ตอนที่ 1932 มุ่งหน้าไปที่นครเฟิงอวิ๋น (3)
บุรุษเสเพลจะมีปัญญาไปรวบรวมอาณาจักรทั้งสี่ได้อย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็คงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าขยะบนโลกใบนี้หรอก!
ฉีหลิงไม่เต็มใจจะพูดขณะที่เขาสังเกตเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงและฉีซูเดินเข้ามา แต่ว่า…ยังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินพวกเขามา
เทียบกับอวิ๋นลั่วเฟิงและฉีซูที่ดูผ่อนคลายแล้ว ชายหนุ่มคนนี้กำลังแบกสัมภาระและใบหน้าหล่อเหลาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลและการเดินแต่ละก้าวก็ต้องใช้พลังมาก ในสายตาของทุกคนภาพนี้ทำให้เกิดความรู้เจ็บปวดหัวใจ
ฉีหลิงเหลือบมองชายหนุ่มก่อนจะหันไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงขณะที่ถามว่า “แม่นางอวิ๋น ท่านไม่มีธำมรงค์มิติหรือ”
ด้วยความสามารถของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางขาดแคลนธำมรงค์มิติ
อวิ๋นลั่วเฟิงยักไหล่ “เขาอยากควบคุมพละกำลังของตัวเองและข้าก็ทนทำให้เขาหมดกำลังใจไม่ได้ ดังนั้นข้าเลยยอมเขาแบกสัมภาระเหล่านี้”
สีหน้าของโม่เชียนเฉิงยิ่งไม่พอใจมากขึ้น แต่เขาก็เข้าใจว่าอวิ๋นลั่วเฟิงตั้งใจจะใช้วิธีนีเพื่อให้เขายอมถอย ดังนั้นเขาไม่มีทางทำนางสมปรารถนา!
มุมปากของฉีหลิงกระตุก ชอบใช้พลังกายงั้นหรือ ในชีวิตของเขาไม่เคยเห็นวิธีนี้ในการฝึกร่างกายมาก่อนเลย
“ฮึ่ม! ” สีหน้าของฉีอวี่มืดครึ้ม เขาส่งเสียงขึ้นจมูก “แค่ยอมรับว่าเจ้ายากจนก็พอ เหตุใดต้องหาข้ออ้างด้วย ก็แค่เจ้ายากจนถึงขนาดไม่มีธำมรงค์มิติ”
อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วขณะที่รอยยิ้มร้ายกาจในดวงตาของนางจ้องไปที่ใบหน้าของฉีอวี่ “ทำไม เจ้าไม่ต้องการมือข้างซ้ายเหมือนกันหรือ”
คำขู่ของนางทำให้สีหน้าของฉีอวี่เปลี่ยนไป อาจจะเป็นเพราะว่าเขานึกถึงความน่าหวาดกลัวของอวิ๋นลั่วเฟิงทำให้เขารีบหยุดตัวเองทันที เพราะกลัวว่าสตรีผู้นี้จะลงมือจากคำพูดเหน็บแนมเล็กๆ น้อยๆ ของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นนางทำร้ายเขาแต่เสด็จพ่อก็ไม่จับนาง แม้แต่เสด็จแม่ยังเตือนให้เขายุ่งกับนางให้น้อยที่สุด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอม! เขาไม่ยอมที่จะทุกข์ทรมานจากความพ่ายแพ้!
“ฝากไว้ก่อนเถอะ! ” หลังจากทิ้งคำพูดพวกนี้ไว้แล้ว ฉีอวี่และผู้ติดตามก็เดินออกจากประตูไป
ในที่สุดฉีหลิงก็เริ่มพูดหลังจากที่ฉีอวี่จากไปแล้ว “แม่นางอวิ๋น พวกเราเองก็ออกเดินเหมือนกันเถอะ”
“เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ” อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้าแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินนำทุกคนออกจากประตูเมือง
อวิ๋นลั่วเฟิงและพรรคพวกของนางไม่ได้รับรู้ถึงสายตาชั่วร้ายคู่หนึ่งที่คอยจับจ้องด้านหลังของพวกเขาอย่างเย็นชา
“สตรีผู้นี้น่ะหรือที่ทำร้ายบุตรชายของข้า” สตรีชั้นสูงผู้หนึ่งกำผ้าเช็ดหน้าแน่นจนใกล้จะขาด สายตาของนางดูชั่วร้ายและอันตรายขณะที่จ้องกลุ่มคนที่เดินออกไปโดยไม่ละสายตา
“ไปรายงานฝ่าบาทว่านางเป็นคนหักแขนขององค์ชายสาม”
“ฮึ่ม! ตอนนี้ข้าจะยังไม่เอาชีวิตนาง หลังจากที่บุตรชายของข้าได้รวบรวมอาณาจักรทั้งสี่เข้าด้วยกันเมื่อไหร่ ก็จะเป็นวันตายของนาง! ” สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้เชิดหน้าขึ้น “อีกอย่างให้ยอดฝีมือของราชวงศ์ปลอมตัวเป็นโจรแล้วซุ่มโจมตีพวกเขา แต่ว่าอย่าพึ่งแตะต้องฉีหลิงและสตรีผู้นั้นแค่สังหารผู้ติดตามของพวกเขาก็เพียงพอ ทำให้ฉีหลิงและสตรีผู้นั้นเดินทางไปนครเฟิงอวิ๋นด้วยตัวเอง! ”
ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าฉีหลิงไม่มีทางชนะแต่นางก็ต้องการให้เขาทรมานกับความพ่ายแพ้จนถึงขีดสุด! การประลองระหว่างสี่อาณาจักร การมีผู้ร่วมกลุ่มสำคัญมาก
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าคนคนนั้นจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนก็ตาม! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ประกายเย็นเยียบก็พาดผ่านดวงตา ขณะที่รอยยิ้มน่าขนลุกปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง
…
ถนนที่มุ่งหน้าออกจากอาณาจักรเทียนฉีไปที่นครเฟิงอวิ๋นยาวไกลมาก และระหว่างทางก็ต้องผ่านเทือกเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย
โชคดีที่คนของฉีหลิงเป็นยอดฝีมือชั้นสูงของกลุ่ม จึงไม่จำเป็นต้องให้อวิ๋นลั่วเฟิงลงมือจัดการกับอันตรายต่างๆ ด้วยตัวเอง
ตอนที่ 1933 เจวี๋ยเชียนงั้นหรือ
“แม่นางอวิ๋น หลังจากที่พวกเราผ่านภูเขานี้ไปแล้วอีกไม่นานก็จะถึงนครเฟิงอวิ๋น” ฉีหลิงหันไปพูดกับสตรีชุดขาว
“อืม” อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้า “ข้าจะไปที่อื่นสักครู่หนึ่งดังนั้นรอข้าอยู่ที่นี่ อีกไม่นานข้าจะกลับมา”
จากการที่อวิ๋นลั่วเฟิงหายไปครึ่งวันทุกครั้งที่ผ่านภูเขา ฉีหลิงและคนอื่นๆ จึงไม่ได้คิดมาก พวกเขาไม่ได้พูดอะไรมากแล้วยอมให้นางทำตามใจ แน่นอนว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจากไปก็เพราะ…
ในแคว้นเฟิงอวิ๋นมีสมบัติล้ำค่ามากมาย แม้แต่สมุนไพรธรรมดาก็ยังมีคุณภาพมากกว่าที่แคว้นเจ็ดเมือง โดยเฉพาะภูเขาเหล่านี้ยังมีสมุนไพรพลังฌานสูงค่าอยู่เต็มไปหมด
ดังนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงจึงเก็บสมุนไพรล้ำค่าพวกนี้ทุกครั้งที่ไปถึงภูเขาลูกใหม่
“นี่ก็คงเพียงพอแล้ว” หลังจากที่อวิ๋นลั่วเฟิงเก็บสมุนไพรต้นสุดท้ายเสร็จ นางก็มองท้องฟ้าที่ค่อยๆ หมดแสงแล้วพึมพำ “พวกเขาควรจะพักผ่อนกันพอแล้ว และข้าเองก็ควรจะกลับได้แล้ว” เมื่อคิดได้อย่างนี้นางก็หันหลังตั้งใจจะกลับ
แต่ทันใดนั้น เสียงขลุ่ยก็ดังขึ้นจากที่ไกลๆ ทำให้นัยน์ตาของนางหดตัวเข้าหากันแล้วหันไปมอง นางก็เห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวที่มีเส้นผมสีดำดุจหมึกสยายเต็มแผ่นหลังคนหนึ่ง
นกจำนวนนับไม่ถ้วนบินอยู่เหนือศีรษะของเขาขณะที่พวกมันเต้นรำไปรอบๆ จนดูเหมือนกับกำลังบินเข้ากับทำนองของเขา
ใบเฟิงสีอึมครึมร่วงลงมาตกบนไหล่ของชายหนุ่มทำให้เกิดเป็นภาพงดงามที่ให้ความรู้สึกเสมือนจริงปะปนกับความเหนือจินตนาการอยู่หน่อยๆ
แต่ว่า…ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้คล้ายคลึงกับเฉินอวี้ชิง ถึงแม้ว่าใบหน้าของเฉินอวี้ชิงจะคล้ายกับเทพและเขาก็ทำตัวเหมือนแบบนั้น แต่เขาก็ยังให้ความรู้ว่าเขามีอยู่จริง
แต่ว่าชายหนุ่มคนนี้เล่นทำนองที่ราวกับว่าเขากำลังเดินออกจากเมฆหมอกและดูไม่เหมือนมีอยู่จริงเลย
หัวใจของอวิ๋นลั่วเฟิงกระตุก นางเอามือกุมหน้าอกราวกับว่าอารมณ์สายหนึ่งกำลังไหลทะลักออกมา แต่ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงก็รู้ดีว่าอารมณ์นี้ไม่ใช่ของนาง
“เจวี๋ยเชียน?” ครั้งหนึ่งเจวี๋ยเชียนเคยบอกนางว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ในอนาคตนางได้พบกับตัวเขาที่กลับมาเกิดใหม่ นางจะจดจำเขาได้เองด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
ณ ตอนนี้ ทันทีที่นางเห็นชายหนุ่มคนนี้ ความรู้สึกไม่ทราบที่มาก็ปรากฏขึ้นหัวใจของนาง
เขาคือเจวี๋ยนเชียน! เจวี๋ยเชียนที่นางตามหา!
จู่ๆ ชายหนุ่มก็ก้าวเดินออกไปแล้วชุดคลุมสีขาวราวหิมะของเขาก็ค่อยๆ หายไปจากสายตาของนาง
“เจวี๋ยเชียน! ” อวิ๋นลั่วเฟิงตะโกน
แต่ว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้หันกลับมา แล้วพริบตาเดียวก็หายเข้าไปในป่า ขณะที่ฝูงนกที่ตอนแรกบินวนอยู่บนท้องฟ้าก็บินกระจายกันออกไปเหมือนกัน
“นายหญิง” เสียงที่แสดงความสงสัยเล็กน้อยของเสี่ยวโม่ก็ดังขึ้น “เขาคือเจวี๋ยนเชียนจริงๆ หรือ ข้าจำเจวี๋ยเชียนจากในภาพวาดได้ว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนี้”
ตอนแรกที่อวิ๋นลั่วเฟิงได้รับสมบัติของเจวี๋ยเชียนมา นางเองก็เห็นภาพนั่นเหมือนกัน
ชายในภาพสวมชุดสีแดงขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ลายมังกรสีดำ มือข้างซ้ายของเขายกขึ้นมาเท้าคางขณะที่มือข้างขวาชี้นิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า ความหมายเบื้องหลังการกระทำของเขาก็คือแม้แต่สวรรค์ก็ไม่มีค่าพอให้เขาสนใจ
บุรุษทรงพลังที่หยิ่งทระนงแบบเขาจะเป็นชายหนุ่มในชุดสีขาวได้อย่างไร พวกเขา…แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเขาคือเจวี๋ยเชียน! ” อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตา “ข้าไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดข้าถึงหาเขาไม่เจอแม้จะออกตามหาทั่วทั้งแคว้นเจ็ดเมือง กลายเป็นว่าเขาอยู่ที่แคว้นเฟิงอวิ๋นนี่เอง ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็ง่ายขึ้นเยอะ ตราบใดที่เขายังมีตัวตนอยู่ ข้าก็จะต้องหาที่อยู่ของเขาเจออีกครั้งแน่นอน! ”