ในขณะที่เห็นว่าหอกแห่งจิตวิญญาณได้เข้ามาถึง หอกอัสนีในมือของหลงเฉินก็ได้ตวัดออกไปผ่านห้วงอากาศ และพุ่งออกไปอย่างหนักหน่วง
“โครม”
หอกอัสนีที่อยู่เบื้องหน้าหลงเฉิน กับหอกแห่งจิตวิญญาณของศิษย์พี่ฉี แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากก้อนน้ำแข็งแตกสลายไร้ซึ่งร่องรอย
ศิษย์พี่ฉีถึงกับหน้าถอดสีขึ้นมา เขากระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง สติสัมปชัญญะแทบจะสิ้นลง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ? ”
ศิษย์พี่ฉีจ้องมองไปยังหอกยาวอัสนีที่อยู่ในมือของหลงเฉิน แววตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่น
ผู้ฝึกสัตว์จะมีจุดแข็งอยู่ถึงสองจุด หนึ่งก็คือสามารถที่จะชักนำสัตว์มายาที่แข็งแกร่งเข้าร่วมต่อสู้ด้วยได้ ส่วนที่สองนั้นก็มีการโจมตีจิตวิญญาณที่ทำให้ผู้คนแทบไม่อาจจะต้านทานได้เลย
ผู้ฝึกสัตว์ก็คือผู้ที่ฝึกฝนพลังด้านจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง มีการโจมตีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งน่ากลัว ราวกับว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจะต้านทานได้ ต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือหากไม่มีสมบัติที่ใช้สำหรับป้องกันการโจมตีทางจิตวิญญาณ ถ้าจะต้องมาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกสัตว์ก็ยังต้องรีบหลบหนีไปให้ไกล
นอกจากจะถูกสัตว์มายารุมโจมตีเป็นกลุ่มแล้ว ยังต้องมาป้องกันการโจมตีจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอีก ด้วยสภาวะการต่อสู้เช่นนี้ถือว่าเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นแม้ว่าสถานะของผู้ฝึกสัตว์จะสูงล้ำอย่างถึงที่สุด แต่พลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งอย่างศิษย์พี่ฉีนั้น กลับต้องมาถูกหอกอัสนีของหลงเฉินทำลายไปเสียแทน
การโจมตีเช่นนี้เป็นดั่งพลังแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดของศิษย์พี่ฉีเลยก็ว่าได้ หากต้องมาถูกหลงเฉินทำลายลงด้วยหอกเดียว พลังจิตวิญญาณของศิษย์พี่ฉีย่อมต้องได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่งเลยก็ว่าได้
“แท้จริงแล้วนั่นเป็นพลังอะไรกัน ? ” สีหน้าปั้นยากศิษย์ของพี่ฉี จ้องมองไปที่หอกแห่งอัสนีในมือของหลงเฉิน พร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าเดาดูสิ”
แน่นอนว่าหลงเฉินย่อมไม่ตอบอยู่แล้ว ในเวลาเดียวกันจิตใจก็เกิดความเบิกบานขึ้นมา เมื่อมีพลังแห่งอสนีบาต เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องหวาดกลัวการโจมตีจิตวิญญาณอีกแล้ว ระวังก็แต่การลอบโจมตีเท่านั้น
“ซูม”
ทันใดนั้นงูเหลือมยักษ์สภาพร่อแร่ที่อยู่ห่างออกไป ก็ได้ขยับเขยื้อนขึ้นพร้อมกับแยกเขี้ยวเข้ามาทางด้านของหลงเฉิน
ด้วยปากที่ใหญ่โตมโหฬารคล้ายกับประตูบานใหญ่ พร้อมกลิ่นอายคาวโลหิตโชยพัดเข้ามา ยามที่งูเหลือมยักษ์โจมตีเข้าใส่หลงเฉิน ศิษย์พี่ฉีก็ได้ฉวยโอกาสในจังหวะนี้กระโดดพุ่งทะยานกายออกไป
ศิษย์พี่ฉีก็หาได้โง่ แม้จะไม่ทราบว่าอสนีบาตในมือของหลงเฉินมีที่มาอย่างไร แต่เขาก็มองออกว่า พลังสายฟ้าของหลงเฉินสามารถที่สร้างผลกระทบต่อพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาได้อย่างแน่นอน
หากว่าพลังแห่งจิตวิญญาณถูกสร้างผลกระทบ อีกทั้งสองในสามของสัตว์มายาก็ตายไปแล้ว อีกตัวก็อยู่ในสภาพที่เกือบตายอีก เขาจึงไม่มีโอกาสชนะได้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้งูเหลือมยักษ์ที่มีสภาพจะตายมิตายแหล่โจมตีใส่หลงเฉิน และยังเตรียมการหลบหนีเอาไว้เป็นอย่างดี ด้วยสถานะของสัตว์มายาระดับสี่ย่อมไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เขาคิดง่ายดายจนเกินไป หลงเฉินได้เตรียมการที่จะมิให้เขาหลบหนีเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น ทันทีที่เห็นงูเหลือมยักษ์พุ่งเขามา ก็มองออกถึงแผนการของศิษย์พี่ฉีอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
หอกแห่งอสนีบาตในมือได้พุ่งออกไปข้างหน้า คล้ายดั่งประกายสายฟ้าแลบพุ่งแทงเข้าใส่ปากที่กว้างใหญ่ของงูเหลือมยักษ์ หัวขนาดมหึมาของงูเหลือมยักษ์ตัวนั้นก็ได้แตกกระจายในทันที
หลังจากที่โจมตีใส่งูเหลือมยักษ์ไปแล้ว หลงเฉินก็ได้เบิกพลังสภาวะจากท่าร่างภูตมืดสงัดไล่ตามศิษย์พี่ฉีไป ขณะนั้นเองก็พบว่าเสี่ยวเสว่ยได้อ้าปากขึ้นพร้อมกับพ่นคมวายุออกมา จนหลงเฉินเกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้น จึงได้เร่งไปจับเสี่ยวเสว่ยในทันที
ศีรษะของเสี่ยวเสว่ยตกอยู่ในสภาพที่โค้งลงเล็กน้อย ทันทีที่คมวายุลอยออกไปก็ได้ไล่ตามไปยังศิษย์พี่ฉี จนกระแทกเข้ากับพื้นที่อยู่ทางด้านข้างอย่างรุนแรง
“ตูม”
ดินทรายที่คละคลุ้งจนน่าหวาดกลัว ดั่งคลื่นมหาสมุทรอันบ้าคลั่งกระแทกเข้าใส่ศิษย์พี่ฉีในทันที
“โบร๋วโบร๋ว”
เสี่ยวเสว่ยรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา จากนั้นก็ได้คลอเคลียศีรษะไปที่หลงเฉิน
หลงเฉินเองได้กล่าวขึ้นมาด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าทราบว่าเจ้าหาได้คิดที่จะสังหารเขา ทั้งยังทราบว่าเจ้าได้ยั้งมือเอาไว้แล้ว แต่ว่าที่เจ้ายังไม่ทราบก็คือสภาพร่างกายของผู้ฝึกสัตว์นั้นแตกต่างไปจากผู้ฝึกยุทธ์โดยทั่วไป
การโจมตีของเจ้าอยู่ในระยะที่ใกล้กับเขาถึงเพียงนั้น หากไม่ระวังขึ้นมาจะกลายเป็นว่าทำให้เขาตายได้เลย เช่นนี้ยังจะมีเรื่องอะไรที่สนุกได้อีก”
พลังแห่งจิตวิญญาณของผู้ฝึกสัตว์นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง สามารถที่จะทำให้สัตว์มายาตกเป็นทาสที่แข็งแกร่งได้ แต่ว่าในส่วนที่เป็นจุดอ่อนของพวกเขา ก็คือร่างกายที่อ่อนแอของพวกเขาที่เรียกได้ว่าอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่อาจจะทนทานการโจมตีที่รุนแรงได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้ฝึกสัตว์ทุกคนมักจะมีสัตว์มายาที่เปี่ยมไปด้วยพลังป้องกันอันแข็งแกร่งอยู่ตัวหนึ่ง เพื่อใช้เอาไว้เป็นผู้คุ้มกัน ไม่เช่นนั้นหากถูกลอบโจมตีขึ้นมาก็คงจะต้องตายสถานเดียว
ถึงแม้เสี่ยวเสว่ยจะมีความคิดอยู่บ้าง แต่ว่าความคิดของมันนั้นกลับใช้ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายมาวัด เพียงสามารถที่จะโจมตีจนพวกเขาได้รับบาดเจ็บได้ ก็ย่อมสามารถที่จะส่งศิษย์พี่ฉีกลับบ้านเก่าได้ในทันทีเลย
หลงเฉินรีบวิ่งตะบึงไปข้างหน้าจากนั้นก็ทำการขุดดินออก ดึงศิษย์พี่ฉีที่มีลมหายใจรวยรินขึ้นมา แล้วทำการห่อเขาเอาไว้ด้วยยาโอสถไปทั่วทั้งร่างกาย เสี่ยวเสว่ยมองดูศิษย์พี่ฉีอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดจังหวะหลงเฉิน
“เหอะเหอะ ไม่เป็นไร ความจริงแล้วเด็กน้อยผู้นี้หากยังไม่ตายก็ยังมีค่าอยู่บ้าง ข้ายังมีเรื่องที่จำเป็นต้องถามไถ่เขาอยู่เล็กน้อย”
หลงเฉินจัดการป้อนยาโอสถเข้าปากศิษย์พี่ฉีลงไปหนึ่งเม็ด ศิษย์พี่ฉีตกอยู่ในสภาพคล้ายสุนัขที่กำลังสะบักสะบอม ถูกหลงเฉินลากเข้าไปทางด้านของปากหลุมศิลาแห่งนั้น
“ผัวะ”
หลงเฉินได้ตบหน้าไปฉาดใหญ่จนเป็นความเจ็บปวด ถึงขั้นทำให้ศิษย์พี่ฉีได้สติกลับคืนมาจากการสลบไสล
ตรงหน้าของศิษย์พี่ฉี ก็ได้มีใบหน้าหล่อเหลากำลังฉีกยิ้มคล้ายกับสวรรค์ประทานพรมาให้ ราวกับแสงตะวันที่อบอุ่นก็มิปาน
แต่ในสายตาของศิษย์พี่ฉีรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นหาได้อบอุ่นเช่นนั้นไม่ เขารู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว เหมือนกับกำลังถูกพญามารที่โหดเหี้ยมจ้องมองอยู่ และพร้อมจะกลืนกินชีวิตของเขาไปได้ทุกเวลา
“เจ้า……เจ้าคิดที่จะทำอะไรกันแน่ ? ” เสียงของศิษย์พี่ฉีเกิดอาการสั่นเครือขึ้นมาเล็กน้อย ภายในแววตาเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวจนสิ้น
“วางใจเถอะ ถึงแม้เมื่อครู่เจ้าจะคิดที่จะฆ่าข้า ทว่าข้ายังไม่คิดที่จะฆ่าเจ้าในตอนนี้ ข้ายังมีบางเรื่อง ที่จะถามเจ้าอยู่” หลงเฉินยิ้มพร้อมกับกล่าวออกมา
ศิษย์พี่ฉีที่ค่อยๆขยับหลบไปทางด้านหลังทีละเล็กทีละน้อย หมายที่จะเว้นระยะห่างกับพญามารผู้นี้ เขาก็ได้กระชับแขนเอาไว้กับพื้น ทันใดนั้นเขาก็ได้พบกับความผิดปกติ ที่มือข้างขวาของเขากลับกลายเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า
“เจ้าคิดที่จะชิงแหวนมิติของข้า”
“เพียะ”
จากนั้นเขาก็ถูกตบเข้าไปที่ใบหน้าอีกฉาดหนึ่ง เดิมทีที่คิดว่าได้กินยาโอสถเข้าไปแล้ว ในขณะที่กำลังเริ่มจะทำการเชื่อมกระดูกเข้าหากันอีกครั้ง ก็ทำให้ศิษย์พี่ฉีเกิดความเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา
“ชิง ? สิ่งนี้เดิมทีก็เป็นของของข้าอยู่แล้ว”
หลงเฉินเกิดโทสะขึ้นมาจึงตบเข้าไปอีกฉาดใหญ่ แต่ทว่าหลงเฉินก็ยังคงควบคุมพลังเอาไว้เพราะเกรงว่าจะทุบตีเขาจนตายไป
“จะทำให้เจ้าเป็นพวกอยู่สูงส่งไง”
“จะทำให้เจ้าเป็นพวกที่สามารถฆ่าคนบริสุทธ์ได้ไง”
“จะทำให้เจ้าเป็นพวกจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตไง”
“จะทำให้เจ้า……จะทำให้เจ้า……จะทำให้เจ้า”
พอกล่าวมาจนถึงตอนท้าย หลงเฉินก็ไม่ทราบว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอีกดี จึงได้แต่เพียงตบกรอกหูเข้าไปอีกครา “ข้าจะทำให้เจ้าเป็นพวกเมียมีชู้”
ในกระบวนท่าสุดท้ายก็ได้ทำให้ศิษย์พี่ฉีสลบไปเสียแล้ว แต่ว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะเจ็บปวดจนสลบไป หรือว่าเป็นเพราะอัดอั้นจนสลบไปกันแน่
หลงเฉินป้อนยาโอสถให้แก่เขาแล้วทำการตบเข้าไปอีกครั้ง พร้อมกล่าวขึ้นมาอย่างเยือกเย็นว่า “ต่อไปหากข้าถามอะไรเจ้า เจ้าก็ตอบ แต่หากว่าปฏิเสธที่จะตอบหรือว่าจงใจที่จะไม่ตอบให้ตรงกับคำถาม เจ้าก็จะได้รับการตบตีเป็นรางวัล”
ศิษย์พี่ฉีทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาล กล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้ากำลังคิดที่จะท้าทายหมู่ตึกจิตวายุของพวกเราอยู่หรือไง เจ้าจะต้องเสียใจ เจ้า……”
“เพียะ” สิ่งที่เป็นคำตอบให้แก่เขาก็คือการตบตีจากหลงเฉิน
“เจ้ารอความตายเถอะ พวกเราหมู่ตึกจิตวายุจะไม่ปล่อยเจ้าไว้อย่างแน่นอน ต่อให้เป็นหมู่ตึกพวกเจ้าก็ไม่อาจที่จะคุ้มกะลาหัวเจ้าได้” ศิษย์พี่ฉีกล่าวขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด เขาจดจำสัญลักษณ์ที่อยู่บนอาภรณ์ของหลงเฉินได้
“เพียะเพียะเพียะเพียะ……”
หลงเฉินหาได้กล่าวอะไรออกมาอีก ขอเพียงเขาเถียงกลับมาก็จะถูกทุบตีกลับไป จากการถูกทุบตีไปสิบกว่าครั้งก็ทำให้ศิษย์พี่ฉีถึงกับสลบไป
“โบร๋วโบร๋ว” เสี่ยวเสว่ยอดไม่ได้จึงเข้ามามองดูอยู่ทางด้านข้าง พร้อมกับส่งเสียงออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องรีบไป จะเบื่อหน่อยก็ต้องยอม มาดูกันสิว่าเจ้าตัวบัดซบที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่นครจักรวรรดิ ยังไม่ถามไถ่ความเป็นมาก็คิดที่จะลงมือกับข้าเสียแล้ว
เวลานั้นข้าเองก็มีโทสะลุกโชนอยู่ในอก เมื่อตอนนี้ได้เวลาระบายก็ควรที่จะฉวยโอกาสล้างแค้นให้ถึงที่สุด ปล่อยให้ข้าเล่นกับเขาอีกซักหน่อยเถอะ ข้าเองก็อยากรู้ว่าเขาจะทนได้อีกสักกี่น้ำกัน” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว
ความหมายของเสี่ยวเสว่ยก็คือ ฆ่าเขาไปเสียก็แล้วจบ แต่ว่าหลงเฉินกลับไม่ทำ การทุบตีหาใช่เป้าหมายของเขาไม่ เป้าหมายก็คือต้องการจะทุบตีจนเขายอมศิโรราบ
ทันใดนั้นก็ได้ตบเข้าไปอีกฉาดเพื่อให้ศิษย์พี่ฉีได้สติ ครั้งนี้ศิษย์พี่ฉีกลับว่าง่ายขึ้นมาเป็นอย่างมาก เขาทราบแล้วว่ากำลังได้พบเจอบุคคลที่โหดร้าย จนไม่อาจจะทนทานและคาดเดาได้ว่าต่อไปหลงเฉินจะจัดการเช่นไรกับเขาอีก
อีกทั้งเขาเองก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอยู่ลึกๆ เขาเกรงว่าหลงเฉินจะสังหารเขาทิ้งแล้วหลังจากนั้นก็ทำลายศพของเขาไปเสีย
ใบหน้าหลงเฉินปรากฏความเย้ยหยันขึ้นมา บุคคลที่มีสมองเพียงแค่นี้ก็ยังสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงบัดนี้ ด้วยโชคเช่นนี้ช่างถือเป็นเรื่องที่สะเทือนไปทั้งสวรรค์แล้ว
“วางใจเถอะ เมื่อข้ารับปากว่าจะไม่ฆ่าเจ้าก็ไม่คืนคำอยู่แล้ว ยังคงเป็นวาจาดุจเดิม ข้าถามประโยคหนึ่ง เจ้าตอบประโยคหนึ่ง ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ต้องมาเล่นเกมทุบตีกันต่อ หากเบื่อก็มีแต่ต้องทน ยังไงเสียข้าก็คิดว่าเป็นการฝึกฝีมือไปในตัวอยู่แล้ว” หลงเฉินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยชา
ศิษย์พี่ฉีนั้นก็ได้อ้ำๆอึ้งๆอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเถียงสักคำ หลงเฉินถามอันใด เขาก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างสัตย์ซื่อเช่นนั้น
จากที่ศิษย์พี่ฉีกล่าวมา หลงเฉินจึงได้ทราบมาว่า หมู่ตึกจิตวายุแห่งนี้มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังหาได้ด้อยไปกว่าหมู่ตึกพลิกสวรรค์ไม่ จึงไม่แปลกใจเลยที่ทำให้เหล่าศิษย์เหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้
ศิษย์ของทางหมู่ตึกจิตวายุทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนพลังจิตวิญญาณ และส่วนมากต่างก็เป็นผู้ฝึกสัตว์ ถึงแม้ว่าศิษย์ของพวกเขาจะมีจำนวนไม่มากมายนัก แต่ก็ถือได้ว่ามีพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
หลงเฉินยังได้ทราบว่า หมู่ตึกจิตวายุก็เป็นเช่นเดียวกันกับหมู่ตึกของเขาที่ได้มีการแบ่งสาขาหลักสาขาย่อยเอาไว้ สาขาทั้งหมดของหมู่ตึกจิตวายุรวมถึงที่มีม่งฉีอยู่ในนั้น มีศิษย์ทั้งหมดสี่ร้อยเจ็ดสิบคนเท่านั้นที่ได้เข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า
เมื่อทราบว่าม่งฉีได้เข้าสู่แดนลับ ก็ทำให้จิตใจของเขาเกิดเพลิงไฟลุกโชนขึ้นมาในทันที ถึงแม้จะไปมาหาสู่กับม่งฉีเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เวลาที่ผ่านมานั้นกลับทำให้ความคะนึงหารุนแรงมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้เขายังเคยคิดว่าตนเองได้ถูกสภาวะที่เปรียบเสมือนดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ทำให้เกิดความหลงใหล ทั้งยังคิดว่าเป็นเพียงการชื่นชมผู้ที่มีความงามแบบหนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่า นั่นเป็นความรักที่เกิดขึ้นมาจากส่วนลึกภายในจิตใจของตนเอง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ม่งฉีจะออกตามหาเขาเพื่อทำการถอนหมั้น แต่ว่าหลงเฉินก็หาได้เกิดความเกลียดชังต่อนางเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันยิ่งรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของนาง
ในเวลานั้นหลงเฉินแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากแมลงตัวหนึ่ง กับม่งฉีที่เป็นดั่งนางฟ้านางสวรรค์ที่เพรียบพร้อม แต่นางกลับให้ความสำคัญต่อเขาถึงเพียงนั้น ทั้งยังใช้วิธีที่เหมาะสมเพื่อถามความสมัครใจของตนเองอีกด้วย
แม้แต่ตัวหลงเฉินเองก็ไม่อาจทราบได้ ว่านับตั้งแต่เวลาใดที่ได้เกิดจิตผูกพันที่ลึกล้ำต่อม่งฉีขึ้นมาได้
ข่าวที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง คือการที่หมู่ตึกจิตวายุได้มีบุคคลที่โดดเด่นถึงเพียงนั้นขึ้นมาอีกคนหนึ่งซึ่งมีนามว่าฟ่งเซียวจื่อ ทั้งยังมีสถานภาพภายในหมู่ตึกจิตวายุเทียบเคียงได้กับหานเทียนยวู่ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์เลยทีเดียว
ฟ่งเซียวจื่อกับม่งฉี ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุคเช่นเดียวกัน ทั้งยังถูกเรียกว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยกแห่งหมู่ตึกจิตวายุ
เรื่องที่ทำให้จิตใจของหลงเฉินเกิดความร้อนรนเป็นอย่างยิ่งก็คือ ฟ่งเซียวจื่อนั้นถึงกับเป็นบุตรของท่านจ้าวหมู่ตึกแห่งหมู่ตึกจิตวายุ ย่อมถือได้ว่ามีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้หลงเฉินเกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ศิษย์พี่ฉีเปิดเผยออกมา ก็คือท่านจ้าวหมู่ตึกให้ความสำคัญต่อม่งฉีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นฝ่ายจับคู่ให้ เพียงแต่ม่งฉีกลับยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอด แต่ท่านจ้าวหมู่ตึกก็ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังคล้ายกับไม่อาจที่จะขัดคำสั่งได้เลย
ให้ตายเถอะถึงกับบังคับคู่หมั่นของข้า เมื่อหลงเฉินได้ฟังก็เกิดเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมา สตรีของข้ามีหรือที่จะปล่อยให้พวกเจ้าหมายปองได้ ?
เมื่อหลงเฉินทราบเรื่องราวจากศิษย์พี่ฉี ว่าม่งฉีเข้ามายังพงไพรแห่งความมืดเพื่อแสวงหาวาสนา แต่พงไพรแห่งความมืดนั้นกว้างใหญ่มากจนเกินไป จึงไม่อาจจะทราบได้ว่านางนั้นอยู่ในตำแหน่งใด
เมื่อได้ถามไถ่ขึ้นอีกหน่อย จากคำบอกเล่าของศิษย์พี่ฉีที่หาได้ทราบเรื่องราวที่เป็นประโยชน์อะไร หลงเฉินจึงใช้ก้อนอิฐทุบเขาจนสลบ ทั้งยังตัดเส้นเอ็นแขนขาซึ่งเป็นวิธีเดียวกันที่ใช้กับเจียงอี้ฝ่าน จากนั้นจึงเปลื้องผ้าแล้วโยนลงไปภายในหลุม
เรื่องชายโฉดสองคนนี้จะเป็นอย่างไรภายในหลุม ก็หาใช่เรื่องของหลงเฉินไม่ ตอนนี้หลงเฉินหาได้มีจิตคิดจะไปใส่ใจกับพวกเขา ยังไงเสียก็ได้ป้อนยาให้แก่พวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมไม่กล้าจะตะโกนออกมาแน่ ภายในช่วงเวลานี้พวกเขาอย่าได้คิดที่จะออกมาได้เลย
หลังจากที่ได้ทำการขุดบ่อศิลาขนาดใหญ่ขึ้นมาใหม่อีกหลุมหลงเฉินก็ได้ปัดมือไปมา แล้วก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปยังส่วนลึกของพงไพรแห่งความมืดต่อไป
.
.