หานเทียนเฟิงตื่นตระหนกและเป็นกังวลขึ้นมา ในเวลานี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉับพลันก็ได้ทำการไหลเวียนพลังขึ้นทั่วร่างกาย ผิวหนังบริเวณไหล่ปรากฏเป็นลายขรุขระคล้ายกับชั้นหิน
ไหล่ทั้งสองข้างพองโตขึ้นเป็นก้อนกลมใหญ่ในทันใด จนดูราวกับถูกครอบไว้ด้วยแผ่นหินอีกชั้นหนึ่ง แขนเสื้อตรงช่วงไหล่ทั้งสองถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ
“ไหล่อัคนีดารา”
หานเทียนเฟิงส่งเสียงคำรามลั่น หลังจากออกกระบวนท่านี้ ก็ทำให้ไหล่ทั้งสองแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัว ทุ่มหอกในมือไปยังสัตว์วายุที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยความเหี้ยมโหด
“ตู้มม”
หลงเฉินที่ซ่อนตัวอยู่ไกลออกไป ก็รู้สึกได้ว่าแผ่นดินสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง แต่ที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือ พลังของหานเทียนเฟิงถึงกับทำให้ สัตว์ร้ายแห่งวายุที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งตนหนึ่งต้องล่าถอยออกไปหลายจั้ง
ก่อนหน้านี้หลงเฉินจงใจสร้างความสับสนให้แก่หานเทียนเฟิงด้วยพลังแห่งอสนีบาต เขาไม่ต้องการเผชิญหน้าโดยตรง ไม่ใช่เป็นเพราะหวาดกลัว หากแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
กล่าวได้ว่าพลังยุทธ์ของหานเทียนเฟิงนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง และหลงเฉินเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัดนัก ว่าพลังของตนในตอนนี้ จะสามารถโค่นล้มเขาได้หรือไม่
ดังนั้นจึงตั้งใจที่จะใช้ทรัพยากรทั้งหลายรอบตัวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ใช้ให้เสมือนเป็นของตนเอง นี่นับว่าเป็นวิถีแห่งราชา ออกแรงเพียงเล็กน้อย แต่กอบโกยผลประโยชน์สูงสุด ทำเช่นนี้จึงเรียกว่ามีปัญญา เป็นสิ่งที่หลงเฉินเลือกที่จะกระทำมากที่สุด
แม้ว่าหานเทียนเฟิงจะรับมือการโจมตีจากสัตว์ร้ายแห่งวายุได้ แต่เขาก็แย่พอควร ถูกพลังอันโหดเหี้ยมของสัตว์ร้ายแห่งวายุซัดเข้าใส่จนปลิวถลาไปกระแทกเข้ากับยอดภูเขาที่เกิดจากกองหินปราณวายุนั้น
พลังอันแข็งแกร่ง ทำให้หินปราณวายุจำนวนมากแตกกระจายออกมา ร่างกายของฮั่นเทียนเฟิงถูกกระแทกอย่างรุนแรง จนใบหน้าเป็นสีแดงคล้ำ
หลงเฉินยังเห็นอีกด้วยว่า หัวไหล่ทั้งสองข้างที่มีลักษณะคล้ายชั้นหินปรากฎเป็นรอยแตกชัดเจน โลหิตสีแดงสดค่อยๆไหลลงมาอาบแขน ไหล่อัคนีดาราของหานเทียนเฟิงกำลังได้รับบาดเจ็บ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่สิ่งที่ทำให้หลงเฉินยังต้องตกตะลึงขึ้นมาก็คือ พลังของสัตว์ร้ายแห่งวายุซึ่งเป็นสัตว์มายาลำดับที่ห้านั้น มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับยอดฝีมือในขอบเขตเชื่อมชีพจร
ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์วายุถือเป็นสัตว์มายาระดับราชัน ในหมู่สัตว์มายาลำดับที่ห้าอยู่แล้ว สิ่งที่ไม่สามารถทำได้ก็มีแค่การกระตุ้นพลังแห่งฟ้าดินเพียงภายนอกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น ถือได้ว่าแทบจะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือในขอบเขตของการก่อฟ้าเลยด้วยซ้ำ
แต่กระนั้นแล้วหานเทียนเฟิงที่เป็นเพียงยอดฝีมือในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเท่านั้น กลับสามารถรับการโจมตีของสัตว์วายุนั้นได้กระบวนท่าหนึ่ง นี่นับเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือเลยทีเดียว
“แปะ แปะ แปะ”
การโจมตีของหานเทียนเฟิง ทำให้หลงเฉินรู้สึกตื่นตาตื่นใจ จนต้องปรบมือออกมา เสียงนั้นเองทำให้หานเทียนเฟิงสังเกตเห็นหน้ากากแป๊ะยิ้มตัวหนึ่งยืนปรบมืออยู่ไกลๆ และนั่นทำให้เขามีโทสะอย่างหนัก จนใบหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ซูม”
ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยวาจา ทันใดนั้นหานเทียนเฟิงก็รู้สึกลมหายใจติดขัด รู้สึกถึงลมที่กรรโชกแรง ที่แฝงไว้ด้วยพลังแรงกดดันที่น่าหวาดกลัวขุมหนึ่ง ตรึงร่างเขาเอาไว้ ขณะเดียวกันนั้น ก็มีหางขนาดมหึมากำลังฟาดเข้าใส่อย่างรุนแรง
สัตว์วายุนั่นเอง มันถูกโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มีของหานเทียนเฟิง จนทำให้อุ้งเท้าของมันบาดเจ็บ และทำให้มันเกรี้ยวกราดขึ้นมา หางมหึมาที่ฟาดได้ไกลถึงสามร้อยเซี๊ยะ (1 เซี๊ยะ หรือ 1 ฉื่อ = 1 ฟุต) ดั่งแส้ยักษ์มรณะ หวดลงมาที่เขาอย่างเหี้ยมโหด
ตามปกติสัตว์ร้ายแห่งวายุจะใช้พลังธาตุลมในการโจมตี พลังทั้งหมดของมัน มีที่มาจากช่องลมปราณภายในและจากแผ่นเกล็ด ซึ่งเป็นที่สะสมพลังอันมหาศาล ที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ต้องหวาดกลัว
ทว่าหากถกถึงพลังการโจมตีทางกายภาพที่รุนแรงที่สุดของมันแล้ว ก็คงต้องกล่าวถึงหางใหญ่ยักษ์ที่ฟาดได้ไกลถึงสามร้อยเซี๊ยะของมัน หางที่ฟาดลงมาแม้จะยังไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่มวลอากาศมหาศาลที่ถูกอัดกระแทกจนกลายเป็นแรงอัดอากาศที่น่าหวาดกลัว ก็เสมือนแรงระเบิดที่หมายจะบดขยี้ร่างของหานเทียนเฟิงให้ตายคาที่ได้ ร่างของหานเทียนเฟิงถูกแรงนั้นกดทับไว้ จนแม้แต่เพียงแค่การขยับนิ้วยังเป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก
เมื่อได้เห็นการจู่โจมที่น่าสะพรึงกลัวของสัตว์วายุแล้ว ก็ยิ่งทำให้หานเทียนเฟิงรู้สึกทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาล ทั้งโมโหทั้งร้อนรน โดยเฉพาะ เมื่อได้เห็นเจ้าเด็กน้อยที่สวมหน้ากากแป๊ะยิ้ม ที่ยืนอยู่ไกลออกไป ปรบมืออย่างครึกครื้นนั่นแล้ว ก็ยิ่งกระตุ้นให้เขามีโทสะมายิ่งขึ้น ออกอาการคล้ายอกจะปะทุออกมา
ในเวลาที่สัตว์วายุตนนั้นจู่โจมเข้ามา หานเทียนเฟิงก็ไม่สามารถหลบพ้นได้แล้ว เขากัดฟันกรอด ล้วงเอายันต์อาญาสิทธิ์โบราณออกมาจากแหวนมิติ
“เจ้าหนู รอก่อนเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าตายแบบไร้แผ่นดินฝังศพ”
ดวงตาของหานเทียนเฟิงจับจ้องอยู่ที่หางขนาดยักษ์ของสัตว์วายุตนนั้น เมื่อมันหวดเข้ามาใกล้ตัว หานเทียนเฟิงก็ขยำยันต์โบราณที่อยู่ในมือ หายวับไปต่อหน้าต่อตาหลงเฉินทันที
“ซูม”
ทัศนียภาพตรงหน้าหานเทียนเฟิงเปลี่ยนแปลงไป เขาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ รีบกางแผนที่ออกดู และมองไปโดยรอบ อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาเสียงดังสะเทือนไปทั่ว
“เจ้าตวบดซบ มันน่าโมโหนัก มันน่าโมโหนัก”
แท้จริงแล้ว เมื่อหานเทียนเฟิงตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เขาจะนำยันต์ที่ใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายออกมา ยันต์นี้ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง
เขาจะใช้มันช่วยชีวิตในเวลาคับขันเท่านั้น อีกทั้งในตัวหานเทียนเฟิงมีเพียงสองใบเท่านั้น ใบหนึ่งสามารถช่วยเคลื่อนย้ายตัวเขาในระยะใกล้ อีกใบใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายในระยะไกล
ยันต์โบราณนี้ใช้งานด้วยการขยำ ทันทีที่ยันต์ถูกขยำจะส่งผู้ใช้ให้ไปปรากฏตัวยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งระยะทางการเคลื่อนย้ายของยันต์ระยะใกล้นั้น จะอยู่ในอาณาเขตประมาณสิบลี้ แต่ในเรื่องทิศทางนั้นไม่ได้กำหนดไว้อย่างแน่ชัด ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของสถานที่ที่จะไปปรากฎ
ส่วนระยะทางในการเคลื่อนย้ายของยันต์ระยะไกลนั้น ไกลถึงระยะสิบหมื่นลี้ เดิมทีเขาคิดจะใช้ยันต์ระยะใกล้ แต่ด้วยความรีบร้อน เพราะเสียเวลาไปกับการเอ่ยข่มขวัญศัตรู จึงทำให้ไม่ได้มองยันต์ที่ล้วงออกมา พลาดไปใช้ยันต์หายตัวระยะไกลในที่สุด
หลังจากดูแผนที่จนแน่ใจในทิศทางที่ตนเองอยู่แล้ว เขาก็พบว่าที่แห่งนี้อยู่ห่างจากหุบเขาเมฆหมอกถึงสิบสามหมื่นลี้ ระยะทางที่ไกลถึงเพียงนี้ แม้เขาจะใช้แรงทั้งหมดที่มีพาตัวเองกลับไป ก็ยังต้องใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียว ที่สำคัญคือ ที่นี่คือขอบเขตแดนลับนพเก้า ที่มีภยันตรายนานัปการ ซึ่งเขาไม่กล้าสุ่มเสี่ยงไปในที่แห่งใดโดยไม่วางแผนไว้ก่อน อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเขาจะค่อยๆออกจากที่แห่งนี้อย่างระมัดระวังมากที่สุด แต่กว่าจะถึงหุบเขาเมฆหมอกก็คงต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน ถึเวลานั้นก็คงไม่ทันการณ์แล้ว
เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่าจะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายระยะใกล้ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปยังหุบเขาเมฆหมอกได้อย่างรวดเร็ว เขาจะกลับไปตามล่าเจ้าเด็กนั่นอีกครั้ง หรือไม่ก็ดักรออยู่บริเวณรอบนอกให้เจ้าเด็กนั่นออกมาเอง หรืออย่างน้อยเขาอาจจะได้เบาะแสอะไรบางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นผู้ใดที่กลั่นแกล้งเขา
แต่ในตอนนี้ไม่มีอะไรหลงเหลือเลยแม้แต่น้อย สมบัติล้ำค่าสักชิ้นก็ไม่สามารถเอามาได้ ทั้งยังทำให้สมุนผู้ภักดีต่อเขาต้องตายถึงสองคน และที่ทำให้เขาคับแค้นใจแทบบ้าก็คือ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบัดนี้เขายังไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งหมดนั้น เป็นฝีมือของผู้ใด
“อ๊าก…หากข้ารู้ว่ามันเป็นใคร ข้าจะสับมันเป็นหมื่นชิ้น….”
หานเทียนเฟิงเงยหน้ามองฟ้าแผดเสียงคำรามออกมา น้ำเสียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น เพลิงโทสะนั้น ราวกับสามารถทำให้ป่ารอบๆภูเขาจุดติดไฟ ลุกไหม้ขึ้นมาได้ ใบหน้าที่เคยสง่างาม กลับกลายเป็นใบหน้าที่ดุร้าย น่าเกลียดน่ากลัว
ในขณะที่หานเทียนเฟิงบาดเจ็บสาหัสทั้งกายและจิตใจ โมโหจนตับแทบฉีกขาดอยู่นั้น หลงเฉินก็กำลังตกตะลึงกับทักษะยุทธ์ที่หานเทียนเฟิงใช้
“เจ้าจอมโจรนี่ช่างร่ำรวยเสียจริง ถึงกับมีวิชายันต์เคลื่อนย้ายเลยทีเดียว”
ยันต์เคลื่อนย้ายนี้ ไม่ใช่ยันต์ธรรมดา ที่หาได้ทั่วไป แต่ต้องเป็นระดับยอดฝีมือที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตขั้นก่อฟ้าจึงจะสามารถสลักอักขระลงยันต์นี้ได้
การสลักภาพยันต์ ไม่ต่างไปจากการหลอมโอสถแม้แต่น้อย ลวดลายภาพสลักหรือก็คล้ายกับยาโอสถ ที่ต่างก็จะมีระดับ ความยากง่ายแตกต่างกัน
ยันต์เคลื่อนย้ายนี้ เป็นสิ่งที่ แม้แต่ปรมาจารย์ผู้ลงยันต์ก็ยังไม่ยินยอมที่จะสลักให้โดยง่าย สาเหตุข้อหนึ่งคือโอกาสที่จะล้มเหลวสูงยิ่งนัก อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ผู้ลงยันต์จะต้องสิ้นเปลืองพลังแห่งจิตวิญญาณอย่างมหาศาลในการสลักยันต์ครั้งหนึ่ง ดังนั้นยันต์เคลื่อนย้าย หากเพียงแค่มีเงิน ก็ยังไม่อาจครอบครองได้
ได้ยินมาว่า แม้เพียงยันต์หายตัวที่ราคาถูกที่สุด ยังต้องใช้หินปราณมากกว่าหมื่นหน่วยถึงจะแลกมาได้ อาจจะสองถึงสามหมื่น หรือมากถึงสิบหมื่นหน่วยเลยด้วยซ้ำ สำหรับคนอนาถาเช่นหลงเฉิน เพียงทราบราคาก็สะเทือนใจไม่น้อยแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกของหลงเฉิน ที่ได้เห็นคนใช้ยันต์เคลื่อนย้าย เป็นช่วงเวลาที่เขาตะลึงงันอยู่ไม่น้อย และรู้สึกไม่มั่นคงอยู่ลึกๆในจิตใจ ผักกาดขาวชั้นดี ถูกหมูกินไปแล้ว (อุปมาเหมือน ทำให้ต้องเสียของมีค่าสูงไปโดยเปล่าประโยชน์)
“ตู้มม”
หานเทียนเฟิงหายตัวไป เหลือแต่เพียงสัตว์วายุที่ยังคงฟาดหางอย่างดุดันอยู่บนยอดเขาเล็กๆนั่น
ในเวลานี้เขาลูกนั้น คล้ายหน่อไม้ถูกหักยอดออก หลงเฉินทะยานเข้ามาใกล้ เขารู้สึกยินดียิ่งนัก เหินตัวขึ้นไปอยู่กลางอากาศแล้วยื่นมือใหญ่เข้าแตะไปที่ภูเขาที่ลอยคว้างอยู่นั้น
“เก็บให้หมด”
หลงเฉินกระแอมเสียงดังครั้งหนึ่ง แล้วตะโกนออมาเสียงดัง ขับเคลื่อนพลังแห่งจิตวิญญาณออกมาทำการเก็บภูเขาลูกเล็กที่เกิดจากหินปราณวายุนั้น หินปราณวายุจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ก็ได้หายวับไปทันใด ลำพังตัวเขาเอง คงไม่สามารถเก็บภูเขาที่สูงถึงพันเซี๊ยะเอาไว้เองได้
ทว่าเนื่องจากในขณะนี้เขาลูกนี้ถูกตัดฐานรากจนขาด และทำให้ลอยขึ้นมาอยู่กลางอากาศ ด้วยหลักการเดียวกันกับภายในสุสานโบราณ อาศัยแรงโน้มถ่วงและน้ำหนักของวัตถุ ทำให้เขาสามารถดูดเก็บเอาแท่นหลอมสร้างไว้ในแหวนมิติได้ นั่นนับว่าเป็นงานที่เบาขึ้นมาก
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าการเก็บรวมสิ่งที่มีขนาดมหึมาถึงเพียงนี้ ก็ยังทำให้หลงเฉินรู้สึกได้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณ ที่มีมหาศาลดั่งมหาสมุทรของเขา ก็ยังสูญหายไปเสียครึ่งหนึ่ง ภายในหัวของเขาก็ได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นับว่าได้เก็บของมีค่าทั้งหมดไว้แล้ว เช่นนี้เขาก็โล่งใจแล้ว
กล่าวได้ว่า การเก็บภูเขาขนาดใหญ่ได้ทั้งลูกในครั้งนี้ เขาต้องขอบคุณจอมโจรผู้ทรนงหานเทียนเฟิงผู้นั้นแล้ว
หลงเฉินที่ได้แหวนมิติที่มีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ถึงพันโยชน์นั่นมาจากมือของจอมโจรผู้ทระนงผู้นั้น นับว่าไม่มีความเสียใจใดหลงเหลืออยู่เลย
หลังเก็บภูเขาขนาดย่อมนั่นไปแล้ว หลงเฉินก็รีบจากไปทันที ขณะนี้ทั้งหุบเขาเมฆหมอก ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือเอาไว้ให้น่าจดจำอีกแล้ว
แต่ถึงแม้หลงเฉินจะไม่อาลัยอาวรณ์สิ่งใด ทว่าก็ยังคงมีสัตว์วายุที่ไม่ยินยอม ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธแค้นหลงเหลืออยู่ มันห้อตะบึง ด้วยกรงเล็บบนเท้าหกกีบ เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ดูคล้ายเรือยักษ์ที่พุ่งตามหลงเฉินไป
“ตู้มตู้มตู้ม”
ก้อนคมดาบวายุที่น่าหวาดกลัว ยิงถล่มหุบเขาอย่างไม่หยุดหย่อน หลงเฉินกระโจนไปมา หลบการโจมที่ต่อเนื่องนั้นอย่างจนมุม
เวลานี้เป็น นับครั้งแรกที่หลงเฉินรู้สึกขอบคุณต่อวิถีแห่งมารที่แข็งแกร่ง หากไม่เป็นเพราะกระบวนท่าร่างภูตมืดสงัดจากปีศาจทะเลทรายแล้วล่ะก็ เขาก็คงถูกสัตว์วายุขบเคี้ยวกลืนกินให้ตายทั้งเป็นไปนานแล้ว
“หาสัญลักษณ์เจอแล้ว”
หลงเฉินสัมผัสได้ถึงสถานที่ที่เคยทำสัญลักษณ์เอาไว้ อยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก จึงออกแรงทะยานไปในทิศทางนั้น
ทางหนึ่งก็หลบหลีกการโจมตีของสัตว์วายุไปด้วย อีกทางหนึ่งก็รีบมุ่งตรงไปข้างหน้า หลงเฉินไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย สัตว์วายุนั่นน่ากลัวมากเกินไปแล้ว ถูกโจมตีเพียงครั้งเดียว หากไม่ถึงตายก็คงเจ็บสาหัสเป็นแน่
โชคดีที่กระบวนท่าร่างภูตมืดสงัดมีความแยบยล โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทิศทางในระยะกระชั้นชิด ความเร็วของการเปลี่ยนทิศทางนั้นดุจดั่งปิศาจร้าย ซึ่งนั่นช่วยหลงเฉินให้พ้นวิกฤติมาแล้วหลายหน
“ฮุ่”
ทันใดนั้นก็เกิดแสงส่างวาบขึ้น ปรากฎต่อสายตา เมฆหมอกที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าหายไป หลงเฉินจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังแห่งจิตวิญญาณในการมองทางอีก
เมื่อก้าวพ้นจากปากทางเข้าหุบเขา หลงเฉินก็รีบสาวเท้าก้าวยาว ห้อตะบึงดั่งสายฟ้าแลบ มุ่งสู่ไปยังเบื้องหน้า ในระยะหลายร้อยลี้ภายในชั่วพริบตา
“อ๊ะ นั่นคือผู้ใดกัน ว่องไวจนน่าหวาดกลัว”
“สวมหน้ากาก จึงดูไม่ออกว่าเป็นใคร สวรรค์! เขาพึ่งจะออกมาจากหุบเขาเมฆหมอกที่ลึกลับนั่น”
ในที่สุดก็มีผู้คนนึกขึ้ได้ มนุษย์หน้ากากนั่น ต้องเหาะออกมาจากหุบเขาเมฆหมอก หุบเขาเมฆหมอกไม่มีทางออกมิใช่หรือ?
“ฮึ่มมมเปรี้ยงเปรี้ยง”
ทันใดนั้น ผืนปฐพีก็สั่นสะเทือนเลือนลั่น ทั่วทั้งหุบเขาสั่นไหว คล้ายจะถล่มครืนลงมาเลยทีเดียว จนทำให้ทุกผู้คนถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสี
“ตูมมม”
ฉับพลันนั้นก็คล้ายมีพายุใหญ่พัดผ่านมา ร่างอันมหึมาแฉลบผ่านฝูงชนออกไป ชั่วพริบตาก็เหาะทะยานไปไกลกว่าร้อยลี้
ผู้คนเหล่านั้นถึงกับนิ่งอึ้ง ผ่านไปพักหนึ่งจึงมีคนขยี้ตา แทบจะไม่เชื่อสายตากับภาพที่เห็น นิ่งค้างจนรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นหินไปแล้ว
“ตัวเบ้อเริ่มเลย มันคืออะไรกันแน่?”
เพียงแค่อึดใจเดียวหลงเฉินก็เหาะไปได้ไกลถึงสามพันลี้ เร่งความเร็วถึงระดับถึงสูงสุด แต่สัตว์วายุที่ตามมา กลับใกล้เข้ามาทุกที
“แย่แล้วสิ”
หลงเฉินไม่เพียงรู้สึกว่ากำลังจะแย่เท่านั้น เขายังสำนึกรู้ขึ้นมาอีกด้วย คนเราไม่ควรมีความโลภ ถ้าหากตัวเขารีบหนีออกมาตอนที่สัตว์วายุกำลังโจมตีหานเทียนเฟิง ก็คงหนีไปได้ไกลโขแล้ว และคงจะไม่ต้องมาจนตรอกแบบนี้อย่างแน่นอน
“ฮื่อ”
ขณะที่หลงเฉินกำลังครุ่นคิดในอย่างหนัก ว่าจะสลัดเจ้ายักษ์ที่ตามมาได้อย่างไร เสียงของเสี่ยวเสวี่ยก็ดังขึ้นมาในจิตวิญญาณ
.
.