“บัดซบ นั่นมันผลึกปราณวายุ อยู่บนภูเขาลูกนั้น”
จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้น รีบรีดเค้นพลังลมปราณออกมาคุ้มครองร่างกาย แล้วทำการเคลื่อนย้ายผลึกปราณวายุขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทว่าผนึกปราณวายุนั้น กลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
ผลึกปราณวายุนั้น เดิมทีแล้วมีพลังธาตุวายุอยู่ในตัวอยู่แล้ว และยีงมีน้ำหนักไม่มากนัก จึงทำให้มันสามารถลอยออกไปภายนอก้วยตัวมันเองได้
แต่ทว่าจ้าวหมิงซานและยอดฝีมืออีกคนนั้น แม้จะใช้พลังทั้งหมดออกมา แต่ก็ไม่อาจแม้แต่จะทำให้ผลึกปราณวายุก้อนนั้นขยับเขยื้อนได้เลย นั่นเป็นเพราะส่วนล่างของผลึกปราณวายุก้อนนั้นฝังลึกลงไปในภูกเขา คล้ายกับผลึกปราณวายุนั้นเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาที่งอกเงยออกมา
“หรือไม่ พวกเราก็ตัดมันเป็นชิ้นๆเถอะ” ในมือของจ้าวหมิงซานปรากฎเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง
“หยุดนะ”
หานเทียนเฟิงที่อยู่ทางด้านล่าง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป รีบกล่าวห้ามปรามออกมาอย่างร้อนรน “เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด ถ้าหากโจมตีผลึกปราณวายุนั่น จะเป็นการกระตุ้นพลังภายในของผลึก ซึ่งจะทำให้เกิดพลังสะท้อนที่รุนแรง ที่ทำให้พวกเราถึงตายได้เลยนะ”
หานเทียนเฟิงผูเป็นสุดยอดฝีมือจากหมู่ตึกลำดับที่หนึ่ง ย่อมมีความรอบรู้ที่ยอดฝีมือโดยทั่วไปไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นเขาจึงทราบดีเรื่องนี้ดี
ถ้าหากปล่อยพลังเข้าโจมตีผลึกปราณวายุ พลังอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ภายในก็จะระเบิดออกมา ลักษณะคล้ายกันกับเขื่อนที่แตก ที่มวลน้ำปริมาณมหาศาลจะไหลทะลักออกมา และพลังที่ระเบิดออกมานั้น ก็มีอำนาจทำลายล้างรุนแรงจนถึงขั้นสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งในอาณาเขตหมื่นลี้โดยรอบได้ภายในพริบตา
หากต้องเผชิญหน้ากับพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวขุมนั้น แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตก่อฟ้า ก็ยังไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งสาม ก็คงจะมีแต่ต้องถูกบดขยี้จนกลายเป็นเถ้าธุลีไปภายในพริบตาอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อทราบว่าจ้าวหมิงซานคิดจะใช้ดาบฟันเข้าไปที่ผลึกปราณวายุ หานเทียนเฟิงจึงตกใจอย่างหนัก จนใบหน้าขาวซีดขึ้นมา
เมื่อได้ยินวาจาเอ่ยห้ามของหานเทียนเฟิง ก็ทำให้จ้าวหมิงซานและยอดฝีมืออีกคนแตกตื่นตกใจ ได้แต่นิ่งอึ้ง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนร่างกาย พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ผลึกปราณวายุนี้น่าหวาดกลัวได้มากถึงเพียงนี้
“เช่นนั้น เราควรจะทำยังไง ? ” จ้าวหมิงซานตั้งคำถามอย่างตื่นกลัวระคนสงสัย เขาและยอดฝีมือคู่หูหันกลับไปมองหานเทียนเฟิง ด้วยใบหน้าแตกตื่น
ทว่าสิ่งที่พวกเขาพบ กลับเป็นใบหน้าที่ซีดเผือดยิ่งกว่าของหานเทียนเฟิง ภายในแววตาทั้งคู่ได้เต็มไปด้วยความหวาดผวา ชี้นิ้วไปทางด้านหลังของทั้งสองคนแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้า……พวกเจ้า……”
จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้น ก็อดงุนงงขึ้นมาไม่ได้ อะไรกันถึงได้ทำให้สุดยอดฝีมือลำดับต้นๆในรุ่น ถึงกับทำท่าทางแปลกๆ และกล่าววาจาออกมาเช่นนี้ได้
“ด้านหลัง……ที่ด้านหลังพวกเจ้า……” หานเทียนเฟิงเอ่ยตะกุกตะกักออกมาจบจนความได้ในที่สุด
จ้าวหมิงซานและเพื่อนของเขาแตกตื่นขึ้นมา หันกายกลับไปก็ได้พบเห็นเงาขนาดใหญ่ยักษ์ที่น่าหวาดกลัว และทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นเทาขึ้นมาไม่หยุด
ศีรษะขนาดยักษ์ ปรากฎอยู่ในระดับสายตาของพวกเขาพอดี และเพราะว่าศีรษะนั้นมีขนาดใหญ่โตจนเกินไป จึงทำให้นอกจากศีรษะแล้วก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย
ดวงตาขนาดมหึมาคู่หนึ่ง ที่มีขนาดเท่ากับห้องทั้งห้อง สาดประกายคมกล้าและทอแววเยียบเย็น จ้องมองมายังพวกเขา ทำให้พวกเขาตัวแข็งทื่อขึ้นมาดุจอยู่ในโรงน้ำแข็งก็มิปาน
“รีบหนีไปสิ เจ้าโง่”
เมื่อมองเห็นตัวโง่งมทั้งสองนั่น ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง หลงเฉินที่ซ่อนอยู่ในที่ลับตาห่างออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความร้อนรนขึ้นในใจ
ตัวโง่งมสองคนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังมัวแต่ยืนงงอยู่ นี่เรียกได้ว่าโง่เง่าเสียยิ่งกว่าโง่เง่าเสียอีก อยู่ต่อหน้าสัตว์มายาระดับห้า ยังไม่หนีเอาชีวิตรอด รอให้มันจัดการเจ้าก่อนหรือไงกัน ?
มิใช่ว่าหลงเฉินเป็นห่วงสองคนนั้น ความตายของคนพวกนั้นหลงเฉินไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งความแค้นใกญ่หลวงก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้สะสาง แต่ที่เขาต้องการในตอนนี้คือผลึกปราณวายุนั่น
ใจกลางผลึกปราณวายุก้อนนั้น แฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งฟ้าดิน เป็นพลังวายุบริสุทธิ์ที่เร้นลับเป็นอย่างยิ่ง หากว่าถังหว่านเอ๋อสามารถครอบครองพลังนี้ได้ อนาคตจะต้องรุ่งโรจน์อย่างมาก และสามารถเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ความรู้สึกที่มีต่อถังหว่านเอ๋อจะไม่ถูกแสดงออกมาชัดเจนนัก แต่ว่าในส่วนลึกของจิตใจของทั้งสองคนย่อมทราบดีถึงความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่าย และความรู้สึกเช่นนี้ บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาออกมา
เพื่อผลึกปราณวายุขนาดยักษ์ก้อนนั้น หลงเฉินถึงได้กดข่มความเกลียดชังเอาไว้ แล้วยอมมอบหินปราณวายุให้แก่ศัตรู นี่ก็ถือว่าเป็นการเสียสละอย่างมากแล้ว
แต่ว่าเจ้าตัวโง่งมทั้งสองคนนั่น ยังมัวแต่ยืนตะลึงอยู่ในเวลานี้ ถ้าหากถูกสัตว์ร้ายแห่งวายุที่น่าหวาดกลัวนี้ สังหารขึ้นมา ความพยายามทั้งหมดของเขามิใช่ว่ากลายเป็นสูญเปล่าไปอย่างนั้นหรือ ?
“หนีเร็ว”
หานเทียนเฟิงตะโกนออกมาเสียงดังลั่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องหยุดคิด เขาหันกายแล้ววิ่งหนีออกไปในทันที เขาเองก็จดจำได้ว่าเจ้าสัตว์มายาตัวนี้เป็นตัวอะไรเช่นกัน ดังนั้นไม่ต้องหยุดคิดแล้ว รีบวิ่งหนีไปเสียจะดีกว่า
จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้น ในที่สุดก็ได้สติรู้ตัวกลับคืนมาจากความหวาดกลัว หันกายกลับ แล้วใช้วิ่งด้วยฝีเท้าที่เร็วที่สุด มุ่งหน้าลงจากยอดเขา
สัตว์ร้ายแห่งวายุขนาดใหญ่ตนนั้น เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกระโดดลงจากภูเขาขนาดเล็กไปแล้ว ก็ไล่ตามไป เมื่อวิ่งไล่ตามออกห่างจากภูเขามาไกลหลายลี้ ทันใดนั้นก็ได้อ้าปากกว้าง ปลดปล่อยตาข่ายวายุออกมาจากปาก ให้ลอยพุ่งออกไปยังทางด้านหน้า
“อา เด็กน้อยที่ดี เด็กน้อยผู้นี้เมื่อครู่จงใจที่ไม่โจมตี เพราะเกรงว่าจะทำให้ภูเขาน้อยลูกนั้นเสียหาย” ในที่สุดก็ดูออกถึงการกระทำของสัตว์ร้ายแห่งวายุนั้น
ปากอันใหญ่โตของสัตว์ร้ายแห่งวายุ มีความยาวหลายสิบจั้ง เมื่อคายตาข่ายวายุสายนั้นออกมา ยังไม่ทันได้แผ่กระจายออกก็สามารถหยุดความเคลื่อนไหวของทั้งสามคนเอาไว้ได้ พลังนั้นกลายเป็นสภาวะที่แน่นหนาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าแม้ปล่อยตาข่ายวายุออกมาแค่เพียงสายเดียวก็สามารถที่จะดักจับคนทั้งสามเอาไว้ได้แล้ว
ตาข่ายวายุพุ่งออกไปรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ได้มาถึงด้านหลังของทั้งสามคน จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้น เห็นชัดว่าสามารถยังหลบได้ ทว่าทั้งคู่ก็ยังต้องรปลดปล่อยพลังออกมาเสียงดังกึงก้อง พลังอักขระโบราณทั่วร่างสว่างวาบขึ้นมา ระเบิดพลังอันมหาศาลทั้งหมดออกมา กระบี่ยาวในมือ ฟาดฟันออกไป
“พรวด พรวด”
หลงเฉินที่อยู่ซ่อนตัวอยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นภาพที่ปรากฎขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องทอสีหน้าหวาดผวาขึ้น อาวุธของจ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้น หลังจากฟันเข้าใส่ตาข่ายขนาดยักษ์ ก็เกิดการระเบิดขึ้นในทันที
ทว่าตาข่ายวายุขนาดใหญ่นั้น กลับยังคงไม่หยุด ลอยเข้าไปครอบตัวของทั้งสองคนไว้ในทันที ทันใดนั้น ทันทีที่ร่างกายของคนทั้งสองสัมผัสกับตาข่ายวายุ ก็ถูกตาข่ายวายุนั้นรั้งรัดพันร่างอย่างแน่นหนา และแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างกายของทั้งคู่ก็ระเบิดแหลกลานกระจุยกระจายกลายเป็นชิ้นเล้กชิ้นน้อยไปในพริบตา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตาข่ายวายุขนาดใหญ่นั่น แม้แต่สุดยอดฝีมือทั้งสองคน ก็ยังไม่ต่างอะไรไปจากแมลงตัวหนึ่ง ไม่มีหนทางที่จะขัดขืนได้เลยแม้แต่น้อย และถูกฆ่าตายไปในที่สุด
นั่นเองทำให้หลงเฉินทั้งแตกตื่นตกใจและลอบยินดีขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ถือเป็นโชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถสะกดความบ้าบิ่นของตนเอง ไม่ให้เข้าไปท้าทายสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นได้
“หาญกล้าที่จะท้าทายกับสัตว์ร้ายแห่งวายุ ทั้งสองคนก็ช่างขวัญกล้าเสียจริงๆ”
หลงเฉินมองไปยังละอองโลหิตที่ฟุ้งกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าเบื้องหน้า บนใบหน้าก็ปรากฏแววเลื่อมใสขึ้นมา น่าเสียดายที่ทั้งสองคนนั้นได้ตายตกไปแล้ว จึงไม่อาจที่จะได้ยินวาจาชมเชยของหลงเฉินที่พัดลอยมาตามสายลมได้
เมื่อเห็นว่า คนทั้งสองที่ตามมาด้านหลัง ถูกสังหารไปในชั่วพริบตา หานเทียนเฟิงก็ได้เกิดอาการตื่นตะลึงขึ้น และเมื่อเห็นแล้วว่าเขาไม่อาจที่จะหนีได้พ้นแล้ว จึงคำรามออกมาเสียงดังสนั่น กลางฝ่ามือทั้งสองข้าง ปรากฎอักขระโบราณปกคลุมเอาไว้อยู่ จากนั้นก็ได้ฟาดฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง
“กำแพงแห่งพสุธา”
เมื่อหานเทียนเฟิงระเบิดเสียงดังกึงก้องออกมา สิ่งที่ทำให้หลงเฉินต้องตกใจขึ้นมาก็คือ ในขณะเดียวกันนั้นเหนือศีรษะของหานเทียนเฟิงได้ปรากฎเป็นรอยตราสีเหลืองสายหนึ่ง บนพื้นดินก็ปรากำเป็นแผ่นศิลาแผ่นแล้วแผ่นเล่าซ้อนกันขึ้นเป็นชั้นๆ จนมีด้วยกันมากถึงเก้าชั้น ลักษณะคล้ายกำแพง
ในกำแพงศิลาทุกชั้น ยังมีความหนาเกือบหนึ่งจั้ง ทั้งยังมีความสูงกว่าสิบจั้ง ที่ด้านบนปกคลุมไปด้วยพลังอักขระ เปล่งเป็นประกายแสงสีทองแวววับ ดูไปแล้วแข็งแกร่งเหนือกำแพงธรรมดามากนัก ทั้งยังแผ่พลังทำลายอันแข็งแกร่งออกมา
กำแพงศิลาทั้งเก้าชั้นนั้น ถูกสร้างให้กั้นอยู่ด้านหน้าของหานเทียนเฟิง หนักแน่นคล้ายกับกำแพงเหล็กกล้าที่คอยคุ้มกันเขาเอาไว้ก็มิปาน
แม้ว่าจะเป็นศัตรู แต่หลงเฉินก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมขึ้นมา หานเทียนเฟิงผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว พลังป้องกันเฉกเช่นนี้ เขายังไม่เคยได้พบเจอมาก่อนเลย
ในเวลาเดียวกันนั้น หลงเฉินก็ได้เข้าใจขึ้นมาแล้วว่า หานเทียนเฟิงผู้นี้ มีความแข็งแกร่งในด้านพลังป้องกันในธาตุดินนั่นเอง
“ตู้มตู้มตู้มตู้ม……”
ตาข่ายวายุเข้าปะทะเข้าไปด้านบนของกำแพงศิลาเสียงดังกึกก้อง และที่ทำให้หลงเฉินต้องอ้าปากตาค้างขึ้นมาก็คือ กำแพงนั่นนับเป็นความแข็งแกร่งที่แม้แต่สุดยอดฝีมือโดยทั่วไปก็ยังไม่อาจที่จะมีได้ ยังถึงกับพังทลายย้อยยับไปอย่างง่ายดาย ป่นปี้ไปในชั่วพริบตา
หลงเฉินเห็นดังนั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี สัตว์ร้ายแห่งวายุนี้ น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้มากนัก สิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณนี่แข็งแกร่งมากจนเกินไปแล้ว
กำแพงป้องกันทั้งเก้าชั้นที่หานเทียนเฟิงสร้างเอาไว้ป้องกันตนเอง ถูกตาข่ายวายุอันน่าหวาดกลัวทำลายจนย่อยยับไปเพียงแค่พริบตาเดียว และในที่สุดก็มาถึงตัวของเขาได้แล้ว
หานเทียนเฟิงทอสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง คำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว เขาผสานทั้งสองมือเอาไว้ที่หน้าอก เป็นสัญลักษณ์เก่าแก่ที่ดูประหลาดพิศดารรูปแบบหนึ่ง ทันใดนั้น พื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็แยกออก ดุจดั่งปากที่อ้าจนกว้างก็มิปานที่ทำการกลืนกินเขาเข้าไป
“ตู้ม”
ตาข่ายวายุที่น่าหวาดกลัวกระแทกเข้าใส่พื้นดินที่ว่างเปล่า พื้นดินอันแข็งแกร่งทะลุทะลวงจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ หานเทียนเฟิงที่เดิมทีแล้วหลบซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน ก็ถูกกระแทกจนลอยกระเด็นออกมา
เนื่องจากผ่านแรงต้านจากกำแพงศิลาทั้งเก้าชั้นมาก่อน ทำให้ตาข่ายวายุสายนั้นลดทอนพลังลงไปกว่าครึ่งแล้ว และพลังที่เหลือโดยส่วนมากแล้วก็ถูกผืนดินดูดวับเอาไว้ ทำให้หานเทียนเฟิงที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผืนดินลึกลงไปได้รับผลกระทบจากพลังอันมหาศาลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หานเทียนเฟิงก็ยังต้องแตกตื่นตกใจจนใบหน้าขาวซีด ถ้าหากเมื่อครู่มิใช่เป็นเพราะไหลเวียนพลังลมปราณเอาไว้ ร่างกายเขาก็คงจะต้องถูกตาข่ายวายุนั้นฉีกกระชากไปแล้ว หากไม่ตายก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
ทันทีที่ลุกขึ้นมาจากพื้นได้ หานเทียนเฟิงก็รีบวิ่งตะบึงออกไปไกล สัตว์มายาโบราณที่มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต่อกรได้เลย
สัตว์ร้ายแห่งวายุนั้น เมื่อพบว่าไม่อาจที่จะสังหารหานเทียนเฟิงได้ภายในกระบวนท่าเดียว ทันใดนั้นก็ได้อ้าปากกว้างขึ้นมา ทว่ากลับไม่ได้คายสิ่งใดออกมา ในทางกลับกันกลับรั้งพลังกลับมา ก่อเกิดเป็นแรงดูดกลับมหาศาล
“แย่แล้ว”
หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ ถึงแม้สัตว์ร้ายแห่งวายุนั้นจะไม่ได้สังเกตเห็นเขา แต่ว่าด้วยพลังดูดกลับอันน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกกลืนกินทุกสรรพสิ่งในพื้นที่ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน หลงเฉินก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเอง คล้ายจะปลิวขึ้นมาแล้ว จึงใช้ทลายมารในมือปักเข้าไปในแผ่นหินศิลาใกล้ตัว แล้วทำการเกาะกุมยึดด้ามดาบเอาไว้จนแน่น
ด้วยพลังแรงดึงดูดอันน่าหวาดกลัวที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลงเฉินก็รู้สึกได้ว่าตนเองแทบจะไม่อาจที่จะทรงกายได้อีกต่อไปแล้ว ตลอดทั่วทั้งร่างแทบจะลอยขึ้นมาจากพื้นเลยทีเดียว ถ้าหากมิใช่จับยึดทลายมารเอาไว้จนแน่น เขาก็คงจะต้องกระเด็นลอยออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ให้ตายเถอะ ของเล่นเช่นนี้ก็ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว”
หลงเฉินก็ได้ลอบด่าทอขึ้นในใจ เขาเพียงแต่คิดที่จะโฉบฉวยโอกาสขโมยปลาในขณะที่ชาวประมงไม่อยู่เท่านั้น แต่ในขณะนี้แม้ปากขนาดใหญ่นั่น จะไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขา แต่ทว่าก็ยังคงทำให้เขารู้สึกทนแทบไม่ไหว
แต่ว่าเขาในขณะนี้หลงเฉินก็ทำได้แต่เพียงอดทนอดกลั่นเอาไว้เท่านั้น ไม่กล้าที่จะกระตุ้นพลังลมปราณออกมา เพราะเขาเกรงว่าจะทำให้สัตว์ร้ายแห่งวายุสังเกตพบ หากเป็นเช่นนั้นก็คงจะต้องจบสิ้นกันแล้ว
หานเทียนเฟิงเมื่อวิ่งออกไปได้หลายร้อยจั้ง ก็ได้ผ่อนคลายพลังสภาวะลงเล็กน้อย เขาถึงกับต้องดันร่างกายให้ลอยขึ้นมา เพื่อที่จะสามารถหลบพ้นจากวิถีพลังที่ปากขนาดใหญ่ของสัตว์ร้ายแห่งวายุปลดปล่อยออกมา
ปากที่กว้างใหญ่ของสัตว์ร้ายแห่งวายุที่คล้ายกับห้วงมิติที่มืดมิดสายหนึ่ง ที่ด้านบนที่ปกคลุมไปด้วยฟันที่แหลมคมอยู่เต็มไปหมด ดูไปแล้วน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ จนสามารถทำให้ผู้คนที่ได้พบเจอรู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงกระดูกดำได้
ในเวลานี้ร่างกายของหานเทียนเฟิงกำลังลอยอยู่กลางอากาศ และเนื่องจากร่างกายลอยอยู่กลางอากาศ จึงทำให้แทบจะไม่อาจไหลเวียนพลังขึ้นมาได้เลย ทำได้แต่เพียงมองดูปากขนาดมหึมาของสัตว์ร้ายแห่งวายุที่กำลังลอยเข้ามาใกล้เช่นนี้
ถ้าหากถูกสัตว์ร้ายแห่งวายุกลืนเข้าไปในท้อง เช่นนั้นคงไม่มีหนทางรอดชีวิตแล้วอย่างแน่นอนแล้ว หานเทียนเฟิงจึงได้แต่กัดฟันกรอด ทันใดนั้นในมือก็ได้ปรากฎกระดาษยาวสีเหลืองอ่อนขึ้นมาใบหนึ่ง
แผ่นกระดาษสีเหลืองนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนลักษณะไป ยืดยาวออกมาจนมีความกว้างถึงชุ่น ยาวกว่าครึ่งฉื่อ เหนือกระดาษแผ่นั้นมีวิถีอักขระประหลาดคอยควบคุมเอาไว้ เมื่อกระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นปรากฏขึ้นมา ท่ามกลางอากาศก็เกิดความเคลื่อนไหวเบาๆขึ้น
“ยันต์ผนึก”
หลงเฉินที่คอยจับตามองหานเทียนเฟิงมาโดยตลอด เมื่อเห็นเขาได้ล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องลอบตกตะลึงขึ้น เขาจดจำสิ่งของสิ่งนี้ได้ดี
ยันต์ผนึกถือเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการวาดอักขระโบราณที่แข็งแกร่ง ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณที่แก่กล้าเป็นอย่างยิ่ง ในการเขียนอักขระโบราณเอาไว้บนแผ่นกระดาษ จากนั้นก็จะทำการวาดสัญลักษณ์ที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลที่แสนประหลาดเอาไว้ ก่อเกิดเป็นยันต์ที่สามารถสำแดงพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวออกมาได้
ผู้เชี่ยวชาญการวาดอักขระโบราณถือได้ว่าเป็นสายอาชีพที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง หากเทียบกับผู้เชี่ยวชาญโอสถยังนับว่ามีความจำเป็นยิ่งกว่า แม้จะมีการกล่าวขานกันถึงโลกวิทยายุทธ์สายทางแห่งยาโอสถ แต่ว่าการสืบทอดวิชายันต์ผนึกกลับไม่ได้มีอยู่มากมายนัก กระนั้นถึงแม้ว่าจะยันต์ผนึกจะมักอยู่ในความครอบครองของขุมกำลังใหญ่ๆ แต่ก็จะต้องเป็นขุมกำลังที่มีเงินทองอันมหาศาลเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีแม้แต่หนทางในการที่จะครอบครองมาได้เลยด้วยซ้ำ
เพราะยันต์ผนึกทั้งหมด เป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ต่อให้เป็นยันต์ผนึกระดับต่ำที่สุด ใบหนึ่งก็ต้องใช้หินปราณมาแลกถึงหลายพันชิ้นเลยทีเดียว ภายในหมู่ตึกที่หลงเฉินอยู่ไม่มีของเช่นนี้อยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ดังนั้นเมื่อพบเห็นหานเทียนเฟิงนำเอายันต์ผนึกออกมาเช่นนั้น หลงเฉินจึงไม่คิดที่จะด่วนตัดสินใจลงมือไป ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเกิดความเจ็บแค้นใจขึ้นมาแล้ว
หานเทียนเฟิงล้วงเอายันต์ผนึกผืนนั้นขึ้นมา และทันทีที่เขาคลายมือออก ยันต์ผนึกผืนนั้นก็ลอยออกไปในทันที เนื่องจากกระดาษนั้นมีน้ำหนักเบา จึงถูกดูดเข้าไปภายในปากของสัตว์ร้ายแห่งวายุได้ในพริบตา
“บึ้ม”
มือหานเทียนเฟิงทันใดนั้นก็ได้เปลี่ยนแปรรูปแบบไป พร้อมทั้งตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ !