“พวกเจ้าแน่ใจนะ ว่าหลงเฉินตายไปแล้วจริงๆ ? ” ทันใดนั้นหานเทียนเฟิงก็ถามขึ้น
“แน่นอน พวกเราเห็นเองกับตาว่าเขาถูกฝังเอาไว้ในสุสานโบราณ ไม่ผิดแน่ แต่เจ้าเด็กหลงเฉินนั้นก็น่ากลัวจริงๆ ความแข็งแกร่งของเขาแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ประหลาดเลย
เห็นๆกันอยู่ว่าพึ่งจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น แม้แต่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่หนึ่งก็ยังเข้าไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถต่อกรกับพวกเราสองคนและยอดฝีมือฝ่ายอธรรมนั่นพร้อมกันทั้งสามคนได้
ถ้าหากไม่ได้เจ้าโง่ฝ่ายอธรรมผู้นั้น พวกเราสองคนก็อาจจะถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว ถึงจะผ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว แต่พอย้อนนึกถึงเรื่องนี้ข้าก็ยังอดรู้สึกกลัวไม่ได้อยู่ดี” เมื่อได้หวนนึกถึงการต่อสู้กับหลงเฉินก่อนหน้านี้ ก็ทำให้จ้าวหมิงซานระลึกถึงความรู้สึกสะพรึงกลัวในตอนนั้นขึ้นมาด้วย
เมื่อในยามที่หลงเฉินได้ระเบิดพลังฝีมือทั้งหมดออกมา พวกเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า การโจมตีนั้นได้แฝงเอาไว้ด้วยพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นลึกล้ำและน่าหวาดกลัวเกินกว่าที่จะประมาณได้
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นสุดยอดฝีมือ ดังนั้นก็ย่อมต้องมีประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าผู้คนโดยทั่วไป และพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าความน่ากลัวของหลงเฉินในเวลานั้นเป็นดั่งแรงกดดันต่อพวกเขา ที่น่ากลัวยิ่งกว่าความน่าหวาดกลัวเลยทีเดียว
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบเจอมาก่อน ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าหลงเฉินนั้นเป็นได้เพียงแพะอ้วนตัวหนึ่งที่ตนเองสามารถบีบเค้นให้ตายได้อย่างไม่ยากเย็น
“น่าเสียดายนัก”
หานเทียนเฟิงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง : “ก่อนหน้านี้ ข้าก็รู้ข่าวลับนี้มาเช่นกัน ตั้งใจจะไปสั่งสอนเจ้าหลงเฉินนั่นเสียหน่อย ช่างน่าเสียดายจริงๆ ! ”
“พี่เทียนเฟิง ท่านถึงกับคิดจะไปสั่งสอนหลงเฉินด้วยตัวเอง นั่นจะไม่เป็นการ ‘ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่’ หรอกหรือ ? ” จ้าวหมิงซานกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ
ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเห็นการต่อสู้ของหานเทียนเฟิงมาก่อน แต่ว่าก็ได้ยินคำเล่าลือมาโดยตลอดว่า ฝีมือและพลังในการต่อสู้ของหานเทียนเฟิง เป็นรองแต่เพียงพี่ชายของเขาหานเทียนหวู่เท่านั้น แทบจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนไร้ที่เปรียบเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้จะถูกเรียกว่าเป็นสุดยอดฝีมือเช่นเดียวกัน แต่ว่าจ้าวหมิงซานและยอดฝีมืออีกคนก็ทราบดีว่า หากถกถึงพลังฝีมือแล้ว แม้แต่เป็นคนถือรองเท้าให้หานเทียนเฟิง พวกเขาก็ยังไม่คู่ควรเลยด้วยซ้ำ และหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มีหรือที่พวกเขาจะประจบประแจงหานเทียนเฟิงมากถึงเพียงนี้
“พวกเจ้าคงยังไม่รู้ ข่าวที่ข้าได้รับมานั้นเชื่อถือได้อย่างยิ่ง ตามข่าวนั้นกล่าวว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งฝ่ายอธรรม หยินหลอถึงกับลอบเข้ามายังจุดรวมพลรอบนอกขอบเขตแดนลับของทางหมู่ตึก เพื่อทำการไล่ล่าหลงเฉิน” หานเทียนเฟิงกล่าว
“อะไรกัน ? ”
“เป็นไปได้อย่างไร ? ”
จ้าวหมิงซานและยอดฝีมืออีกคน ต่างก็ตกใจอย่างหนัก ทอสีหน้าไม่อยากเชื่อ ผู้ที่เป็นถึงสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรม จะถึงกับเสี่ยงอันตรายบุกเข้ามายังฐานที่มั่นของฝ่ายธรรมะ เพื่อไล่ล่าหลงเฉิน
“ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ในตอนแรกที่ได้ยินพวกเจ้าเล่าว่าหลงเฉินถูกดินฝังจนตายอยู่ข้างใต้สุสานไปแล้วข้าก็ยังไม่อยากเชื่อมากนัก ดังนั้นถึงได้ถามไถ่พวกเจ้าอีกรอบ”
หานเทียนเฟิงกล่าวต่อว่า : “ในตอนนั้นหลงเฉินยังเป็นเพียงแค่ผักปลาขอบเขตก่อโลหิตคนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็เก่งพอที่จะสามารถหลบรอดจากเงื้อมมือของหยินหลอไปได้ นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนัก
และในตอนที่ได้หลงเฉินพบพวกเจ้า เขาก็ทะลวงพลังเข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปแล้ว ดังนั้นที่พวกเจ้าทั้งสามไม่อาจเอาชนะเขาได้ ข้าไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ แต่ที่กล่าวว่าเขานั้นถูกฝังอยู่ภายในสุสานใต้ดิน นั่นกลับทำให้ข้าไม่อยากที่จะเชื่อว่าเป็นไปได้นัก”
เมื่อได้ฟังดังนั้น จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้นก็รู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเองคล้ายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขารอดชีวิตมาจากเงื้อมมือของมัจจุราชเลยอย่างนั้นหรือ
หยินหลอนั้นเป็นถึงสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรม ทั้งยังถูกเรียกขานว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยากจะพบพานได้ในรอบพันปีในหมู่คนรุ่นเดียวกันอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีผู้ใดเคยรับมือเขาได้เกินสิบกระบวนท่าเลยด้วยซ้ำ ยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วนต่างก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่เขา
ทว่าบุคคลเช่นนี้ถึงกับออกมาไล่ล่าหลงเฉินด้วยตัวเอง นี่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ทั้งสองคนสบสายตากันคราหนึ่ง ทั้งคู่ต่างก็มองเห็นความหวาดกลัวภายในใจของอีกฝ่าย : “ที่แท้ คำเล่าลือนั้นก็เป็นจริงอย่างนั้นหรือ ที่ว่าหลงเฉินเคยตัดขาของหยินหลอไปข้างหนึ่งในสงครามธรรมะและอธรรมก่อนหน้านี้ ? ”
หานเทียนเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว : “เป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่ง แท้จริงแล้วที่สู้กับหยินหลอนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มาจากรัฐอื่น หลงเฉินเพียงแค่ฉวยโอกาสในตอนที่หยินหลอพลาดพลั้งเท่านั้นเอง”
คำเล่าลือเรื่องของหลงเฉินในขณะที่อยู่ในสนามรบครั้งนั้น พวกเขาต่างก็เคยได้ยินกันมาก่อน ทว่าเมื่อแรกที่ได้ยินข่าวนี้ พวกเขากลับเห็นเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
ผักปลาขอบเขตก่อโลหิตเพียงคนเดียว ถึงกับสามารถที่จะล้มบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกันกับหานเทียนหวู่ ที่เป็นถึงสุดยอดฝีมือได้ นี่แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเรื่องน่าขบขันที่เล่าระหว่างจิบน้ำชายามบ่าย ยิ่งเรื่องการไปตัดขาหยินหลอผู้นั้นแล้วอย่าได้เอ่ยถึงเลยจะดีกว่า เรื่องเฉกเช่นนี้แม้แต่ขอให้คนปัญญาอ่อนเชื่อก็คงจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ว่าขณะนี้หลายๆอย่างที่ปรากฏขึ้นมาก็เริ่มจะชี้ชัดแล้วว่าหลงเฉินทำอย่างที่เล่าลือกันจริง และต่อให้เป็นการลอบกัด หรือฉวยโอกาสเอาตอนที่หยินหลอพลั้งพลาด ก็ยังจำเป็นจะต้องมีความกล้าและพลังฝีมือในระดับหนึ่งถึจะสามารถไปยืนหยัดอยู่ในสถานะการณ์นั้นได้
“เด็กน้อยผู้นี้น่ากลัวอย่างแท้จริง แต่พวกเราสาบานได้ พวกเราสองคนเห็นเองกับตาว่า หลงเฉินถูกดินฝังอยู่ข้างใต้สุสานไปแล้ว”
จ้าวหมิงซานเกรงว่าหานเทียนเฟิงจะไม่เชื่อ จึงได้รีบกล่าวคำสาบานด้วยเนื้อความที่ละเอียดขึ้นมา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แล้วกล่าวออกมา : “พวกเราสองคนก็ช่างโชคร้ายนักที่ทำอะไรไม่ได้เลย เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น อีกทั้งเราก็ยังไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์มาเลยซักนิด
ท้ายที่สุดแล้วหลังจากจัดการยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นไปแล้ว อย่าว่าแต่แหวนมิติของเขาเลย แม้แต่ศีรษะของเขาก็ยังเอากลับมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คิดแล้วก็น่าเจ็บใจนัก”
“น่าเสียดายจริงๆ แผ่นสีทองผืนนั้น กับแท่นหลอมสร้างชิ้นนั้น จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน และแผ่นสีทองนั่น ไม่แน่ว่าอาจจะบันทึกสิ่งล้ำค่าอย่างมากบางอย่างเอาไว้” หานเทียนเฟิงเองก็ได้ทอสีหน้าเสียดายแล้วกล่าวขึ้นมา
“หลงเฉินตายไปแล้วก็ถือเป็นโชคของเขา ไม่เช่นนั้นคงจะได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถภายใต้เงื้อมมือของข้าแล้ว และสุดท้ายก็จะต้องตายภายใต้เงื้อมของพี่ใหญ่ข้าอีกด้วย” หานเทียนเฟิงก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ใช่แล้ว พวกเจ้าต้องบอกต่อลูกน้องของพวกเจ้าด้วยว่า ให้หุบปากให้เงียบเอาไว้หน่อย อย่าป่าวประกาศเรื่องที่หลงเฉินตายด้วยเงื้อมมือของพวกเจ้าออกไป” หานเทียนเฟิงกล่าวออกมาอย่างนึกขึ้นได้
“เรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใดกัน ? ที่คำสั่งเป็นเช่นนี้เราก็สงสัยนัก เพราะอย่างไรพวกเราย่อมไม่เกรงกลัวหมู่ตึกที่ร้อยแปดเกลียดชังเพียงเพราะเรื่องเฉกเช่นนี้แน่ เรื่องที่หลงเฉินทำ เราเองก็มีโทสะจุกอกมาตั้งแต่แรกแล้ว หากไม่ได้ระบายโทสะด้วยการจัดการเจ้าพวกหมู่ตึกที่ร้อยแปดไปซะบ้างก็คงจะเน่าเปื่อยจนพวกเราย่ำแย่ไปแล้ว” จ้าวหมิงซานบังเกิดความไม่เข้าใจในคำสั่งที่ได้รับแจ้งตั้งแต่ต้นว่าให้เว้นการฆ่าหลงเฉิน
หมู่ตึกที่หลงเฉินอยู่ ถือได้ว่าเป็นหมู่ตึกที่ต่ำต้อยที่สุด ย่อมไม่มีผู้ใดคิดที่จะไปสนใจพวกเขาอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าที่หลงเฉินกระทำการ ‘ชั่วช้าสามาญ’ ไปก่อนหน้านี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็มีสิทธิ์ที่จะลงโทษได้ โดยที่หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดไม่มีปัญญาทำอะไรพวกเขาได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าหากว่าพวกเขากล่าวเช่นนี้ออกไป ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการเหยียดหยามตนเอง ดังนั้นการที่หลงเฉินถูกจัดการไปเสียจึงถือเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะเห็นมากที่สุดนั้นเอง
หลงเฉินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ที่กำลังจับตา ‘มอง’ ความเคลื่อนไหวของคนทั้งสาม เมื่อได้ยินที่หานเทียนเฟิงกล่าว บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอันเย็นเยียบขึ้นมา ในเมื่อตัวข้าเองก็ได้ ‘ตาย’ ไปแล้วเช่นนี้ พวกเจ้ายังถึงกับคิดที่จะวางแผนต่อข้าอีกอย่างนั้นหรือ เยี่ยม เยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
“เอ๊ะ คนละเอียดอ่อนอย่างพวกเจ้า เหตุใดจึงเลอะเลือน ไม่รู้ความได้ถึงเพียงนี้กัน” หานเทียนเฟิงทอสีหน้าแข็งกระด้างพร้อมกับกล่าวตอบออกมา
“เรื่องแผนการที่จะใช้จัดการหลงเฉินนี้ นับว่าเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว ทั้งยังเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงยินหวูซวงลงมือจัดการเองทั้งสิน
หากเป็นไปตามแผนการเดิมก่อนหน้านี้ คงปล่อยให้หลงเฉินตายอยู่ในขอบเขตแดนลับแห่งนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ทว่าในภายหลัง นางได้เปลี่ยนใจ ยอมปล่อยให้เด็กน้อยหลงเฉินนั่นมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วใส่ร้ายเขา ให้เขาแบกรับบาป เป็นคนผิดบาปในสายตาผู้คน แล้วสุดท้ายก็ให้ตายด้วยเงื้อมมือของพี่ชายข้า เพื่อเป็นการส่งเสริมพี่ชายข้า ซึ่งหลังจากที่พี่ชายข้าได้ฆ่าหลงเฉินไปแล้ว ก็จะยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปมากยิ่งขึ้น
ในเมื่อพวกเจ้าทำให้หลงเฉินตายไปแล้ว ที่ต้องกลัวไม่ใช่หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปด ยังไงซะพวกเขาในสายตาของหมู่ตึกที่หนึ่งของพวกเรา ก็ไม่ถือเป็นตัวอะไรได้อยู่แล้ว
แต่ที่น่าหวาดหวั่นที่สุด คือการที่ทำให้แผนการของศิษย์พี่หญิงยินหวูซวงเสียหาย จิตใจของอิสตรีพวกเจ้าก็คงจะเข้าใจดี ยังไงก็ระวังกันเอาไว้หน่อยล่ะ ไม่เช่นนั้นแล้วแม้แต่กระดูกก็คงจะถูกเลาะจนไม่เหลือ
ชาติกำเนิดของนาง พวกเราต่างก็รู้กันดีอยู่แล้ว แม้แต่หมู่ตึกที่หนึ่งเองก็ยังไม่อาจที่จะตอแยได้ ต่อให้เป็นสาขาหลัก ก็ยังต้องให้ความสำคัญต่อตระกูลของนาง พวกเขาไม่ยินยอมที่จะล่วงเกินนางแม้แต่น้อย
เรื่องนี้หากรู้ไปถึงหูนางเข้า แน่นอนว่าคงจะทำให้นางไม่พอใจยิ่งนัก และหากนางมีโทสะขึ้นมาแล้ว แม้แต่คนระดับเจ้าสำนัก ก็ยังไม่ยินยอมที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าโดยตรง แต่ว่าก็สามารถทำให้ความเจริญก้าวหน้าในอนาคตของพวกเจ้าหมดไปได้เลย บนโลกใบนี้ มีแต่เพียงพี่ชายข้าที่สามารถควบคุมนางได้ แต่ว่าพี่ชายข้าจะยินยอมฟังพวกเจ้าหรือไม่นั้น ข้าที่เป็นน้องชายยังไม่สามารถคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อย
นี่ถ้าหากไม่เห็นว่าพวกเจ้าทั้งสองมีดวงสมพงศ์ต่อข้าเช่นนี้ ข้าก็คงไม่คิดจะเตือนพวกเจ้า เพราะที่ข้าเตือนพวกเจ้าเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการล่วงเกินศิษย์พี่หญิงยินหวูซวงแล้ว”
หลงเฉินที่แอบฟังอยู่ก็เข้าใจทุกอย่างอย่างกระจ่างแจ้ง ถึงแม้ว่าจะคาดเดาได้บ้างบางส่วนแล้ว แต่ทว่าก็คิดไม่ถึงว่า ตัวโง่งมกลุ่มนี้ จะถึงกับอาจหาญที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้
ที่แท้ ความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ภายในแดนลับจวบจนบัดนี้ ก็เป็นเพราะมีคนคิดจะจัดการกับเขา เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจที่จะมองเป็นเรื่องปกติได้อย่างแน่นอน
ต่อให้หลงเฉินไม่ได้พบเจอกับสตรีผู้ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวนั่นมาก่อนหน้านี้ ก็ย่อมต้องได้เจอ ‘กับดักอื่น’ คอยรอเขาอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ต่างก็ถูกตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว
ตั้งแต่ครั้งก่อนหน้านี้ที่พบว่าคนที่พยายามที่จะฆ่าตนมาจากหมู่ตึกที่สามสิบหก เขาก็ยังเกิดความสงสัยมาโดยตลอดเขาคิดว่าหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก ไม่น่าจะมีอำนาจมากพอที่จะกระทำเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอน สมควรที่จะเป็นหมู่ตึกที่หนึ่งคอยชักใยอยู่เบื้องหลังเสียมากกว่า
ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของหานเทียนเฟิง ในที่สุดหลงเฉินก็ทราบได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า หมู่ตึกที่หนึ่งนั้น ไม่เพียงแต่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ยังเป็นฝ่ายที่ลงดาบ ตระเตรียมทุกอย่างทั้งหมด เพื่อที่จะสังหารตนเองนั่นเอง
ที่น่าชังที่สุดก็คงจะเป็นคนที่ชื่อว่ายินหวูซวงผู้นั้น ถึงกับคิดที่จะใช้ตัวเขาเป็นบรรไดเพื่อความรุ่งโรจน์ของหานเทียนหวู่ ใช้ความตายของเขาเพื่อเพิ่มพูนเกียติยศของคนแซ่หานผู้นั้น สตรีเช่นนี้ช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว
“ต้องขอขอบคุณพี่เทียนเฟิงมากแล้ว พวกเราสองคนจะไม่ขอลืมเลือนน้ำใจในครั้งนี้ของท่านอย่างแน่นอน” จ้าวหมิงซานและยอดฝีมืออีกคน ต่างก็กล่าวขึ้นมาพร้อมกับท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยมารยาท
ถ้าหากไม่ได้หานเทียนเฟิงกล่าวเตือน พวกเขาก็จะกลายเป็นกระทำการในทางลับ ล่วงเกินยินหวูซวงเข้า และทั่วทั้งหมู่ตึกที่หนึ่ง ย่อมไม่มีใครช่วยแก้ต่างให้แก่พวกเขาแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาพยายามทำทั้งหมดย่อมต้องกลายเป็นสูญเปล่าอย่างไม่ต้องกล่าวแล้ว และหากยิ่งกลับกลายเป็นว่า ถูกสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งมีอำนาจล้นฟ้า คอยเอาคืนพวกเขาอยู่ เช่นนั้นก็คงจะน่าหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว
“ทว่าพวกเจ้าก็ไม่ต้องหวาดหวั่นเกินไป ถึงแม้ว่าพลังฝีมือของข้าในตอนนี้จะอยู่ห่างจะพี่ชายข้าถึงหนึ่งขั้น ทว่านั่นก็เป็นเพราะข้าอ่อนเยาว์กว่าเขาหนึ่งปีเท่านั้น” หานเทียนเฟิงกล่าว ภายในน้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความถือดีอย่างชัดเจน
จ้าวหมิงซานมีหรือที่จะไม่ทราบถึงความหมายของหานเทียนเฟิง นี่เห็นได้ชัดแล้วว่าสองคนพี่น้องตระกลูหานไม่ได้ยืนหยัดในอุดมการณ์เดียวกัน ชัดเจนเลยด้วยว่าภายภาคหน้าหานเทียนเฟิงจะต้องแตกหักกับพี่ชายเขาอย่างแน่นอน
นับตั้งแต่โบราณกาลเสือสองตัวย่อมอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆก็ยังไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางยอมที่จะอยู่ภายใต้เงาหลังของผู้อื่นอย่างแน่นอน
“พี่เทียนเฟิงโปรดวางใจ พวกข้าสองคนสาบาน ว่าจะขอติดตามพี่เทียนเฟิงไม่ว่าจะเป็นหรือตายไปแล้วก็ตาม หากผิดคำสาบานนี้ ขอให้ไม่ได้ตายดี แม้แต่กระดูกก็ต้องกลายเป็นผง” ทั้งสองคนเอ่ยคำสาบานขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ในมุมมองของพวกเขานั้น ขอเพียงสามารถเกาะแข้งเกาะขาของหมู่ตึกได้ก็เพียงพอแล้วไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำก็ตาม การติดตามหานเทียนเฟิง ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่เสียหายอะไรอย่างแน่นอน และยังแทบจะเรียกว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ล้นฟ้าเลยเสียด้วยซ้ำ
เมื่อพบเห็นคนทั้งสองสาบาน หานเทียนเฟิงก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นเรื่องหลังจากนี้ของพวกเจ้า ก็เป็นเรื่องของข้าหานเทียนเฟิงเช่นกัน หากมีเรื่องลำบากใจอันใด ก็บอกข้าได้เลย”
หานเทียนเฟิงนั้น มีความคิดที่จะสร้างขุมกำลังของตนเองตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากนี้เขาไม่ต้องการได้ยินว่าเขานั้นเป็นเพียงน้องชายของหานเทียนหวู่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายธรรมะอีกแล้ว เขาต้องการให้ผู้อื่นให้ความสำคัญต่อตัวเขาหานเทียนเฟิง และมีความต้องการลึกๆในใจ อยากให้ผู้อื่นเรียกเขาว่า หานเทียนเฟิงสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายธรรมะ
ขณะนี้เมื่อมีสุดยอดฝีมือช่วยสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีกสองคน เขาก็ยิ่งทวีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น หัวเราะอย่างเย็นเยียบแล้วกล่าว : “พี่ชายข้า ไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด ทั้งยังมีความเชื่อมั่นในหน้าตาของเขาเองเป็นอย่างยิ่ง จนคิดว่าสตรีทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็ยินยอมที่จะสยบอยู่แทบเท้าเขา
เหอะ วันนั้นเมื่อพบเห็นการปรากฏตัวของสตรีสองนางที่มาพร้อมกับหลงเฉิน พี่ใหญ่เทียนหวู่นั้นถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ แต่ในแววตาก็มีความอิจฉาและละโมบอยู่ไม่น้อย ยังไงซะก็ปิดบังข้าผู้เป็นน้องชายแท้ๆไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้นครั้งนี้ ข้าจะต้องชิงสตรีทั้งสองนางนั้นมาให้ได้ ให้พวกนางมาเป็นนางกำนัลของข้า เหอะเหอะ นั่นจะนับเป็นครั้งแรกที่ข้าประกาศสงครามกับพี่ชายของข้า”
“เช่นนั้นก็ต้องยินดีกับพี่เทียนเฟิงด้วยแล้ว ด้วยหน้าตา และพรสวรรค์ของพี่เทียนเฟิง สตรีโสโครกทั้งสองนางนั่น แม้จะยังไม่ตกมาอยู่ในเงื้อมมือ แต่ขอเพียงท่านเอ่ยออกมาคำเดียว ก็คงจะรีบร่ำร้อง อ้อนวอน เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของท่านอย่างแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า ! ” จ่าวหมิงซานเร่งรีบกล่าวออกมา
“กร็อบ!”
หลงเฉินที่อยู่ไกลออกไป เมื่อได้ยินคำพูดโสมม ก็กำหมัดแน่น ภายในแววตาทั้งคู่เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหาร ตัวบัดซบพวกนี้ คงจะไม่ทราบว่า คำว่าตายนั้นสะกดอย่างไรเสียแล้ว
“ผู้ใดกัน ? ”
หานเทียนเฟิงได้ยินเสียงบางอย่าง ทันใดนั้นจึงได้ส่งเสียงตะโกนอย่างเย็นเยียบออกมา และจ้องมองไปทางด้านหนึ่ง