อกลุ่มใหญ่แม้แต่กระดูกก็ถูกทุบจนแหลกเละ ตายไปอย่างน่าอเนจอนาถที่สุด

 

“เจ้าแซ่กัว เจ้าหาที่ตาย ! ”

 

สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตะโกนขึ้นมาเสียงดังกังวานหมายที่จะทะยานร่างเข้าไป

 

“เหตุใดข้าถึงได้หาที่ตาย?พวกเจ้าส่งคนเข้ามาก็น่าจะสมควรจริงจังกันหน่อย อะไรควรไม่ควรก็น่าจะรู้กันบ้างนะ

 

ศิษย์ของฝ่ายอธรรม ที่ดูไปแล้วหน้าตาแหลกเละจนแทบจะไม่ต่างไปจากผีดิบเลยด้วยซ้ำ ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะลงมือออกไป ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งด้วย พวกเจ้าก็เปลี่ยนคนที่หน้าตาดีกว่านี้หน่อยก็แล้วกัน ตัวข้าเป็นพวกที่ขวัญอ่อนอยู่ด้วย ! ” กัวเหรินกล่าวออกมาดุจไม่ได้รับความเป็นธรรม

 

จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น ต่างก็เข้าใจในทันที กัวเหรินหาได้คิดที่จะให้ความร่วมมือมาตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ต่างก็เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น ทำให้เขามีโทสะจนใบหน้าม่วงคล้ำขึ้นมาทีเดียว

 

“เจ้ากล้าที่จะหลอกพวกข้างั้นหรือ?” สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นก็ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง จนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสุสานโบราณ

 

“เหว่ยเหว่ยเหว่ย อย่าได้มาใส่ร้ายคนดีเลยนะ ข้าไปหลอกพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าแค่กำลังเล่นกับพวกเจ้าอยู่ก็เท่านั้น ก็แค่ว่างไม่มีอะไรทำเท่านั้นเอง” กัวเหรินหัวเราะขึ้นมายกใหญ่แล้วกล่าว

 

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ในเวลานี้ก็ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง พวกเขาที่มียอดฝีมืออยู่มากมายเช่นนี้ กลับถูกเจ้าหนูเพียงคนเดียวหลอกจนหัวปั่น ทั้งยังมีผู้อยู่เหนือขอบเขตตายไปถึงสองคน ถือได้ว่าเป็นความอับอายที่ร้ายแรงเลยทีเดียว

 

“ที่แท้……ที่แท้หลงเฉินยังไม่ตายอย่างงั้นหรือ?”

 

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของกัวเหริน ก็ทำให้ทุกคนนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา ที่กัวเหรินหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะหาได้สนใจพวกเขามาตั้งแต่แรกแล้ว

 

“ซูม”

 

เดิมทีทางที่สว่างไสวอยู่เมื่อครู่ก็ได้มืดมิดลง แล้วก็กลับคืนสู่สภาวะเช่นก่อนหน้านี้ เพราะศิลากระจ่างส่องชิ้นนั้น ได้ถูกพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินดูดมาอยู่ในมือไปแล้ว

 

หลังจากที่เลื่อนระดับพลังเข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว พลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินก็ได้ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่ตัวหลงเฉินเองก็ยังไม่อาจที่จะทราบว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของตนเองได้เข้าสู่ระดับนี้ไปแล้ว

 

ยังไงเสียการเก็บก้อนหินที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่สิบจั้ง ถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายอยู่แล้ว

 

“พี่ใหญ่ ท่านฟื้นพลังกลับคืนมาแล้วงั้นหรือ?” เมื่อกัวเหรินได้เห็นความเคลื่อนไหวของหลงเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะยินดีขึ้นมา

 

“อือ ยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บจนถึงกระดูก ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเสียเวลาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว” หลงเฉินพยักหน้าไปมา

 

ทั้งยังหาได้สนใจเหล่าผู้คนที่กำลังด่าทออยู่ทางด้านนอกเหล่านั้น หลงเฉินเพียงแต่ถือศิลากระจ่างส่องขึ้นมา จึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่นั้น คือแท่นศิลาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งนั่นเอง

 

ด้วยลักษณะที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นดั่งเสาหินที่เรียกได้ว่าต้องใช้คนถึงสิบหกคนจึงจะสามารถโอบจนรอบได้ ห้องศิลาที่ตั้งเป็นตระหง่านอยู่รอบด้าน ทั่วทั้งห้องถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย ในส่วนที่เป็นจุดกึ่งกลาง ก็มีโลงศพขนาดใหญ่ที่มีความยาวที่มากถึงห้าจั้งตั้งไว้อยู่

 

“ดูเหมือนสมบัติลับนั้นก็คือโลงศพอันนี้” หลงเฉินกล่าว

 

“โลงศพของคนทั่วไปไม่มีทางจะใหญ่โตได้ขนาดนี้ ด้านในจะต้องมีสิ่งของเก็บซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน เจ้าต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้ให้ดี

 

สุสานโบราณแห่งนี้มีการดำรงอยู่ที่ยาวนานจนเกินไป ต่อให้มีสมบัติอะไรก็อาจที่จะเกิดความล้มเหลวได้”

กัวเหรินก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง “แม้ข้าจะได้รับโชค แต่ก็ต้องสูญเสียวาสนา จึงเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะเปิดอย่างไรดี”

 

“น่าจะมีกลไกอยู่ เจ้าค่อยๆตรวจหาดู ทางด้านนั้นมีภาพฝาผนังอยู่หลายภาพ ข้าจะไปดูก่อน”

 

หลงเฉินพบว่าบนกำแพงได้มีภาพฝาผนังขนาดใหญ่ทั้งหมดสี่ใบแขวนเอาไว้ เมื่อเทียบกับภายนอกยังคงรักษาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ยิ่งเสียกว่า เพียงครู่เดียวก็ได้ดึงดูดความสนใจของหลงเฉินไปแล้ว

 

บนภาพวาดทุกม้วนถูกวาดเอาไว้ด้วยทิวทัศน์ที่แตกต่างกัน ต่างก็เป็นภาพผู้คนใช้ชีวิตที่สงบสุขเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต

 

“แท้จริงแล้วคนในสมัยก่อน ต่างก็อยู่กันอย่างสงบเช่นนี้งั้นหรือ ? ต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีการแย่งชิง ไม่มีการฆ่าฟันอย่างงั้นหรือ ?”

 

หลงเฉินมองไปที่หินสลักเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความใฝ่หา ในหมู่หินสลักเหล่านั้นเป็นภาพวาดที่มีผู้คนร่วมกันสร้างงานฝีมือ ทั้งยังมีภาพวาดของเหล่าผู้คนร่วมกันต้านทานสัตว์ร้าย มีภาพของเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็ภาพวาดที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

 

แต่กลับหาได้มีภาพวาดที่มีการแย่งชิงฆ่าฟันกันไม่ ภาพวาดเหล่านี้ทำให้ทั่วทั้งห้องสุสาน เต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น

 

นี่ทำให้เขาไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้คนจะตายไปแล้วแต่ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องราวที่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว แต่นี่ถือเป็นเรื่องที่ควรจะแขวนภาพวาดที่น่ายินดีเช่นนี้ด้วยอย่างงั้นหรือ ?

 

ในเมื่อสงบสุขถึงเพียงนี้ บนโลกที่ไม่มีการแข่งขันกันเหตุใดที่ประตูทางเข้าถึงได้ติดตั้งกลไกที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนั้น ?

 

ขณะนั้นก็ทำให้หลงเฉินปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา ภาพวาดเหล่านี้ในมุมมองของหลงเฉิน กลับหาได้มีความหมายแต่อย่างไร แต่ฉากทิวทัศน์ทั้งสี่กลับดึงดูดหลงเฉินเอาไว้อยู่ลึกๆ

 

ภายในภาพวาดทั้งสี่ม้วนแม้จะแตกต่างกัน แต่ว่าทิวทิศน์ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดของพวกเข ที่ด้านบนผืนฟ้า ได้มีดวงดาวเล็กๆทั้งหมดเก้าดวง รายล้อมดวงดาราขนาดใหญ่อยู่ดวงหนึ่ง สาดส่องให้แสงสว่างแก่ทั้งใต้หล้า

 

แต่กลับหาได้คล้ายดวงตะวันไม่ ทั้งยังไม่คล้ายดวงจันทรา ดูไปแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่ภาพวาดแผ่นนั้น กลับมีความสามัคคีเป็นอย่างยิ่งจนทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่น

 

โดยเฉพาะเมื่อหลงเฉินมองไปที่ดวงดาราขนาดใหญ่ที่มีดวงดาวทั้งเก้าดวงรายล้อมเอาไว้ ทำให้เกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ทั้งยังเกิดความปวดรวดร้าวขึ้นบางส่วน

 

“พี่ใหญ่ รีบมาดูเร็ว” ทันใดนั้นกัวเหรินก็ได้ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ

 

“เป็นไรไป ? หาวิธีเปิดโลงศพหินได้แล้วอย่างงั้นหรือ ?” หลงเฉินได้หยุดความคิดเอาไว้

 

“เปล่า แต่ข้าพบสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า พี่ใหญ่ท่านดูนี่” ในมือกัวเหรินมีก้อนอิฐชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

 

ก้อนอิฐที่มีขนาดยาวหนึ่งเชียะหนึ่งฉื่อสองชุ่น มีลัษณะดำมะเมือก ดูไปแล้วไม่น่าสนใจแม้แต่น้อย แต่ที่ด้านบนกลับแฝงเอาไว้ด้วยริ้วรอย วกวนไปมาคล้ายกับเป็นดอกไม้น้ำแข็ง ทั้งยังมีน้ำหนักที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

 

อีกทั้งยังมีความเย็นไหลผ่านเข้ามาในมือ และยังมีความแข็งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลงเฉินได้ใช้แรงบีบอยู่ครู่หนึ่ง กลับไม่อาจที่จะบีบมันให้แตกไปได้ ในทางกลับกันทำให้นิ้วมือเกิดความเจ็บปวดขึ้น จนต้องตกใจขึ้นมา

 

“เหอะเหอะ พี่ใหญ่ พวกเรามั่งคั่งแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาจากเหล็กวิหคสลักเมหันต์เลยนะ อีกทั้งระดับความบริสุทธิ์ยังสูงเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย

 

ภายในหมู่ตึกของพวกเรา แม้แต่ผู้อาวุโสชางหมิงก็ยังมีวัสดุเช่นนี้อยู่น้อยนิด แต่ว่าท่านดูในที่แห่งนี้สิ กลับมีอยู่เต็มพื้นไปหมด” กัวเหรินกล่าวขึ้นมาด้วยความยินดี

 

“ย่อมต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน แต่เมื่อเทียบกับสมบัติที่อยู่ภายในโลงศพน่าจะมีความสำคัญกว่าอยู่แล้ว” หลงเฉินกล่าว

 

“โลงศพนั้นมีความผิดปกติอยู่ รอบด้านถูกตีขึ้นราวกับเย็บเอาไว้ด้วยกัน แม้แต่รอยขีดข่วนก็ยังไม่มี จนถึงตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจว่า ฝาครอบโลงศพนี้อยู่ที่ใด จนข้าอดคิดไม่ได้ว่าโลงศพนี้อาจเป็นของปลอม เพียงใช้ก้อนหินขนาดใหญ่สร้างให้มีรูปร่างคล้ายกับโลงศพก็เท่านั้น ! ” กัวเหรินกล่าวออกมาอย่างหัวเสีย

 

กัวเหรินที่ได้อวดอ้างว่าตนเองนั้นจะเป็นบรรพจารย์แห่งการตีเหล็กมาโดยตลอด แต่เมื่อดูไปที่โลงศพขนาดใหญ่นี้ เขาถึงกับไม่อาจที่จะหาฝาครอบของมันว่าอยู่ที่ใดได้เลย ทั้งยังคิดว่านี้เป็นเพียงสิ่งของที่ไว้ใช้เพื่อหลอกลวงอีกด้วย

 

“เช่นนั้นก็ได้ พวกเราเก็บรวบรวมก้อนอิฐนี้กันก่อน หากเปิดโลงศพไม่ได้จริงๆ ต่อให้เป็นก้อนอิฐเหล่านี้ การมาของพวกเราก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”

 

กล่าวจบ ทั้งสองคนก็ได้ทำการรวบรวมก้อนอิฐที่อยู่บนพื้นเอาไว้จนหมด จนภายในแหวนมิติของทั้งสองคนก็ได้ถูกยัดจนเต็มพื้นที่

 

กัวเหรินมองไปยังก้อนอิฐภายในแหวนมิติที่กองรวมกันเท่าภูเขา ก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้นขึ้นมา “เหอะเหอะ หลังจากนี้ข้าจะใช้วัสดุเหล่านี้ตีขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องสวมใส่ของข้า

 

ทว่าหากคิดที่จะหลอมตีวัสดุเช่นนี้ เกรงว่าคงจะต้องใช้แท่นหลอมสร้างของตาแก่ซางหมิงเท่านั้น แต่ตาแก่ได้เคยบอกเอาไว้ว่า แท่นหลอมสร้างของผู้หลอมศาสตราวุธผู้หนึ่ง ก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากภรรยาของเขา ต้องทั้งรักทั้งถนอมเป็นอย่างยิ่ง ข้าคาดว่าท่านผู้อาวุโสชางหมิง จะต้องไม่ยอมให้ข้ายืมภรรยาของเขาอย่างแน่นอน”

 

กล่าวมาจนถึงตอนท้าย กัวเหรินก็ทอสีหน้าอับจนปัญญา ผู้หลอมศาสตราวุธถ้าหากไม่มีแท่นหลอมสร้างดีๆซักแท่น ก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อครัวผู้หนึ่ง ที่ไม่มีทั้งฟืนข้าวน้ำมันและเกลือ มีหรือที่จะสามารถที่จะหุงทำอาหารเลิศรสขึ้นมาได้ ต่อให้มีใจแต่ก็ไร้ผล

(T/L : ฟืนข้าว น้ำมันและเกลือ หมายถึงสิ่งจุกจิก แต่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน)

 

แท่นหลอมสร้างแท่นหนึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้วัสดุมากมาย แต่แท่นหลอมสร้างของกัวเหรินกลับเป็นสิ่งที่ผสมนั่นนี่มั่วไปหมด ทั้งยังใช้แต้มคะแนนมหาศาลเพื่อสร้างขึ้นมา

 

หากมิใช่เพราะหลงเฉินคอยสนับสนุนเขา หากเพียงแค่สวัสดิการของศิษย์สายตรงผู้หนึ่ง เขาก็คงมีแต่ล้มละลายเท่านั้น

 

เพียงแค่วัสดุในการหลอมสร้างก็ต้องสิ้นเปลืองหินปราณไปเป็นจำนวนไม่น้อย นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนกระอักเลือดได้แล้ว และหากว่าวิชาค่ายกลไม่แข็งแกร่งพอ ก็ไม่อาจที่จะสร้างเพลิงกาฬหลอมเหล็กกล้าได้ อย่างวัสดุเหล็กวิหคสลักเหมันต์เช่นนี้ ก็แทบจะไม่อาจที่จะสร้างเป็นอาวุธได้เลย

 

“อย่าได้ร้อนใจไป ยังไงก็คงต้องมีวิธีบ้างละ” หลงเฉินกล่าวปลอบโยน

จะว่าไปแล้ว สายอาชีพช่างตีเหล็กเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นสายอาชีพที่สิ้นเปลืองอย่างยิ่งเลยทีเดียว และหลงเฉินที่เชี่ยวชาญโอสถ ก็ถือได้ว่าเป็นสายอาชีพที่ทำเงินได้มากที่สุด คงจะมิใช่ว่าเด็กน้อยผู้นี้เกิดมาเพื่อล้างผลาญเขาหรอกนะ เงินทองที่หลงเฉินหามาได้กลับต้องให้เขาใช้ไปเสียแทน

 

ในขณะที่ดูไปที่รอบข้างอีกครั้ง หลงเฉินก็ได้พบว่าไม่มีสิ่งของมีค่าอะไรอีก ทั้งสองคนจึงได้จับจ้องมองไปยังโลงศพนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

เป็นอย่างที่กัวเหรินได้กล่าวเอาไว้ ทั่วทั้งโลงศพถูกสร้างขึ้นมาจนคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

“ตูม”

 

หลงเฉินได้ทุบไปที่ด้านบนของโลงศพ จนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา ทว่าโลงศพกลับหาได้สั่นไหวอะไรไม่ ในทางกลับกันหลงเฉินกลับรู้สึกเจ็บปวดที่มือขึ้นมาเสียเอง

 

“แข็งเหลือเกิน แข็งเกินไปแล้ว”

 

หลงเฉินตกใจขึ้น โลงศพขนาดยักษ์ที่มีขนาดความยาวถึงห้าจั้งโลงนี้ ในส่วนสูงก็เกือบหนึ่งจั้งแล้ว ถือได้ว่าใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนของน้ำหนักเกรงว่าคงจะอยู่เหนือจากที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้

 

สิ่งของที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ย่อมไม่อาจที่จะเก็บใส่เข้าไปภายในแหวนมิติได้แน่ เพราะแหวนมิติโดยทั่วไป ที่จะสามารถเก็บสิ่งของเอาไว้ได้ จะต้องเป็นสิ่งของที่เจ้าของสามารถขยับได้จึงจะเกิดผล ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจที่จะเก็บเข้าไปได้

 

หลงเฉินได้ล้วงเอาอิฐออกมาก้อนหนึ่ง แล้วก็หันไปยังมุมส่วนบนของโลงศพ ทุบลงไปอย่างรุนแรง

 

“ตูมตูมตูมตูม”

 

หลงเฉินไม่กล้าที่จะใช้ทลายมารของตนเอง เพราะอาจทำให้ทลายมารได้รับความเสียหายหนักได้ น่าเสียดายที่ไม่มีค้อนใหญ่ที่เป็นอาวุธหนักเช่นเดียวกัน จึงทำได้แต่เพียงใช้ก้อนอิฐทุบ

 

หลังจากที่เลื่อนระดับพลังเข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว พลังของหลงเฉินก็ได้เข้าถึงในระดับที่ไม่อาจคาดคิดได้ ทุกครั้งที่ก้อนอิฐทุบเข้าไปบนโลงศพ ก็จะเกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสุสาน

 

“ข้าเข้าใจแล้ว โลงศพนี้หาได้ถูกครอบปิดไว้ เพียงแต่ถูกเคลือบเอาไว้ต่างหาก”

 

จากที่ได้ลองงัดแงะอยู่หลายครั้งติดต่อกัน หลงเฉินก็พบว่าส่วนบนของโลงศพ ได้เกิดการเขยื้อนขึ้นมาชุ่นกว่า แล้วก็ได้พบเห็นส่วนหนึ่งที่เป็นกลไกขึ้นมา

 

“เด็กน้อยที่ดี พี่ใหญ่สู้ๆ ! จะได้เห็นสมบัติที่อยู่ข้างในแล้ว” กัวเหรินกล่าวขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ยินดี

 

ขณะที่หลงเฉินเตรียมจะใช้ก้อนอิฐแงะเปิดโลงศพ แต่ทันใดนั้นเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป และหันกลับไปมองยังด้านปากทาง ทันใดนั้นเองก็ได้มีเงาร่างหลายสาย วิ่งตะบึงมาจากปากทางเข้าออก

 

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset