“อ๊าก”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังร้อนรนคิดหาแผนการ เพื่อที่จะสลัดเจ้าสัตว์แห่งวายุตัวใหญ่ยักษ์ที่อยู่ทางด้านหลังให้หลุด แต่ทันใดนั้นที่ภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉิน ก็ได้มีเสียงของเสี่ยวเสว่ยดังขึ้นมา
“ฮาฮา เสี่ยวเสว่ยเจ้ายิ่งโตก็ยิ่งฉลาดจริงๆ”
เสี่ยวเสว่ยที่อยู่ภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ ก็ได้บอกวิธีหนึ่งขึ้นมาจนทำให้หลงเฉินรู้สึกจิตใจเบิกบานขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันด้านสติปัญญาของเสี่ยวเสว่ย ก็ยิ่งฉลาดขึ้นจนน่าตกใจ ต่อให้เป็นสัตว์มายาระดับสูง ก็ทำได้เพียงแค่คิดอะไรเพียงบางอย่างที่ง่ายดายเท่านั้น หาได้มีความฉลาดเฉลียวเช่นนี้ไม่
ที่ถูกเรียกขานว่าสัตว์มายานั้น เป็นเพราะภายในตัวของมันได้แฝงเอาไว้ด้วยสำนึกแห่งมารอยู่ชนิดหนึ่ง ที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลา มีเพียงสัตว์มายาส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีลักษณะนิสัยแบบนี้
โดยส่วนมากแล้วสัญชาตญาณของสัตว์มายารวมไปจนถึงความสามารถทั้งหมด หาได้เกิดจากความคิดหรือการไตร่ตรอง แม้เสี่ยวเสว่ยจะมีจิตใจที่เชื่อมโยงกับหลงเฉิน จนเรียกได้ว่าใกล้ชิดอย่างถึงที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่น้อยนักที่เสี่ยวเสว่ยจะแสดงความคิดของตนเองออกมา ที่ผ่านมาหลงเฉินให้มันทำสิ่งใดมันก็ทำเช่นนั้นหาได้เคยปฏิเสธ
แต่หลังจากที่ได้เข้าสู่ระดับที่สี่แล้ว สติปัญญาของเสี่ยวเสว่ยก็พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก จนสามารถที่จะมีความคิดเป็นของตัวเอง และคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาให้แก่หลงเฉินได้
คล้ายกับครั้งที่เก็บผลึกปราณวายุก่อนหน้านี้ หากมิใช่เป็นเพราะว่าเสี่ยวเสว่ยคอยเตือนสติ เขาก็คิดไม่ถึงว่ายังมีวิธีนี้อยู่
เดิมทีหมาป่าหิมะแดงเพลิงระดับสูงที่สุดคือระดับที่สาม ยังหาได้เคยมีสัตว์มายาตัวไหนสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดทางสายเลือดแห่งบรรรพชนมาก่อนได้
แต่ว่าก่อนหน้านั้นเสี่ยวเสว่ยได้รับการช่วยเหลือมาจากยอดฝีมือแดนหลิงที่ช่วยปรับสภาพร่างกายมาก่อน และในภายหลังหลงเฉินยังได้ใช้โลหิตบริสุทธิ์ขั้นก่อฟ้าเพื่อทำการล้างเส้นชีพจรของมัน วาสนาเช่นนี้แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจพบได้เลย แต่ทว่าสุดท้ายแล้วเสี่ยวเสว่ยเองยังสามารถที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้ จนกลายเป็นหมาป่าหิมะแดงเพลิงที่แสนประหลาดตนหนึ่ง
ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงพลังฝีมือของเสี่ยวเสว่ยเลย เพียงแค่สติปัญญาก็ถือได้ว่าไม่แพ้มนุษย์ทั่วๆไปแล้ว
หลงเฉินที่ยังคงวิ่งตะบึงไปด้านหน้า โดยที่ทางด้านหลังก็มีสัตว์ร้ายแห่งวายุขนาดใหญ่ใหญ่โตเท่าภูเขาลูกหนึ่ง ทั่วร่างกายมีเกล็ดแผ่กระจายออกมาคล้ายกับกำลังลู่ไปตามสายลม ยังคงทำการไล่ตามหลงเฉินอย่างไม่ลดละ
ความเร็วของหนึ่งคนหนึ่งสัตว์ก็ได้เข้าถึงระดับขีดสุด เดิมทีที่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ในด้านความเร็วย่อมไม่แพ้ให้กับสัตว์ร้ายแห่งวายุ แต่หลงเฉินหาได้มีพลังแห่งวายุเช่นเดียวกับสัตว์แห่งวายุไม่
เมื่อหลงเฉินกระตุ้นความเร็วจนถึงขีดสุด เท้าทั้งสองข้างก็ได้เคลื่อนที่ดุจล้อรถ พื้นที่อันกว้างใหญ่ก็มีควันคลุ้งขึ้นมาเป็นทาง คล้ายกับมังกรยักษ์เหินบินผ่านมา จนทิ้งร่องรอยเอาไว้กับพื้นดิน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้สัตว์ร้ายแห่งวายุก็ยังคงพยายามที่จะเข้ามาใกล้อย่างไม่หยุดยั้ง ในยามที่มีระยะห่างจากหลงเฉินเพียงแค่ยี่สิบกว่าลี้ สัตว์ร้ายแห่งวายุก็อ้าปากกว้างขึ้นมาอย่างช้าๆ ภายในปากนั้น ก็ได้มีก้อนลมที่ถูกผนึกขึ้นมาจากพลังแห่งวายุ กำลังทำการหมุนวนขึ้นมาอย่างช้าๆ
ขณะที่หลงเฉินวิ่งตะบึงไปทางหนึ่ง ทางหนึ่งก็ได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา เพื่อทำการจับตามองความเคลื่อนไหวของสัตว์ร้ายแห่งวายุ เมื่อพบว่ามันได้อ้าปากกว้างขึ้นมา อีกทั้งเกล็ดทั่วร่างก็ยังถึงกับส่องสว่างขึ้นมา เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งวายุอันน่าหวาดกลัวถ่ายเทออกมาจากภายในปาก
เดิมทีก้อนลมที่มาจากสัตว์ร้ายแห่งวายุก้อนนั้นมีขนาดใหญ่เพียงแค่หนึ่งกำปั้น แต่ในระหว่างที่ไหลผ่านพลังจากเกล็ดตามตัว ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ก็ได้กลายเป็นก้อนลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายจั้ง เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการทำลายที่น่าหวาดกลัว จนทำให้สภาวะอากาศเกิดการสั่นไหวขึ้นมา
“ตอนนี้ละ”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็ไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา และได้ชักนำเสี่ยวเสว่ยออกมาจากภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ ขณะที่เสี่ยวเสว่ยเพิ่งจะปรากฏกายโดยยังไม่ทันจะเหยียบลงพื้น ก็ได้อ้าปากกว้างปล่อยคมวายุขนาดยักษ์ออกมาประดุจสายฟ้าแลบผ่าน ปล่อยให้คมวายุมุ่งหน้าลอยเข้าไปยังภายในปากของสัตว์ร้ายแห่งวายุในทันที
คมวายุที่อยู่ภายในปากของสัตว์ร้ายแห่งวายุลูกนั้นกำลังอยู่ในสภาวะที่อิ่มตัว ในขณะที่กำลังจะพ่นออกมา คมวายุสายหนึ่งก็ได้กระแทกชนเข้ากับลูกลมนั้นอย่างรุนแรง
“ตูม”
คมวายุสายนั้นของเสี่ยวเสว่ยเหมือนกับเกิดแรงดึงดูดขึ้น ทำการโจมตีเข้าใส่สัตว์ร้ายแห่งวายุในทันที จนเกิดการระเบิดขึ้นภายในปากของมันขึ้น
ห้วงสภาวะอากาศเกิดการระเบิดขึ้นมา สัตว์ร้ายแห่งวายุไม่อาจที่จะทรงกายในสภาวะลอยเหินต่อไปได้อีก จากนั้นก็ได้ส่งเสียงร้องคำรามขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ล้มกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นไม่หยุด ทั้งยังมีโลหิตลอยกระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เสี่ยวเสว่ย ทำดีมาก”
การโจมตีนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่เสี่ยวเสว่ยออกความคิดด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการโจมตี เรียกได้ว่าเหนือกว่ายันต์ผนึกของหานเทียนเฟิงก่อนหน้านี้เสียอีก
“โบร๋ว”
เสี่ยวเสว่ยได้ตอบรับขึ้นคำหนึ่ง แล้วใช้หัวอันใหญ่โตเข้าคลอเคลียหลงเฉิน วินาทีนั้นหลงเฉินก็รู้สึกได้ถึงกระแสลมขุมหนึ่งไหลเวียนเข้ามา กระทบมาจนถึงด้านหลังของเสี่ยวเสว่ย หลงเฉินจึงได้ขึ้นไปบนแผ่นหลังของเสี่ยวเสว่ย เสี่ยวเสว่ยขยับเท้าทั้งสี่ข้างขึ้นพร้อมกัน จนกลายเป็นเงาประกายแสงสีขาว วิ่งตะบึงออกไปทางด้านหน้า
“โฮก……”
เสี่ยวเสว่ยที่เพิ่งจะวิ่งตะบึงออกไป สัตว์ร้ายแห่งวายุก็ได้ส่งเสียงคำรามขึ้นสนั่นไปทั่วทั้งผืนฟ้า แล้วก็ไล่ตามหลงเฉินไปอีกรอบ
ทว่าเมื่อหลงเฉินหันกลับไปมองก็เห็นปากของสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด อีกทั้งยังมีฟันสองซี่ที่มีความยาวกว่าจั้งเผยออกมาให้เห็นถึงภายนอก แม้แต่เนื้อก็เผยออกมาเป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“ยังจะเอาต่ออย่างงั้นหรือ”
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา แต่เมื่อมีเสี่ยวเสว่ยคอยช่วยเหลือ เขาเองก็ย่อมที่จะพักผ่อนได้แล้ว ทำแค่เพียงจับตามองการโจมตีของสัตว์ร้ายแห่งวายุก็เพียงพอแล้ว
ระดับความเร็วของเสี่ยวเสว่ย หาได้เชื่องช้าไปกว่าที่หลงเฉินทุ่มเทพลังทั้งหมดไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เสี่ยวเสว่ยเองแต่เดิมก็มีพรสวรรค์ในด้านการวิ่งทางไกลมาตั้งแต่กำเนิดเกิดอยู่แล้ว ทั้งยังมีความอดทนที่สูงเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ต้องวิ่งอยู่นับแรมเดือนความเร็วก็ยังไม่ไม่ตกเลยแม้แต่น้อย
หากมิใช่เพราะก่อนหน้านี้เสี่ยวเสว่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส หยินหลอต่อให้มีท่าร่างที่แพรวพราว ก็ใช่ว่าจะสามารถไล่ตามเสี่ยวเสว่ยได้ทัน
เมื่อได้ฟื้นคืนอาการบาดเจ็บจนกลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว ก็หาจะต้องหวาดเกรงอีกไม่ ด้วยจุดเด่นในการวิ่ง แม้แต่สายลมก็ยังนับได้ว่าเป็นพวกเดียวกันกับตัวเอง ทั้งยังคอยเกื้อหนุนอย่างไม่ขาดสาย
“ถึงกับลืมไปเลยว่าเสี่ยวเสว่ยก็ถือเป็นสัตว์มายาธาตุวายุด้วย เช่นนั้นผลึกปราณวายุก้อนนั้น ก็คงจะต้องมีส่วนช่วยเสี่ยวเสว่ยได้เป็นอย่างยิ่ง”
หลงเฉินจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า แต่เดิมเสี่ยวเสว่ยก็ถือว่าเป็นสัตว์มายาธาตุวายุ ย่อมต้องเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลจากธาตุวายุ จึงไม่แปลกที่จะมีพรสวรรค์ในด้านการวิ่ง
เมื่อลองนึกถึงหินปราณวายุที่กองเป็นภูเขาอยู่ภายในแหวนมิติ บวกกับผลึกปราณวายุที่อยู่ภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ หลงเฉินก็ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงใบหูแล้ว
“ยังไงความโลภก็ยังเป็นสิ่งที่คอยขับเคลื่อนการพัฒนาของมนุษย์อยู่ดี”
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุผลนี้ขึ้นมา ในขณะนี้เขาได้ลบล้างคำว่ากล่าวถึงความละโมบในสมัยโบราณไปได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
มักมีการกล่าวว่ามนุษย์หากมีความหาญกล้ามากเท่าใด โลกก็ย่อมมีทรัพยากรมากเท่านั้น ความกล้ายังไงเสียก็ย่อมถือได้ว่าเป็นผลผลิต หลงเฉินรู้สึกได้ว่าจิตใจเบิกบานอย่างไร้ที่เปรียบ
“สิ่งที่กล่าวกันว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ในที่สุดข้าก็เรียนรู้สิ่งนี้ได้แล้ว”
หลงเฉินหยิบหินปราณวายุขึ้นมาก้อนหนึ่ง รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่บริสุทธิ์ของธาตุวายุที่อยู่ภายใน พร้อมกับทอใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติ
ถ้าหากประโยคที่เขากล่าวออกมา ถูกจ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้นได้ยินเข้า ต่อให้กลายเป็นภูตผีไปแล้ว ก็คงจะต้องเสาะหาตัวเขาเพื่อล้างแค้นอย่างแน่นอน
ทั้งสองคนยังไงเสียก็เป็นถึงผู้มีพรสวรรค์และสุดยอดฝีมือ ในยามที่ตายก็ไม่อาจทราบว่าคนอย่างพวกเขาต้องมาตกอยู่ในวลี “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่แม้จะตายไปแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้วิ่งต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม เรียกได้ว่าวิ่งมาตลอดทางกว่าหมื่นลี้แล้ว แต่สัตว์ร้ายแห่งวายุนั้นกลับยังไล่ตามอยู่ด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งยังไม่มีความท้อแท้เลยแม้แต่น้อย
ที่ทำให้หลงเฉินที่ต้องผิดหวังก็คือ สัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นหาได้กล้าอ้าปากปล่อยการโจมตีเช่นก่อนหน้านี้อีกไม่ แต่กลับคอยเอาแต่ไล่ตามอยู่ทางด้านหลัง และมีการคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
ถ้าหากสัตว์แห่งวายุยังคงโจมตีออกไปเช่นเดิมอย่างโง่งมอีก ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวเสว่ย สัตว์ร้ายแห่งวายุที่น่าหวาดกลัว มันคงจะต้องถูกจัดการจนสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน
สัตว์ร้ายแห่งวายุถือได้ว่ามีความฉลาดหลักแหลมขึ้นมาบ้าง จึงไม่กล้าที่จะโจมตีก่อน เห็นได้ชัดว่าได้รับบทเรียนจากการต่อสู้ ทางหนึ่งพยายามฟื้นคืนอาการบาดเจ็บ ทางหนึ่งพยายามไล่ตาม อย่างไรเสียภายในร่างกายของมันก็ย่อมเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งวายุที่มหาศาลอยู่แล้ว แทบไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวว่าจะหมดสิ้นไปไม่
“โบร๋วโบร๋ว”
เสี่ยวเสว่ยที่คอยวิ่งตะบึงมาตลอดทาง ก็ได้พบว่ามีเทือกเขาตั้งอยู่สองข้างทาง จึงได้ทำการถอยไประยะทางหนึ่งด้วยความรวดเร็ว เพื่อที่จะสามารถเร่งความเร็วให้เร็วขึ้นกว่าเดิมขึ้นมา
“ฮาฮา ข้าทราบแล้ว เจ้าไม่พ่ายให้แก่มันหรอก ข้าเชื่อใจเจ้า เสี่ยวเสว่ยของข้ายังไงก็เก่งที่สุดมาโดยตลอดอยู่แล้ว”
หลงเฉินตบเข้าไปที่แผ่นหลังของเสี่ยวเสว่ยเบาๆ อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย มีอยู่หลายครั้ง ที่เสี่ยวเสว่ยยังคงมีนิสัยไม่ต่างอะไรไปจากทารกน้อย ทว่าก็เปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญ แม้จะโง่งมไปบ้างแต่ก็ถือว่าน่ารักน่าชัง
“เสี่ยวเสว่ยอย่าได้วิ่งเร็วจนเกินไปละ ออมแรงเอาไว้บ้าง สัตว์ยักษ์ตัวนั้น ยังมีพลังอันมหาศาลดุจท้องมหาสมุทรอยู่ภายในร่าง พวกเราจะต้องทำการเตรียมการเปิดศึกที่ยาวนานอยู่” หลงเฉินกล่าวเตือนสติขึ้น
หลงเฉินพบว่ายิ่งเข้าไปใกล้ทางด้านหน้า ก็ยิ่งมีเทือกเขาขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินก็ได้เปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ อีกทั้งพืชพรรณที่เตี้ยต่ำติดอยู่กับพื้น ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นสูงใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งในระหว่างที่หลงเฉินกำลังวิ่งอยู่ ก็ยังสามารถที่จะพบเห็นร่องรอยของสัตว์มายาตนอื่นๆขึ้นมาได้ นั่นก็บอกได้แล้วว่าทางด้านหน้า น่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นถิ่นฐานของสัตว์มายามากมาย จึงไม่อาจที่จะประมาทขึ้นมาได้
ถ้าหากเดินทางด้วยความเร็วที่มากเกินไป แล้วกลายเป็นว่าไปเจอกับสัตว์มายาตนอื่นเข้า ถ้าหากอยู่ในระดับเดียวกันกับเสี่ยวเสว่ยขึ้นมา พวกมันย่อมต้องเป็นฝ่ายที่เริ่มโจมตีก่อนแน่ เพื่อที่จะปกป้องอาณาเขตของพวกมันนั้นเอง
ถ้าหากยอมที่จะช้าลงหน่อย แล้วรักษาระยะห่างกับสัตว์ร้ายแห่งวายุอยู่ที่สิบกว่ายี่สิบลี้เอาไว้ ก็จะสามารถที่จะหยิบยืมพลังแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวของสัตว์ร้ายแห่งวายุ ทำให้สัตว์มายาไม่กล้าที่จะแม้แต่ชายตามองพวกเขาด้วยซ้ำ นี่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากจิ้งจอกที่แอบอิงบารมีพยัคฆ์
หลงเฉินที่นั่งอยู่บนแผ่นหลังของเสี่ยวเสว่ย วิ่งตะบึงออกไปตลอดทาง ทั้งยังพบผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ห่างไกลออกไปอยู่ไม่น้อย ที่ซ่อนเร้นอยู่ตามใจกลางหุบเขาเพื่อทำการค้นหาสมบัติยาล้ำค่ากันอยู่
หลงเฉินและเสี่ยวเสว่ยกำลังวิ่งตะบึงมาตลอดเส้นทาง ยังมีสิ่งมีชีวิตที่มีความยาวที่มากถึงสามร้อยจั้งคอยตามติดอยู่ทางด้านหลัง คล้ายกับว่าสัตว์ร้ายแห่งวายุนั้นเป็นดั่งภูผาลูกหนึ่งเลย สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างแทบจะแข็งทื่อไปตามๆกันเลยก็ว่าได้
สัตว์ร้ายแห่งวายุได้ปลดปล่อยพลังทำลายที่น่าหวาดกลัวออกมา ไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้สึกหนาวเย็นเข้าไปจนถึงกระดูก ต่อให้อยู่ในระยะโดยรอบหลายพันลี้ออกไป ก็ยังสามารถที่จะมองเห็นร่างอันใหญ่โตมหึมาได้ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากร่างอันใหญ่โตนั้นได้อีก
“เด็กน้อยแท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ คิดที่จะเอาชีวิตเข้าแลกหรือไงกัน ? ถึงกับไปตอแยสัตว์มายาระดับห้าตนนั้นได้”
ถึงแม้จะไม่อาจจดจำสัตว์ร้ายแห่งวายุได้ แต่ก็มีคนที่สามารถสัมผัสพลังแรงกดดันจากสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นได้ จนพอที่จะจำแนกระดับของมันขึ้นมาได้
“แล้วยังจะสวมใส่หน้ากากของเล่นเช่นนั้นอีกงั้นหรือ ? ในตอนนี้ศิษย์ฝ่ายธรรมะ ชมชอบเล่นของพวกนี้อย่างงั้นหรือ ? ” ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้หนึ่งทำสีหน้าหวาดผวา พร้อมกับเหม่อมองไปยังเงาร่างที่อยู่ทางเบื้องหน้าที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ วิ่งตะบึงดุจเงาภูตพราย อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำขึ้นมา
บนใบหน้าหลงเฉินที่ยังสวมหน้ากากแป๊ะยิ้มอยู่ รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนหน้ากากทำให้ผู้คนรู้สึกว่า เขานั้นกำลังเล่นสนุกอยู่ ทั้งยังชักนำสัตว์มายาระดับห้าเข้ามาเล่นด้วย เรียกได้ว่าเป็นการละเล่นที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเลยทีเดียว
“ตูม”
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังวิ่งอยู่ ทันใดนั้นก็ได้มีเงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาทางด้านหน้า เป็นวัวป่าประหลาดที่มีเขาทั้งหมดสามเขา อีกทั้งยังมีร่างกายที่ยาวถึงสามสิบกว่าจั้ง ตลอดทั่วทั้งร่างกายเปี่ยมไปด้วยแรงกดดัน เมื่อเทียบกับเสี่ยวเสว่ยเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่ามาก
เมื่อเห็นเสี่ยวเสว่ยกำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต หากกล่าวกันตามรูปการณ์ น่าจะเป็นเพราะพบเห็นสัตว์ร้ายแห่งวายุที่อยู่ทางด้านหลังของเสี่ยวเสว่ยมากกว่า แม้แต่รังเก่าของตนเองก็ยังไม่ต้องการแล้ว เพียงแต่รุดหน้าวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเสียแทน
“เสี่ยวเสว่ยไล่ตามมันเร็ว พวกเราจะต้องทำการเชื้อเชิญกันหน่อย ไม่เช่นนั้นทุกคนก็คงจะไม่คึกครื้นกันอย่างแน่นอน”
คำสั่งที่หลงเฉินสั่งออกมา ทำให้บรรดากลุ่มสัตว์มายาที่อยู่ภายในหุบเขาต้องแตกฮือกันขึ้นมาเลยทีเดียว หลงเฉินชักนำสัตว์ร้ายแห่งวายุ วิ่งไปวิ่งมาทั่วทั้งภูเขา แม้แต่เหล่าสัตว์มายาที่กำลังจำศีลกันอยู่ภายในอาณาเขตของตนเองเหล่านั้นก็ยังต้องแตกตื่นกันขึ้นมา หลบหนีกันอุตลุดไปตามแต่ละเส้นทาง วิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิต
เหล่ายอดฝีมือที่อยู่ในที่ห่างไกลเหล่านั้น ต่างก็แตกตื่นและงุนงงกันขึ้นมา แม้แต่สัตว์มายาก็ยังแตกตื่นกันขึ้นรีบหลบหนีเอาชีวิตรอด ทำให้พวกเข้าต้องวิ่งหนีไปตามๆกันทั้งสี่ด้าน
“เสี่ยวเสว่ย เกิดความรู้สึกที่ฮึกเหิ้มขึ้นมาบ้างหรือไม่ ที่เป็นเหมือนกับความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่า ”หลงเฉินที่นั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวเสว่ย ก็ได้มองบรรดาสัตว์มายาที่แตกฮือกันไปคนละทิศละทาง
แต่ละตนที่ต่างก็มีสภาวะที่น่าหวาดกลัว แต่กลับถูกไล่ต้อนออกไปจากหุบเขากันอย่างอุตลุด นี่จึงไม่ต่างอะไรไปจากการบ่มเพาะสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเองเลยทีเดียว
“โบร๋วโบร๋ว”
“เหอะเหอะ เจ้าชื่นชอบก็ดีแล้ว สำคัญที่สุดก็คือความสะใจนี้ละ” หลงเฉินหัวเราะฮาฮาขึ้นมา ในเมื่อสัตว์ร้ายแห่งวายุที่อยู่ทางด้านหลังไม่กล้าที่จะโจมตี เขาเองก็ย่อมปลอดภัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
ระหว่างที่กำลังวิ่งทันใดนั้นหลงเฉิน ก็ได้พบเห็นร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมา