คนผู้นั้นมีรูปร่างลักษณะสูงใหญ่กำยำ ราวกับหอคอยเหล็กกล้า ทั้งยังมีสายตาที่กว้างไกลยิ่งนัก และเนื่องจากร่างกายที่สูงใหญ่ ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางพงไพร แต่ก็ยังคงเจิดจรัสดุจดวงเดือนที่สาดแสงส่องลงมายามราตรีก็มิปาน
“กู่หยาง”
มุมปากของหลงเฉินยกยิ้มออกมาอย่างยินดี นับตั้งแต่เข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า นอกเหนือจากกัวเหรินแล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอกับคนใกล้ชิดได้เช่นนี้
แต่ที่ทำให้หลงเฉินยินดียิ่งขึ้นก็คือ เขาสัมผัสได้ว่าในเวลานี้ร่างกายของกู่หยางเต็มไปด้วยพลังสภาวะที่ซ่อนเร้นชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ไหลเวียนอยู่ตลอดทั่วทั้งร่างกาย
เหอเหอะ วาสนาของเด็กน้อยผู้นี้ ไม่เลวเลยทีเดียว สามารถสำเร็จเป็นผู้เหนือขอบเขตได้แล้ว
พลังสภาวะของกู่หยางที่แผ่ออกมาในบรรยากาศขณะนี้ อยู่ในระดับของผู้อยู่เหนือขอบเขตแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ทราบว่าเขาช่วงชิงพลังจากต้นตระกูลมาจากผู้ใด
และเรื่องที่ทำให้หลงเฉินยินดีอย่างถึงที่สุดก็คือ ในมือของกู่หยางมีหอกยาวสีทองเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นหอกเล่มเดียวกันกับที่กู่หยางเคยถูกแย่งชิงไปในการประลองกับหมู่ตึกที่สามสิบหกนั่นเอง และเป็นหอกที่หลงเฉินชิงมาจากหยินหลอในการต่อสู้ครั้งก่อนหน้านั้นแล้วมอบให้เขา
ในเวลานี้กู่หยางที่ซ่อนตัวอยู่ห่างออกไป ก็ได้ทอสีหน้าหวาดผวาขึ้น เมื่อมองตรงมายังหลงเฉินแล้วได้เห็นสัตว์ร้ายแห่งวายุขนาดใหญ่ตนนั้น
สัตว์ร้ายแห่งวายุนั้นปลดปล่อยแรงกดดันอันมหาศาลออกมา จนทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังรู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่สาดเข้ามาลึกจนถึงกระดูก ทว่าเมื่อเห็นคนที่สัตว์มายาขนาดยักษ์ตนนั้นกำลังไล่ล่า สวนหน้ากาก และขี่อยู่บนหลังหมาป่าหิมะสีแดง พร้อมกับกำลังไล่ต้อนสัตว์มายาระดับสามระดับสี่กลุ่มใหญ่อยู่ ทั้งขบวนประหลาดนี้ยังวิ่งตะเลิดไปทั่วทั้งภูเขาราวกับเกิดภัยพิภัยขึ้น ก็ทำให้เขารู้สึกงุนงงเหลือประมาณ จนอดไม่ได้ที่จะต้องทอแววตาโง่งมขึ้นมา
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทันทีที่เขาได้พบเห็นเงาร่างของหมาป่าตัวนั้น ก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง คับคล้ายคับคลากับเสี่ยวเสว่ยของหลงเฉิน แต่ที่เขาเข้าใจก็คือเสี่ยวเสว่ยนั้นเป็นสัตว์มายาระดับสาม ทว่าสัตว์มายาที่เห็นอยู่เบื้องหน้าลับเป็นระดับสี่ไปเสียได้
ทว่าอีกด้านหนึ่ง บุรุษที่สวมหน้ากากนั้นกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยยิ่งกว่า ทั่วทั้งร่างกายบนล่าง เต็มเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยว ยิ่งดูก็ยิ่งคล้าย แต่กลับไม่อาจจะแน่ใจได้
“เฮ้ย เจ้าหนู เจ้าน่ะเอาแต่มองคุณชายอย่างข้าอยู่ได้ หน้าตาเจ้าหล่อเหลาสู้ข้าไม่ได้ล่ะสิ เอ้า เอาไปของสิ่งนี้ท่านปู่ผู้นี้จะมอบให้แก่เจ้าเป็นรางวัลก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นกู่หยางเอาแต่มองดูตนเองด้วยอาการโง่งม หลงเฉินก็อดขบขันไม่ได้ ฉีกยิ้มกว้าง แล้วโยนหินปราณวายุก้อนหนึ่งไปให้กู่หยาง
เมื่อได้ยินเสียงคนผู้นั้น กู่หยางก็ทราบในทันทีว่าเป็นเสียงของหลงเฉิน รีบวิ่งเข้าไปรับหินปราณวายุก้อนนั้นเอาไว้ แล้วก็รุดเข้าไปหาหลงเฉินในทันที จากนั้นทั้งสองก็พากันวิ่งตะบึงออกไป
“พี่ใหญ่ ยังไม่ตายงั้นหรือ”
กู่หยางทอสีหน้าตื่นเต้นเมื่อได้พบเห็นหินปราณวายุก้อนนั้น เพราะนอกจากภาพฉากที่หลงเฉินทำการสังหารสตรีผู้นั้นแล้ว กู่หยางยังได้เห็นภาพฉากที่หลงเฉินถูกหยินหลอไล่ล่าเองกับตา
ถึงแม้ภาพจากหยกบันทึกภาพบันทึกจะไม่ชัดเจน เนื่องระยะทางของทั้งสองคนนั้นอยู่ห่างไกลกันมากจนเกินไป แต่ว่ากู่หยางก็ยังคงสามารถจดจำเงาหลังของทั้งหลงเฉินและหยินหลอได้
ผู้คนมากมายต่างก็คิดกันว่า คนที่ถูกไล่ล่า จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว กู่หยางเองถึงแม้จะมีความเชื่อมั่นในตัวของหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าถึงอย่างไรหลงเฉินก็ยังมีพลังในการฝึกปรืออยู่ในขั้นก่อโลหิตเท่านั้น เมื่อเทียบกับหยินหลอที่เป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุคแล้ว จึงทำให้เขาอดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ และรู้สึกเป็นห่วงหลงเฉินอย่างยิ่ง
เมื่อครู่ที่ได้ยินเสียงของหลงเฉิน ตั้งแต่เขาเอ่ยคำแรกก็จำได้ทันที เพราะนอกเสียจากหลงเฉินแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าที่กล่าววาจาสามหาวกับเขาเช่นนี้ได้อีกกัน
หรือจะกล่าวได้อีกว่า นอกจากหลงเฉินแล้ว ยังมีผู้ใดที่หาญกล้าพอจะกระทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้ได้อีกกัน ถึงกับล่อให้สัตว์มายาระดับห้าที่น่าหวาดกลัวไล่ล่า แล้วพาวิ่งตะลอนไปทั่วทั้งหุบเขาเช่นนี้ได้
แม้หลงเฉินจะไม่ได้ใส่ใจตอบคำถามของกู่หยาง แต่ก็ทำให้กู่หยางมีความมั่นใจขึ้นเป็นเท่าทวี เขาหยุดลงแล้วมองไปยังร่องรอยในเส้นทางที่หลงเฉินผ่านมา แล้วมองตามหลงเฉินที่มุ่งหน้าจากไป จากนั้นก็หันหลังจากมาเพื่อเริ่มต้นการผจญภัยของเขาต่อไป
เมื่อพบว่ากู่หยางไม่เป็นอะไร ก็ได้ทำให้หลงเฉินจิตใจเบิกบานมากขึ้น ท่ามกลางขอบเขตแดนลับนพเก้าถือได้ว่าเปี่ยมไปด้วยภยันตราย ทั้งยังมีเขตแดนที่อันตรายอยู่นับไม่ถ้วน จนทำให้สามารถตายตกไปได้ทุกเมื่อ
การที่จะสามารถเจอศิษย์จากหมู่ตึกเดียวกันได้ซักคน ในมุมมองของหลงเฉิน ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว และเรื่องที่น่ายินดีนี้ก็ทำให้เขาสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีก
“จา ! จา……”
หลงเฉินอยู่บนหลังเสี่ยวเสว่ย ทำการไล่ต้อนสัตว์มายาเหล่านั้นไม่หยุด จนพวกมันวิ่งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ในอาณาบริเวณนับหมื่นลี้เต็มไปด้วยฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้นมาเป็นสาย
ผู้คนที่อยู่ไกลออกไป เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ ต่างก็ต้องโง่งมกันขึ้นมา
“คนผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกัน ? เหตุใดถึงได้มีความน่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ ? ”
“ไม่ไปเสาะหาสมบัติ แต่กลับมาทำเรื่องเช่นนี้อย่างนั้นนหรือ ? นี่คิดที่จะไล่ต้อนสัตว์มายาไปให้หมดหุบเขาเลยหรือไงกัน นี่เขายังคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปใช่หรือไม่ ? ” มีคนที่รู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา
ศิษย์ของฝ่ายอธรรมกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก นำโดยสุดยอดฝีมือผู้หนึ่ง ก็กำลังจับตามองขบวนประหลาดของหลงเฉินอย่างเยือกเย็น “เหอะ ก็แค่พวกที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ เจ้าพวกโง่เง่าฝ่ายธรรมะช่างไร้หนทางเยียวยากันแล้วจริงๆ ถึงกับขี่สัตว์พาหนะวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเจ้าดูเถอะ อีกไม่นาน ก็คงไม่พ้นต้องตายไปอย่างแน่นอน ! ”
“ที่ศิษย์พี่จี่กล่าวมาก็มีเหตุผล ฝ่ายธรรมะล้วนแต่เป็นตัวโง่งม ตอนที่เจอพวกเรา ต่างก็วิ่งหนีกันอุตลุต หนีได้หนีไป ยังไงซะก็เป็นได้แค่เจ้าพวกขี้ขลาดตาขาวกันอยู่แล้ว”
หลังจากที่สุดยอดฝีมือแซ่จี่ผู้นั้นกล่าวจบ ก็มียอดฝีมือฝ่ายอธรรมอีกคน กล่าวเสริมออกมา
“ในมุมมองของข้า มีเพียงบุรุษฝ่ายอธรรมเท่านั้น ที่กล้าหาญสมชายชาตรี เจ้าพวกตัวโง่งมฝ่ายธรรมะ ล้วนเป็นพวกที่ใช้การไม่ได้” สตรีที่แต่งกายยั่วยวนผู้หนึ่ง สอดมือเข้าไปคล้องแขนของสุดยอดฝีมือผู้นั้น พร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ออดอ้อนออเซาะ
“เอ๊ะ แต่เหตุใดข้าถึงมีความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องกันนะ สัตว์มายาเหล่านั้นคล้ายกับกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเราอยู่เลย” ทันใดนั้นยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความฉงน
“บัดซบ นั้นหาใช่คล้ายไม่ แต่กำลังมุ่งหน้ามาที่พวกเราอยู่จริงๆ ทุกคนหนีเร็ว” สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น ยังไม่ทันที่จะสาดแววตาเย็นชาใส่หลงเฉินเลยด้วยซ้ำ ก็ได้รีบชักนำให้คนทั้งกลุ่มหลบหนีออกไป
แท้จริงแล้วที่หลงเฉินไล่ต้อนสัตว์มายาเหล่านั้น ไม่ได้ทำไปเพราะความคึกคะนอง แต่เขาต้องการค้นหาสัตว์มายาที่มีพลังเทียบเท่ากับสัตว์ร้ายแห่งวายุเพื่อมาต่อกรกับมัน เพื่อที่จะทำให้เขามีโอกาสสลัดหลุดจากการไล่ล่านี้ไปได้
อาณาเขตพื้นที่ของสัตว์มายาระดับห้านั้น เป็นจุดที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะมีสัตว์มายาระดับห้าเหล่านั้นคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ และโดยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดสามารถเข้ามารังควานพวกมันได้
ดังนั้นหากว่ามีมนุษย์หรือว่าสัตว์มายาตนอื่นๆ ย่างกรายเข้าสู่เขตแดนของมัน ต่างก็จะต้องเผชิณหน้ากับสิ่งที่น่าหวาดกลัว เพราะมันจะทุ่มเทพลังทั้งหมดเข้าสังหารในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บุกรุกเป็นสัตว์มายาระดับเดียวกัน ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าพวกมันจะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะเข้ามาช่วงชิงสมบัติไปนั่นเอง จึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะต่อสู้แบบแลกชีวิตนั่นเอง
ดังนั้น ทันทีที่พวกเขาล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของสัตว์มายาในระดับเดียวกันกับเจ้าตัวที่ไล่ล่าเขา มันจะต้องมุ่งเป้าหมายเข้าไปโจมตีกับสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนี้อย่างแน่นอน และก็คงจะไม่สนใจเหล่ากุ้งฝอยอย่างเขา เช่นนั้นเขาก็จะสามารถหลบเลี่ยงออกไปได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลได้
แต่ว่าที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังก็คือ จวบจนบัดนี้ สัตว์มายาที่แข็งแกร่งที่สุดที่พบเจอตลอดระยะทางที่ผ่านมา กลับเป็นเพียงแค่เสือดาวพายุครามตนหนึ่ง ที่เป็นการดำรงอยู่ในจุดสูงสุดของสัตว์มายาระดับสี่เท่านั้นเอง
ในตอนแรก ถือได้ว่าร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพบเห็นการมาถึงของเสี่ยวเสว่ย ก็กระโจนพุ่งเข้ามาหาในทันที ทว่าเมื่อกระโจนมาได้ครึ่งทาง ในยามที่เห็นสัตว์ร้ายแห่งวายุที่ตามมาด้านหลังของเสี่ยวเสว่ย เด็กน้อยตัวนั้นก็กลับตัวทันที ลำตัวพองใหญ่ขึ้น แต่ทว่านั้นกลับไม่ใช่ทักษะเฉพาะตัว เพียงแต่เกิดจากการที่เส้นขนทั้งหมดตั้งชันขึ้นมาด้วยความแตกตื่นและหวาดกลัวนั่นเอง
เดิมทีที่คล้ายดั่งพยัคฆ์หิว พริบตาก็กลายเป็นเพียงลูกแมวตัวหนึ่ง หันกายวิ่งหนีไปทันที จนทำให้หลงเฉินเกิดโทสะสบถด่าทอออกมายกใหญ่ บัดซบ ความหาญกล้าอย่างเจ้าเช่นนี้ ยังกล้าที่จะเรียกตัวเองว่าสัตว์มายาอีกอย่างนั้นหรือ ? ความอำมหิตของเจ้าหายไปไหนหมด เจ้ามิใช่สัตว์ร้ายหรือไงกัน ?
ทั้งยังไม่มีสัตว์มายาตนใด ที่จะหาญกล้าแม้แต่จะพ่นลมหายใจต่อหน้าสัตว์ร้ายแห่งวายุเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดต่างก็หลุบหางหลบหนีกันอย่างเตลิดเปิดเปิง หลงเฉินวนเวียนอยู่รอบใหญ่ ผ่านไปรอบหนึ่ง แต่ก็ยังคงไม่มีโอกาสที่จะสลัดให้หลุดจากการไล่ล่านี้ไปได้อยู่ดี
ในขณะที่หลงเฉินกำลังกลอกตาไปมาด้วยความว้าวุ่น ขณะที่กำลังคิดหาวิธีที่จะสลัดสัตว์ร้ายแห่งวายุให้หลุดออกไป ทันใดนั้นก็พบว่าห่างออกไปไม่ไกล มีเด็กน้อยสวมอาภรณ์ของฝ่ายอธรรมกลุ่มหนึ่ง กำลังชี้ไม้วาดมือมายังเขา พร้อมทั้งยังทอสีหน้าเหยียดหยามออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบว่าพวกเขานั้นกำลังกล่าวอะไรกันอยู่ แต่ว่าเพียงแค่ดูจากสีหน้าที่โง่เง่านั้นก็พอที่จะทราบว่า สิ่งที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่จะต้องมิใช่เรื่องดีนักอย่างแน่นอน
เดิมทีที่มีเพลิงโทสะอัดอั้นอยู่ภายในท้องอยู่แล้ว ทันที่ที่ได้พบว่ามีคนคิดจะท้าทายตนเองอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคนของฝ่ายอธรรมด้วยแล้ว หลงเฉินมีหรือที่จะไม่ลากพวกเขาให้เข้ามาร่วมวงได้ จึงทำการ ‘นำพาคาราวาน’ สัตว์มายากลุ่มใหญ่ พุ่งเข้าไปหาพวกเขาในทันที
ที่ทำให้หลงเฉินรู้สึกขบขันก็คือ เจ้าพวกโง่เง่ากลุ่มนี้ ไม่ได้ทราบถึงต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แต่กลับยังคงคาดเดากันเองอยู่เช่นนั้นไม่หยุด
และเมื่อระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเหลืออยู่ไม่ถึงห้าร้อยลี้ พวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีไปในบัดดล พร้อมทั้งเริ่มวิ่งหนีกันอย่างอุตลุด
ทว่าพวกเขาย่อมมีความเร็วที่ด้อยกว่าสัตว์มายาเหล่านั้นอยู่แล้ว และใช่ว่าทุกผู้คนจะมีความเร็วเท่ากันกับหลงเฉิน ถ้าหากหลงเฉินไม่ได้ศึกษาวิชาท่าร่างภูตมืดสงัด เขาก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะต้องวิ่งสี่เท้าเฉกเช่นเดียวกันเด็กน้อยเหล่านี้แล้ว
“พรวด”
“อ๊าก……”
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น สิ่งที่พบเห็นตามมา คือศีรษะของฝ่ายอธรรมผู้หนึ่ง ถูกเขี้ยวของตัวเม่นตัวหนึ่งแทงเข้าใส่ จนระเบิดกลายเป็นละอองโลหิตฟุ้งกระจายไปทั่วท้องฟ้า
สัตว์มายาเหล่านั้น ไม่ได้มีความคิดที่จะสังหารคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย พวกมันเพียงแต่คิดที่จะหนีเอาชีวิตรอด แต่ว่าเด็กน้อยกลุ่มนี้ กลับกีดขวางอยู่บนเส้นทางหลบหนีของพวกมันก็เท่านั้น จึงทำให้มันโจมตีเข้าใส่เช่นนนั้น
“อ๊าก……”
“ช่วยข้าด้วย……”
เสียงกรีดร้องเสียงแรกยังไม่ทันจะขาดหาย ก็มีสัตว์มายาขนาดใหญ่นับร้อย ถาโถมกันเข้ามาอีก ดุจดั่งคลื่นมหาสมุทรอันบ้าคลั่งซัดเข้ามา ภายในพื้นที่หลายร้อยลี้โดยรอบ เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาไม่หยุด จนเกิดเป็นเสียงที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“กรี๊ด……”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องของอิสตรีดังขึ้น นั่นเป็นเสียงของสตรีรูปร่างเย้ายวนที่อยู่ข้างกายของสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นนั่นเอง นางกำลังถูกแมงมุมพิษขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง ใช้เท้าข้างหนึ่งแทงทะลุร่างไป
แมงมุมพิษตนนั้น มีขนาดใหญ่มาก มีลำตัวที่ใหญ่เทียบเท่าห้องหับห้องหนึ่ง อีกทั้งยังมีปลายเท้าที่แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง ขามีขนาดใหญ่จนแทบไม่ต่างอะไรไปจากเสาขนาดเล็กต้นหนึ่งเลยทีเดียว ทำให้ขาที่แทงทะลุร่างกายอรชรนั้น เกือบจะสามารถฉีกกระชากนางจนกลายเป็นสองท่อนได้เลยทีเดียว
สตรีนางนั้น อย่างไรเสียก็เป็นถึงผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่ง จึงมีพลังการฝึกปรือที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีพลังแห่งชีวิตที่แกร่งกล้า ดังนั้นแม้ว่าจะถูกแทงทะลุร่างกายก็ยังไม่ได้ตายไปในทันที
ทว่านี่กลับมิใช่ความโชคดีแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังนับว่าเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งอีกด้วย เนื่องจากเท้าที่ใหญ่โตของแมงมุมยักษ์ ปกคลุมเอาไว้ด้วยเส้นขนที่แหลมคมดุจเข็มขนาดใหญ่ ที่ตรึงร่างของนางเอาไว้ จนทำให้ตัวของนางถึงกับห้อยอยู่ติดอยู่ตรงนั้น ไม่อาจสลัดหลุดออกมาได้
ในระหว่างที่แมงมุมพิษยักษ์ตัวนั้นกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง นางก็ถูกสบัดไปสบัดมาไม่หยุดหย่อน จนทำให้ต้องกระอักเลือดออกคำโต มาไม่หยุด
“ศิษย์พี่จี่……ช่วยข้าด้วย……” สตรีผู้นั้นก็ได้มองไปยังสุดยอดฝีมือที่อยู่ทางด้านหน้า พร้อมทั้งตะโกนเรียกออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ ขอเพียงแค่เขาหันกลับมา แล้วตัดขาแมงมุมตัวนี้ออกได้ แม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังเป็นถึงผู้อยู่เหนือขอบเขตที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นก็จะคงยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตได้
แต่น่าเสียดายยิ่งนัก สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น หรือที่ในสายตาของนางถือเป็นบุรุษเพศที่สมชายชาตรีที่แท้จริงนั้น กลับคล้ายกับเกิดหูหนวกขึ้นมาชั่วขณะ ไม่ได้สนใจใยดีเสียงอวดครวญของนางเลย ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตะบึงไปข้างหน้าเพื่อหนีให้ห่างจากสัตว์ร้าย
“พรวด”
แมงมุมยักษ์ตนนั้นยังคงมุ่งหน้าวิ่งตะบึงไปทางด้านหน้า ทำให้ในที่สุดก็สตรีผู้นั้นไม่อาจที่จะอดทนต่อไปได้อีก จนร่างกายถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นชิ้นๆไป
ในระหว่างที่สัตว์มายากำลังแตกฮือรุกไล่เข้ามา ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมกลุ่มนั้นที่แต่เดิมมีกันอยู่สามสิบกว่าคน ก็ได้ถูกสัตว์มายาสังหารไปกว่าครึ่ง หลงเหลือเพียงแค่เก้าคนเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตรอดมาได้ และได้หลบเลี่ยงออกห่างไปจากเส้นทางการวิ่งของสัตว์มายาไปได้จนห่างไกล
ครั้งนี้พวกเขาถือได้ว่าบาดเจ็บล้มตายกันอย่างแสนสาหัส เหตุผลข้อหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าฝูงสัตว์มายาที่น่าหวาดกลัวนั้นเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันจนเกินไป มิได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย อีกส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นเพราะว่าสัตว์มายาเหล่านี้มีรูปร่างที่ใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง จึงกินพื้นที่มากมาย จนแทบไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงไปทางใดได้เลยก็ว่าได้
“ไอ้หนูดาวมรณะฝ่ายธรรมะ หากแน่จริงก็ถอดหน้ากากออก แล้วทิ้งนามของเจ้าเอาไว้ซะ”
สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น ทันทีที่หลบรอดไปจากเส้นทางการหลบหนีของสัตว์มายาไปได้ ก็ได้ทอสีหน้าปั้นยากเกรี้ยวกราดอย่างถึงขีดสุด เขาหันหน้ามองหลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น อยู่ไม่ไกล
“อย่างเจ้าๆไม่คู่ควรที่จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าหรอก ทว่าหากว่าเป็นชื่อเสียงเรียงนาม ก็ยังพอที่จะบอกกล่าวต่อพวกเจ้าได้ แล้วพวกเจ้าฟังกันให้ดีๆล่ะ อย่าได้ถูกนามของข้าทำให้แตกตื่นจนปัสสาวะเรี่ยราดไปก่อนแล้วกัน”
หลงเฉินที่กำลังไล่ต้อนสัตว์มายาอยู่ ก็ยังคงมุ่งหน้าไล่ต้อนต่อไป จากนั้นก็ลุกยืนขึ้นบนหลังของเสี่ยวเสว่ย พร้อมทั้งยกมือซ้ายขึ้นข้างหนึ่ง อยู่ในท่วงท่าที่องอาจเปี่ยมไปด้วยบารมีอย่างถึงที่สุด ในเวลาเดียวกันในหัวสมองก็นึกถึงบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมาได้ หลงเฉินยกยิ้มมุมปากอย่างมากเล่ห์
“วิถีแห่งคมศรล่องผ่านเจียงหูนับสิบปี คมศรแหลมคมสะท้านไปทั้งพิภพ เก้าสวรรค์สิบชั้นฟ้า ทั่วทั้งจักรวาลยังต้องสั่นสะเทือน ข้านั้นมีนามอันลือลั่นว่า ม่อเนี่ยน!”
แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญ ในเวลาเดียวกันก็กวาดสายตามองอย่างเย้ยหยั่นไปทั่วทุกสารทิศ พร้อมกับพลังความแน่วแน่ที่พวยพุ่งไปทั้งเก้าขุมนรกอเวจี ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังเอ่ยวาจา ก็ได้แผ่พุ่งพลังลมปราณออกไปทั่วทุกพื้นที่ภายในอาณาบริเวณนับพันลี้โดยรอบ ทำให้ยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ในที่แห่งนั้นนับไม่ถ้วน ต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เหอะเหอะ ม่อเนี่ยน เจ้าชื่นชอบการมีชื่อเสียงใช่หรือไม่ สหายอย่างข้าขอช่วยเจ้าอีกแรงก็แล้วกัน เจ้าอย่าได้เกรงใจไปล่ะ” หลงเฉินคิดในใจ พลางหัวเราะเหอะเหอะออกมา ครั้งนี้ม่อเนี่ยนจะต้องมีชื่อเสียงที่เกรียงไกรอย่างแน่นอนแล้ว !
ทว่าไม่ว่าจะมีคนได้ยินมากน้อยแค่ไหน หลงเฉินก็ยังคงทำการไล่ต้อนสัตว์มายาต่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าหลงเฉินกลับไม่มีโชคมากพอ วิ่งตะบึงมานานถึงสามวันแล้วก็ยังไม่อาจเสาะหาการคงอยู่ที่พอจะสามารถต่อกรกับสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนี้ได้
ในขณะที่กำลังร้อนรนอยู่นั้น ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้พบว่าทางด้านหน้า มีทะเลสาบที่สงบนิ่งแห่งหนึ่ง จึงยินดีขึ้นมายกใหญ่ เขาบังคับเสี่ยวเสว่ยให้หยุดการวิ่งไล่สัตว์มายา แล้วมุ่งหน้าไปทางด้านของทะเลสาบแห่งนั้นแทนในทันที