เมื่อได้เห็นคนผู้นั้นอย่างชัดเจน หลงเฉินก็ตัวแข็งขึ้นมาทันที และแทบจะลืมเลือนแม้กระทั่งวิธีหายใจ
“ม่ง…..ฉี”
ผู้มาใหม่เป็นหญิงสาวผู้งดงามอย่างยิ่งผู้หนึ่ง คิ้วเรียวราวใบหลิว นัยตาใสกระจ่างดั่งน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากแดงระเรื่อ ผมยาวถึงบั้นเอวเรียบลื่นดุจน้ำตก งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน การปรากฎตัวของนางราวกับทำให้พื้นที่โดยรอบกลายเป็นทุ่งดอกไม้ในแดนสวรรค์ หญิงสาวผู้นั้นคือม่งฉี
เมื่อม่งฉีสังเกตเห็นหลงเฉิน ดวงตาใสกระจ่างก็เต็มไปด้วยความยินดี แก้มขาวเนียนนุ่มราวหยกเนื้อดี ขึ้นสีแดงระเรื่อ
เพียงพริบตาเดียวก็ได้แยกจากกันมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว หลงเฉินเติบโตขึ้นมาก ม่งฉีรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายของเขา รอเวลาที่จะปะทุออกมา
นั่นก็คล้ายกับภูเขาไฟที่สงบ ยามปกติไม่มีสิ่งใดที่น่าหวดหวั่น แต่เมื่อภูเขาไฟเกิดการปะทุ พ่นเถ้าถ่านลาวาที่ร้อนจัดรุนแรง ก็สามารถทำลายล้างไปทั่วทั้งฟ้าและดิน
และสิ่งที่ทำให้ม่งฉีใจสั่นได้มากที่สุดก็คือ เวลาปีกว่าที่ผ่านมานี้ หลงเฉินได้ก้าวพ้นวัยหนุ่มอย่างสมบรูณ์ อีกทั้งยังมีรอยยิ้มที่เด็ดเดียวบนใบหน้า
“หลงเฉิน ไม่พบกันนานเลยนะ”
มงฉีจ้องมองหลงเฉิน ในดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยแฝงไว้ด้วยความสับสัน ริมฝีปากแดงระเรื่อเอ่ยออกมาน้ำเสียงแผ่วเบา นางไม่ทราบว่าตนเองควรจะเอ่ยอะไรออกมา ในห้วงแห่งความสับสน จึงได้แต่กล่าวทักทายด้วยประโยคที่แสนธรรมดาเช่นนั้นออกไป
“ท่านคือม่งฉีเจี่ยเจียใช่หรือไม่? เจี่ยเจียท่านงดงามยิ่งนัก” ฉู่เหยาจ้องมองม่งฉี แม้จะเป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน นางก็อดที่จะเลื่อมใสในความงามของม่งฉีไม่ได้
ม่งฉีนั้นมีนิสัยเฉพาะตัวที่แตกต่างจากผู้อื่นอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือความเลื่อมใสศรัทธาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้พบเจอบังเกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นภายในใจได้โดยง่าย
“เจ้าก็คือฉู่เหยาเม่ยเม่ยใช่ไหม ข้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้ามาแล้ว” เมื่ออยู่ต่อหน้าหลงเฉิน ม่งฉีมีความกังวลเล็กน้อย แต่ต่อหน้าฉู่เหยาแล้ว ม่งฉีกลับรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ฉู่เหยาได้ยินดังนั้นก็ดีใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้หลงเฉินได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับม่งฉีให้ฟัง ได้พบตัวจริงของม่งฉี ในใจก็อดกังวลไม่ได้ ทว่าเมื่อพบว่าม่งฉีไม่ได้มีท่าทีกีดกัน ฉู่เหยาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ยังไม่ทันที่ฉู่เหยาจะกล่าวตอบกลับไป ทันใดนั้นก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมา “ม่งฉี เจ้ารู้จักฉู่เหยาด้วย อย่างนั้นหรือ?”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังกล่าววาจานั้น ที่ด้านหลังของม่งฉี ก็มีชายผมยาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ไม่ไกล ชายผู้นั้นรูปงามยิ่งนัก หน้าตาหมดจดงดงาม เมื่อเขาสังเกตเห็นม่งฉีและหลงเฉิน บนใบหน้าก็ปรากฎร่องรอยของความไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อย
“หืม หลงเฉิน? เจ้าคือหลงเฉิน?” ทันใดนั้นชายผมยาวผู้นั้นก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเยือกเย็นและจ้องเขม็งมาที่หลงเฉิน
“ไม่ผิด ข้าคือหลงเฉิน เจ้าก็คงจะเป็นฟ่งเซียวจื่อใช่หรือไม่” หลงเฉินมองตอบกลับไป เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เพราะคาดเดาสถานะของชายผู้นี้ได้
“ไม่ต้องเกรงใจ ส่าวเก้อจู่(คุณชายน้อย) เจ้าเรียกข้าเช่นนั้นก็ได้” ชายผู้นั้นสีหน้าเย็นชา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
แน่นอนแล้วว่าคนผู้นี้ก็คือฟ่งเซียวจื่อ เมื่อได้ยินวาจาทักทายของเขา หลงเฉินก็เกิดโทสะขึ้นมาทันที หากมือไม่ได้รับบาดเจ็บคงตบหน้าเจ้าคนเย่อหยิ่งผู้นี้ไปแล้ว
แม้ว่าตอนนี้บาดแผลบนมือของหลงเฉินจะสมานตัว เกิดเนื้อและผิวสร้างใหม่ขึ้นมาจนเต็มแล้ว แต่ก็ยังเป็นผิวและเนื้อที่สร้างขึ้นมาใหม่ ยังบอบบองอ่อนแอราวผิวทารกแรกเกิด แม้อยากจะทุบตีฟ่งเซียวจื่อมากเท่าไหร่ แต่เขาก็จำเป็นต้องรักษาเลือดเนื้อของตัวเอง
“คุณชายน้อย หลงเฉินไม่ใช่คนของหมู่ตึกจิตวายุของพวกเรา ไม่จำเป็นต้องเรียกท่านเช่นนั้น” ลู่ฟางเอ๋อที่ยืนอยู่ด้านหลังหลงเฉินมาตลอดโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ เมื่อได้ฟังวาจาของฟ่งเซียวจื่อก็กล่าวแทรกขึ้นมา
แม้ว่าฟ่งเซียวจื่อจะเป็นลูกหลานในตระกูลผู้สืบทอดหมู่ตึกจิตวายุ แต่ก็เป็นคนที่เย่อหยิ่งและเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ชอบกดข่มผู้อื่น หมู่ตึกจิตวายุทั้งหมดนอกจากคนที่จงใจประจบประแจงเขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเขามากนัก
ลู่ฟางเอ๋อนับเป็นพี่สาวน้องสาวที่แสนดีของม่งฉี ความสัมพันธ์ทั้งสองคนสนิทสนมกันราวกับพี่น้องแท้ๆ ฟ่งเซียวจื่อนั้น เพื่อที่จะเอาใจม่งฉีจึงไม่เคยคิดผิดใจกับลู่ฟางเอ๋อ
และเพราะฟ่งเซียวจื่อคอยกวนใจม่งฉี ทำให้ม่งฉีรำคาญใจนับครั้งไม่ถ้วน ลู่ฟางเอ๋อจึงต้องคอยกีดกัน นางมองฟ่งเซียวจื่อด้วยแววตาอเนจอนาถ และไม่เคยกล่าววาจาที่ดีต่อฟ่งเซียวจื่อ
แม้ฟ่งเซียวจื่อจะเกลียดลู่ฟางเอ๋อเข้ากระดูกเช่นกัน แต่ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าม่งฉีแล้ว เขาจะแสดงให้เห็นถึงความใจกว้าง ไม่ว่าจะพบเจอสิ่งใดก็สามารถอดทนได้
และในขณะนี้ เมื่อถูกลู่ฟางเอ๋อว่ากล่าวเช่นนั้น ก็อดไม่ได้แสดงสีหน้าบึ้งตึงอย่างถึงขีดสุด ทว่าก็ไม่ได้ตอบโต้สิ่งใด ต่อหน้าม่งฉีแล้วเขาสามารถอดทนมันได้
แต่กระนั้นแล้ว ในเวลานี้ที่อยู่ต่อหน้าคนนอกมากมาย โดยเฉพาะศิษย์ทั้งหลายที่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ การที่ถูกว่ากล่าวเช่นนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกอับอายไม่น้อย
ทันใดนั้นม่งฉี ก็กล่าวขึ้นมาว่า “หลงเฉินคือเพื่อนของข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้เขาลำบากใจ ไม่เช่นนั้น หากเจ้ากระทำเรื่องเสื่อมเสีย ต่อหน้าของทุกคนคงจะดูไม่ดี” ม่งฉีแม้จะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดังชัดเจนทุกถ้อยคำ เพียงคุยกับหลงเฉินก็ทำให้ฟ่งเซียวจื่อโมโห
ฟ่งเซียวจื่อจ้องเขม็งไปที่หลงเฉิน แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่เอ่ยออกมา แต่จดจำฝังใจ ลงบัญชีเก็บไว้ทั้งหมด
เมื่อหลงเฉินเห็นได้เห็นท่าทีปกป้องตัวเขาของม่งฉี ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งอก ในใจก็ยิ่งชมชอบนางมากยิ่งขึ้นไปอีก นี่ทำให้เขารู้สึกดีกว่าการตบหน้าฟ่งเซียวจื่อเสียด้วยซ้ำ
“เหยาเม่ย พวกเจ้าสามคนอยู่ด้วยกันได้อย่างไร” ม่งฉีดึงฉู่เหยาเข้ามาถามด้วยความเป็นมิตร
ฉู่เหยาเป็นคนสุภาพ นิสัยอ่อนโยน ลักษณะคล้ายกันกับม่งฉี สองคนนี้มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงง่ายมากที่ม่งฉีจะรู้สึกดีต่อฉู่เหยา
“เป็นเพราะข้าได้พบแกนไม้ของพฤกษาเจ็ดดวงใจที่นี่” ฉู่เหยารู้สึกว่าม่งฉีเป็นคนกันเอง เปิดเผยจริงใจ ไม่ปกปิดซ่อนเร้น นางชี้ไปทางต้นไม้ที่ตายด้านหลังและบอกเล่า
นั่นเองทำให้ม่งฉีและฟ่งเซียวจื่อตกตะลึง แกนไม้พบได้ในต้นไม้หลายชนิด แต่แกนของพฤกษาเจ็ดดวงใจคือแกนไม้ดีที่สุด จนไม่สามารถประเมินค่าได้
“แกนไม้อันนี้ข้าชอบยิ่งนัก เจ้าขายมันให้ข้าได้หรือไม่? ราคาแล้วแต่เจ้าต้องการ” ฟ่งเซียวจื่อกล่าวแทรกขึ้นมาทันที
วาจาของฟ่งเซียวจื่อ ทำให้สีหน้าของฉู่เหยาเปลี่ยนไป พฤกษาเจ็ดดวงใจนั้น นับเป็นสมบัติล้ำค่า ที่จำเป็นสำหรับการฝึกปรือของนาง จะให้ผู้อื่นได้อย่างไร? ฉู่เหยาอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าลำบากใจ เผลอมองไปที่หลงเฉิน
ฟ่งเซียวจื่อเห็นฉู่เหยาไม่ตอบ เอาแต่มองไปที่หลงเฉิน จึงแสร้งแสดงท่าทางไม่สบายใจ กล่าวกับหลงเฉินว่า
“หลงเฉิน ดูแล้วน่าจะเป็นเจ้าที่เป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ เพราะเหตุใด แม้แต่ข้าก็มอบแกนไม้ให้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ เห็นแก่หน้าข้าเจ้ามอบมันให้ข้าเสียเถอะ”
ม่งฉีและฉู่เหยามีสีหน้าเย็นชาขึ้นทันที เจ้าฟ่งเซียวจื่อผู้นี้ เอ่ยวาจาหลอกล่อผู้คน ช่างเสแสร้งมากเกินไปแล้ว ขณะกำลังจะเอ่ยวาจาโต้ตอบกลับไป ก็ถูกหลงเฉินชิงตัดหน้า กล่าวขึ้นมาก่อน
หลงเฉินยิ้มเยาะและกล่าว “หน้าตาของเจ้า แลกกับเงินแม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะวาจาของเจ้า ขี้หมูขี้หมายังมีค่ามากกว่า”
“เจ้า!…..” ฟ่งเซียวจื่อสะกดกลั้นความโกรธไว้ไม่ได้ ภายในหมู่ตึกจิตวายุ นอกจากผู้อาวุโสทั้งหลาย ก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาสามหาวกับเขาเช่นนี้
“อย่าได้วู่วามไป ข้ายังพูดไม่จบ ข้าเป็นคนนิสัยดี ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องปรึกษาหารือก่อน ข้าจะขอให้ลู่ฟางเอ๋อช่วยข้าในการตัดสินใจว่าจะมอบแกนไม้นี้ให้เจ้าหรือไม่” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉู่เหยาและลู่ฟางเอ๋อนิ่งฟังอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะฉู่เหยา นางเข้าใจนิสัยของหลงเฉินดีที่สุด เขานั้นไม่สามารถมอบของตัวเองให้คนอื่นได้อย่างแน่นอน
“ช่วยอะไร” ลู่ฟางเอ๋อเห็นหลงเฉินมองมา ในหัวเกิดความสับสนขึ้นเล็กน้อย
หลงเฉินขยับเปลี่ยนท่าเล็กน้อย หันมองม่งฉี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ
“ข้าเอ้อระเหยอยู่หมู่พลิกสวรรค์มาระยะหนึ่ง ก็พบว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เก็บออมทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก เพื่อเตรียมพร้อมเข้าพิธีวิวาห์กับคู่หมั้น”
เมื่อถูกหลงเฉินจ้องมองและกล่าวคำเช่นนี้ ใบหน้างดงามหยกขาวของม่งฉี ก็เสมือนถูกปุยเมฆสีแดงระเรื่อเข้าปกคลุมโดยไม่รู้ตัว
ในโลกปุถุชน แท้จริงแล้วม่งฉียังไม่ได้กราบไว้ฟ้าดิน ผ่านเข้าประตูวิวาห์กับหลงเฉิน ในเวลานี้ก็ไม่ใช่คู่หมั้นแล้วด้วยซ้ำ
“จะแต่งงาน อันดับแรกต้องมีบ้าน ข้าซื้อถ้ำแห่งหนึ่งไว้ที่สำนักอื่น, ตกแต่งหรูหราอย่างยิ่ง แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าเสียใจยิ่งนัก”
พูดถึงตรงนี้ หลงเฉินก็ทำท่าทางทอดถอนใจ แล้วปั้นหน้าลำบากใจถึงที่สุด
“เรื่องอะไรล่ะ?” ลู่ฟางเอ๋อไม่ทราบว่าหลงเฉินกำลังขายโอสถผลน้ำเต้าอะไรอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“ถ้ำของข้า ตกแต่งหรูหราอย่างยิ่ง ทั้วทุกพื้นที่เคลือบด้วยทองคำ ประดับด้วยหยกเท่าภูเขา ด้านหน้าประตูมีขั้นบันไดเป็นสูงกว่าร้อยจั้ง ฝังด้วยหินจิตวิญญาณซ้อนทับกันมากกว่าแปดสิบชั้น”
“เพ้อเจ้อ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ใช้หินจิตวิญญาณฝังที่ขั้นบันได? ตั้งแปดสิบชั้น? เจ้ากำลังเล่านิทานหลอกเด็กงั้นหรือ?” ฟ่งเซียวจื่ออดทนต่อไม่ได้ อดกลั้นคำด่าทอไม่ได้อีกเล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสำนักอื่นเล็กๆนั่น แม้เขาจะเป็นลูกหลานในตระกูลผู้สืบทอดของหมู่ตึกจิตวายุแต่ก็คงไม่มีหินจิตวิญญาณ เอาไว้ดูเล่นมากมาย และอย่าได้พูดถึงขั้นบันไดสูงเป็นร้อยจั้ง
หากจะกล่าวอีกก็คือ ถ้ำแห่งใดจะสามารถมีขั้นบันไดยาวเป็นร้อยจั้งได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ถ้ำจะต้องมีขนาดใหญ่โตเท่าใดกัน
“ข้ามีเงินและข้ายินดี แล้วเจ้ามีปัญหาอะไร?” หลงเฉินจ้องฟ่งเซียวจื่อเขม็ง แสดงท่าทีพร้อมจะต่อยตีกับเขาทุกเมื่อ
ม่งฉี แทบอดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ได้ นางรู้ดีว่าหลงเฉินกำลังคุยโวโอ้อวด เพียงแต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขาจึงยังทำเรื่องน่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนี้ต่อไป
“ดี เจ้าเพ้อเจ้อต่อไปสิ” ฟ่งเซียวจื่อหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าถ้ำของข้าหรูหรา แต่ทว่าประตูหน้าบ้านข้ามีผู้เฝ้ายามน้อยเหลือเกิน ดังนั้น ลู่ฟางเจี่ย ข้าจึงอยากถามเจ้า ที่หมู่ตึกจิตวายุของพวกเจ้า มีสุนัขที่เหมาะสมบ้างหรือไม่ ช่วยข้าจัดการหน่อยเถอะ
และในถ้ำของข้า หากจะให้เหมาะสมกับข้า จะต้องเลือกหมูชนิดใดถึงจะดีที่สุด อีกทั้งวัวสายพันธุ์ต่างๆด้วย ราคาก็แล้วแต่เจ้า ข้าไม่เกี่ยงเรื่องราคา แม้ว่าจะต้องใช้แกนไม้ชิ้นนี้แลกมา ข้าก็ไม่สน” หลงเฉินแจกแจงแผนการที่วาดฝันไว้ ด้วยใบหน้าจริงจัง กล่าวคำเจรจาต่อรองด้วยลักษณะของพ่อค้าผู้เก่งกาจ มีสัจจะและเชื่อถือได้
ม่งฉี ฉู่เหยาและลู่ฟางในที่สุดก็เข้าใจในเจตนาของหลงเฉิน เขาจงใจจะด่าทอผู้คน คนผู้นี้ช่างเลวร้ายมากเกินไปแล้ว
“หมู วัว นั่นคืออะไร? สัตว์มายางั้นหรือ? หมู่ตึกจิตวายุของพวกเราไม่มีสายพันธุ์ระดับต่ำเช่นนั้น”
“หึ เจ้าคนบ้านนอก ข้าไม่เคยพบเจอคนอย่างเจ้ามาก่อนเลย หากเจ้าต้องการสุนัขเฝ้าบ้าน ข้าสามารถให้สัตว์มายาแก่เจ้าได้ ระดับสี่ไปเลยเป็นอย่างไร” ฟ่งเซียวจื่อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนนิ่งเฉยไป สติปัญญาและความฉลาดของฟ่งเซียวจื่อผู้นี้แท้จริงแล้วมีเท่าใดกัน กล่าวให้เข้าใจง่ายถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้อีก
“ฮึ ฮึ ฮึ”
นับเป็นครั้งแรกที่ลู่ฟางเอ๋ออดทนไม่ได้ นางยกมือหยกขึ้นปิดปากเอาไว้ แล้วหันออกไปทางอื่น เพื่อซ่อนใบหน้าที่กลั้นหัวเราะจนแดงก่ำไว้ นางไม่เคยมีวิธีที่จะเผชิญหน้ากับความหยิ่งผยองของฟ่งเซียวจื่อได้เช่นนี้เลย
ม่งฉีและฉู่เหยาเองก็หันหลังกลับ ไหล่สองข้างสั่นไหวไม่หยุดเช่นกัน นั่นเป็นเพราะใบหน้าหยิ่งยโสของเฟิ่งเสี่ยวจื่อ และใบหน้าตกตะลึงของหลงเฉิน
เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสามคนหันหลังกลับไป และมีท่าทางเช่นนั้น อีกทั้งหลงเฉินที่ตกตะลึงอ้าปากตาค้าง ฟ่งเซียวจื่อก็ได้ย้อนนึกถึงคำพูดของหลงเฉิน แล้วในที่สุดก็เข้าใจขึ้นมาได้
“ตายซะ!”
ฟ่งเซียวจื่อตะโกนด้วยความโกรธแค้น มือสั่น ซัดพลังดาบโปร่งใสพุ่งเข้าใส่หลงเฉิน
หลงเฉินต้านทานดาบนั้นทันที ทันใดนั้นม่งฉีก็ส่งการโจมตีออกมาหนึ่งกระบวนท่า นั่นทำให้ฟ่งเซียวจื่อมีโทสะปะทุถึงขีดสุด พลังจิตวิญญาณปะทะเข้ากับคมดาบ เกิดการระเบิดขึ้นดังสนั่น
“ข้าเคยพูดแล้ว หลงเฉินเป็นเพื่อนข้า คุณชายน้อยหมู่ตึกจิตวายุไม่สมควรที่จะข่มขู่เขา” ม่งฉียกมุมปากขึ้นอย่างเยือกเย็น กล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ม่งฉีเจ้า!…มันเป็นโจรราคะชื่อเสียงฉาวโฉ่ เจ้าเป็นเพื่อนกับมันได้อย่างไร?” แม้ว่าฟ่งเซียวจื่อจะควบคุมอารมณ์อย่างมากต่อหน้าม่งฉี แสร้งเป็นผู้มีความสุขุมเยือกเย็น
แต่ทว่าเมื่อเห็นม่งฉีปกป้องหลงเฉินเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถอดกลั้นต่อไปได้ ระเบิดอารมณ์ออกมา ภายใต้ความโกรธของฟ่งเซียวจื่อ
พลังจิตวิญญาณระเบิดออกมาจากตัวเขา อย่างบ้าคลั่ง แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศแปดด้าน แม้แต่ เหล่าผู้คนที่เฝ้าดูจากมุมมืดในระยะที่ห่างไกลออก ก็ยังได้รับความเจ็บปวดในจิตวิญญาณ ราวกับถูกเข็มทิ่มแทงไปทั่วทั่งร่าง
สี่คนในสนามนั้น ทุกคนล้วนมีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง จึงสามารถต้านทานพลังของเขาที่มีอานุภาพร้ายแรงน่าเกรงขามได้
“ฟ่งเซียวจื่อ ข้าทนเจ้ามานานแล้ว ข้าจะอยู่กับเพื่อนของข้าหากเจ้าไม่พอใจก็ไปซะ อย่ามาสาดน้ำสกปรกใส่ผู้อื่นเช่นนี้”
“ได้ พวกเจ้ามุ่งเป้ามาที่ข้า ดี ข้าจะไป”
ฟ่งเซียวจื่อกัดฟัน สุดท้ายก่อนเดินจากไป ก็ได้ชี้หน้าหลงเฉินและกล่าว “เด็กน้อย รอข้าก่อน เป็นศัตรูกับข้า เจ้าไม่มีจุดจบที่ดีแน่”
หลงเฉินเมื่อถูกกระทำเช่นนั้น ในใจก็เกิดโทสะเพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องจากมือทั้งสองยังไม่สามารถทนรับการต่อสู้ได้ จึงทำได้เพียงยิ้มมุมปาก ทำหน้าระรื่นส่งให้อีกฝ่าย แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่เอ่ยออกมาเพราะหลงเฉินรู้ดี บางครั้งการไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ปั้นหน้ายิ้มแย้มต้อนรับความตายนั้นน่าหวาดกลัวมากที่สุด
เมื่อเห็นหลงเฉินยิ้มเยาะเย้ยและจ้องมองเขา ฟ่งเซียวจื่อก็โมโหอย่างบ้าคลั่ง คำรามเสียงต่ำในลำคออย่างไม่พอใจ สะบัดหมุนตัวเดินจากไป ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
.
.