===============
บนผนังของห้อง มีคทาแห่งความเงียบ 3 ด้านแขวนเรียงกัน แต่ละด้ามจะมีแถวอักขระแยกออกจากกัน
อักษรทั้ง 3 บรรทัดเหล่านี้คือคำใบ้ถึงคำตอบปริศนา เย่ว์หยางจำเป็นต้องหาคำตอบที่ถูกต้อง แต่ถ้าเขาตอบไม่ถูก กลไกกับดักจะเริ่มทำงาน
พอเห็นว่าเวลาที่โล่ห์ป้องกันทุกอย่างเหลือน้อยลงไปทุกที เขาก็ยิ่งร้อนใจ อย่างไรก็ตาม นี่คือกฎของหอทงเทียน ทุกคนถูกทดสอบด้วยวิธีนี้ ไม่มีตัวเลือกอื่น แน่นอน พวกเขาคงวางมือเรื่องคทาแห่งความเงียบแล้วหันไปสู้กับไคเมรา 3 หัว แต่นั่นดูเหมือนจะยากยิ่งกว่า
“ไม่ใช่เกมปริศนาหรือ? เราก็เล่นเกมเหล่านี้มาเยอะแล้ว อย่าบอกข้านะว่าหัวข้ออย่าง ปริศนาเจ้าชายน้อยมีไว้แค่แสดง?” เย่ว์หยางปลอบใจตัวเอง
เขาดูที่ประโยคซ้ายมือและอ่าน “ข้าคือไม้ตีแมลงวัน แมลงวันตัวหนึ่ง เมื่อไรก็ตามที่ข้าเห็นมันบินตอม ข้าก็ตีมันจนตาย
ไม้ตีแมลงวันเหรอ?
ไม้ตีแมลงวันนี้สามารถตีไคเมรา 3 หัวให้ตายได้หรือ?
เย่ว์หยางเริ่มมีเหงื่อกาฬไหล เขารู้สึกว่า มันเหมือนกับว่าไคเมรา 3 หัวจะหวดเขาตายแทนเสียมากกว่า
ประโยคกลางบอกไว้ว่า “ข้าคือผู้นำที่น่าเกรงขาม ที่ใดก็ตามที่ข้าไปปรากฏจะกลายเป็นเงียบกันทั้งห้อง ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่พูด ไม่มีใครกล้าคุยต่อหน้าข้า ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็ไม่มีใครพูดได้” พอเห็นอย่างนี้ เย่ว์หยางสาปแช่งในใจ
ประโยคด้านขวาแตกต่างสิ้นเชิงกับ 2 ประโยคก่อนหน้านั้น ไม่มีคำใบ้ที่โดดเด่นใดๆ แต่น้ำหนักข้อความเป็นไปในเชิงซ่อนความขมขื่นและเห็นอกเห็นใจ มันเหมือนกับอาการคร่ำครวญของสตรีที่เป็นม่ายมานานหลายปี “หัวใจข้าต้องการบอกเจ้า ตาข้าก็ต้องการบอกเจ้า กายทั้งหมดของข้าก็ต้องการบอกเจ้า แต่เจ้าไม่เข้าใจ”
“ป้าฉงเหยา! ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าท่านยังอุตส่าห์มีแฟนๆ นักออกแบบชั้นเทพมาออกแบบเกมในหอทงเทียนด้วย” เย่ว์หยางอดชื่นชมไม่ได้
เขาสามารถเลือกได้ 1 ข้อจากทั้ง 3 เขาจะเลือกข้อไหนดี?
เย่ว์หยางขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าทั้ง 3 ข้อมีความเป็นไปได้น้อยที่จะถูกต้อง แต่คำใบ้ทั้งหมดดูไม่เหมือนว่าจะเป็นคำตอบแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
ไม้ตีแมลงวัน? ท่านผู้นำ? หรือแม่ม่าย?
เวลาผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที ตัวเลือกไม่ง่ายเลย แม้ว่าเขาจะพบคทาแห่งความเงียบของจริงได้ในที่สุด ถ้าเวลาสำหรับโล่ห์ป้องกันทุกอย่างถึงขีดจำกัด เขาจะไม่มีเครื่องป้องกันเอาไว้ปกป้อง และสถานการณ์จะแย่ยิ่งขึ้นไปอีก เย่ว์หยางเตรียมสุ่มเลือกมา 1 คำตอบ เช่นไม้ตีแมลงวันที่ก้าวร้าวมาก บางทีมันอาจกลายคทาเงียบขี้โม้ก็ได้
เย่ว์หยาง กระโดดขึ้นไปหยิบไม้ตีแมลงวัน
เพียงแค่นั้น เขาเห็นฮุยไท่หลางถูกทาคินขวิดทันที ส่งผลให้มันปลิวไปกระแทกกับผนังอย่างแรง
เย่ว์หยางเหลือบมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเขาพบว่ามีคันโยกควบคุมกลไกกับดักรอบๆ ผนังได้เผยให้เขาเห็น
มันแปลก
เขาร่อนไปข้างหน้าด้วยความสูงและตรงไปที่คันโยกควบคุมในด้านตะวันออก คำว่า “ไม้” ถูกแกะสลักไว้ด้านใน และกลไกด้านทิศใต้ก็คือ “ไฟ” เย่ว์หยาง เขารีบมองไปทางด้านตะวันออก ซึ่งมีคำว่า “ดิน”อยู่บนนั้น ทางด้านเหนือมีคำว่า “น้ำ” รวมเป็น 5 ธาตุ ขาดอยู่เพียง 1 ก็คือ “โลหะ” นี่ทำให้ใจของเขาเต้นแรง เป็นไปได้ว่า คันโยก “โลหะ” อยู่ที่ไหนกัน?
ไม่มีคันโยกยาวอื่นบนเพดาน บนพื้นดิน
ยามนั้น เย่ว์หยางก็ตระหนักได้ทันทีว่า เขาช่างโง่จริงๆ
เขาวิ่งไปที่ทางเข้าห้องด้านข้าง และหยุดหน้ารูปปั้นปีศาจหัวแกะขนาดใหญ่ 2 ตัว มีหอกอยู่ในมือของรูปปั้นที่เฝ้าประตูแต่ละตน
มีคำสลักบนหอกข้างซ้ายว่า “ข้าเป็นใบ้…”
สลักบนหอกด้านขวาว่า “ข้าคือโลหะ”
เย่ว์หยางเอื้อมมือออกไปจับหอกด้านขวาแล้วร้องออกมาว่า “เจ้านั่นเอง”
ในขณะเดียวกัน โล่ห์ที่ป้องกันได้ทุกอย่างของเย่ว์หยางเริ่มกระพริบ ปล่อยวางอย่างอื่นทุกอย่าง เย่ว์หยางคว้าหอกที่มองไว้แต่แรกแล้ววิ่งออกไป เวลาของเขาตอนนี้เหลืออย่างจำกัด เขามีทางเลือก 2 ทาง คือ 1 รีบจากไปขณะที่ยังมีโล่ห์ป้องกันได้ทุกอย่าง หรืออีกทางคือ มุ่งไปเผชิญหน้ากับไคเมรา 3 หัว
เย่ว์หยางกัดฟันและเพ่งดูทางออก ไม่..เขาคงไม่จากไป
ถ้าเขาจากไป มันก็เหมือนกับสู้แพ้ และเขาจะไม่ได้อะไรจากมัน
ถ้าเขาอยู่เผชิญหน้ากับไคเมรา เกราะป้องกันทุกอย่างของเขาจะหายไป อย่างไรก็ตาม เขาสามารถเอาคทาแห่งความเงียบมาได้ ไม่ว่ากรณีใด อย่างน้อยเขาก็ได้สมบัติ เขาจะไม่ลองดูได้อย่างไร?
ปัจจุบัน เย่ว์หยางมีประสบการณ์มากกับความเครียดอย่างที่อุลตราแมนได้เผชิญมา จากภายนอก ดูเหมือนอุลตราแมนใช้เวลาทุกวันคลุกคลีกับสาวๆ พูดคุยเรื่องความรักและสู้กับสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวน้อย อย่างไรก็ตาม เขามีพลังความสามารถมากที่สุดเพียง 3 นาทีสุดท้ายก่อนที่พลังและความแข็งแกร่งจะหมดไปจากตัว นี่เองทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย และมีปกติเก็บตัวไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นๆ เขาได้ทำแบบนี้มานานมาก ถ้าอุลตราแมนสามารถทนได้ 3 ชั่วโมง อย่างนั้นเขาจะเป็นที่หวั่นเกรงสัตว์ประหลาดน้อยได้อย่างไรกัน เขามีเวลานานพอที่จะไปนอนได้ ไม่ต้องสู้ แล้วค่อยระเบิดสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวน้อยให้เป็นจุลแล้วฆ่ามันทั้งหมด
ในทำนองเดียวกัน ถ้าโล่ห์ทองป้องกันได้ทุกอย่างของเขาใช้ได้ถึง 10 ชั่วโมงแทนที่จะเป็น 10 นาที อย่างนั้นเย่ว์หยางคงไม่ต้องรีบร้อนรวบรวมคทาแห่งความเงียบและอักขระบอด นอกจากนี้ เขายังมีเวลาดื่มชาได้สักถ้วย กินอาหารสักมื้อและแม้แต่หลับสักงีบก่อนจะสู้กับไคเมรา 3 หัวโดยไม่ต้องเร่งรีบ
ปัญหาก็คือ โล่ห์ที่ป้องกันได้ทุกอย่าง ตอนนี้เหลือเพียง 1 นาทีสุดท้าย
เย่ว์หยางแทบจะบ้าถึงขนาดอยากจะทึ้งหัวตัวเองให้พ้นเรื่องยุ่งยากให้รู้แล้วรู้รอด
ทำไมมันจึงเป็นว่า เขาไม่สามารถสู้ได้ทันทีที่โล่ห์หายไปล่ะ? ช่วงเวลาที่เขาไปถึงทางออกและทางเข้าห้องด้านขวา โล่ห์ของเขาก็หายไปแล้ว เย่ว์หยางยิ้ม แม้ไม่มีโล่ห์ เขาก็จะมีส่วนร่วมต่อสู้ด้วย อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากยกมือขึ้น ร่างของเขาถูกผนึกไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น พลังของเขาไม่ได้ลดลง เพียงแต่ปล่อยออกมาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงโจมตีไม่ได้ เย่ว์หยางอยากจะเหวี่ยงหมัดออกไปโจมตี แต่เขาพบว่าไม่สามารถขยับหมัดได้เลย เหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นดึงแขนเขาไว้
กฎระบุไว้ว่า ที่แดนดาว วิหารราศีเมษ นักสู้ใดๆ ผู้สูญเสียโล่ห์ที่ป้องกันได้ทุกอย่างสามารถใช้พลังป้องกันตัวเองได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถโจมตีได้
มีเพียงสัตว์อสูรที่สามารถโจมตีและมีส่วนร่วมในการต่อสู้ได้
“ตายเป็นตาย” เย่ว์หยางคงไม่ใส่ใจจะไปค้นหาอักขระบอดเนื่องจากหอกอย่าง “คทาแห่งความเงียบในมือของเขา ยังคงมีเวลาจำกัด
เย่ว์หยางเหินขึ้นไปและจากนั้นพุ่งหอกลงมาที่พื้น
ทันใดนั้น หอกเปล่งแสงสีขาววาบหนึ่ง และในชั่วพริบตา ทั้งเวทีก็สว่างไปด้วยแสงไฟสดใสราวกับเป็นตอนกลางวัน
ในที่สุด คลื่นกระแทกก็แผ่กระจายเป็นวงกลมออกไป
หัวมังกรของไคเมรา 3 หัวอ้าปากของมันออก แต่ไม่สามารถพ่นกรดสีเขียวออกมาได้ กรดสำรองจำนวนมากล้นออกจากปากของมัน หยดลงบนพื้น แต่หัวมันไม่สามารถยิงมาที่เย่ว์หยางได้ หัวมังกรคงส่ายไปมา มันดูเหมือนมีอะไรมัดปากมันไว้ และตอนนี้มันพยายามดิ้นรนจากอาการปากค้างของมัน แต่แม้จะดิ้นรนขนาดไหน มันก็ไม่สามารถหลบหนีสถานการณ์นี้ได้
เย่ว์หยางยินดีอยู่ในใจ หอกนี้คือคทาแห่งความเงียบแน่ๆ
แสงรัศมีสีขาวถูกปล่อยออกมาเป็นคลื่นล้อมรอยคทาแห่งความเงียบ เย่ว์หยางรูสึกว่าเวลาที่จำกัดมากที่สุดมีเพียง 10 นาที กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะไคเมรา 3 หัวได้ภายใน 10 นาที เขาจะตกอยู่ในอันตราย ฮุยไท่หลางมีเวลานานตั้งแต่มันออกมา แต่มันไม่กล้าพุ่งเข้าโจมตีไคเมรา มันเข้าไปหลบในที่ไหนสักแห่งระยะห่าง พลางคำรามเสียงต่ำใส่ไคเมราตลอดเวลา
โคเงาเข้าโจมตีอย่างไม่เกรงกลัว
หัวราชสีห์เพลิงของไคเมรา 3 หัว ที่อยู่ตรงกลางพ่นเปลวไฟใส่โคเงา อย่างไรก็ตาม โคเงาไม่รู้จักหลบเลี่ยง นางกลับวิ่งเข้าใส่โดยตรงแทน นางกระโดดขึ้นไปเหนืออากาศแล้วกำหมัดแล้วทุบไปที่จมูกของราชสีห์ไฟอย่างแรง
หัวราชสีห์ไฟ คำรามออกมาด้วยความโกรธและเจ็บปวด
เงายักษ์ที่คอยสนับสนุนเพิ่มพลังให้ 100 เท่าได้หายไปแล้ว เพราะข้อจำกัดเวลา มิฉะนั้นแล้ว หัวราชสีห์เพลิงคงทรมานมากบาดเจ็บมากหลังจากโดนโคเงาโจมตี
มังกรไม่สามารถพ่นกรดได้อีกต่อไป มันหันมาช่วยโจมตีทันที พยายามกัดโคเงา อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ตระหนักว่าเย่ว์หยางกำลังรอช่วงเวลานั้น ทันทีที่มันเปลี่ยนเป้าหมาย
เสี่ยวเหวินหลีเข้าใจความคิดของเขา ท่ามกลางแสงสว่างที่กระจายออกและกลิ่นหอมอบอวล เธอเปลี่ยนรูปแล้วบินขึ้นไปในอากาศเหมือนสายรุ้ง
มือทั้งสองของเธอถือดาบเยือกแข็งคู่หนึ่ง เธอใช้มันฟันลงไปที่คอยาวของหัวมังกร ก่อให้เกิดแผลสายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อากาศเยือกแข็งรอบๆ มีดก็ระเบิดออก ทำให้อากาศในเวทีสู้เต็มไปด้วยหิมะ ผนึกแช่แข็งทำได้สำเร็จแล้ว หัวมังกรเคลื่อนไหวช้าลง และการกัดของมันก็ค่อยๆ ลดลงด้วยเช่นกัน ก่อนที่มันจะสามารถกัดโคเงาได้ หัวของมันทั้งหมดก็ถูกน้ำแข็งผนึกไว้และกลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็ง
ดาบยะเยือกคู่นี้มีพลังที่น่ากลัว แม้แต่จ้าวปีศาจฮาซิน ก็ยังไม่สามารถป้องกันแขนของมันจากการแช่แข็งได้จนเคลื่อนไหวช้าเหมือนทากคลาน ป่วยการจะพูดถึงไคเมรา 3 หัวชั้นทอง ระดับ 6
เย่ว์หยางตื่นเต้นมากที่เห็นการโจมตีของเสี่ยวเหวินหลี
ตามที่คาดไว้ ที่ถูกแล้วควรเรียกนางว่าอสูรเด็กระดับเพชร นางสุดยอดจริงๆ แม้ว่านางจะยังคงอยู่ในสถานะเด็กอ่อนแค่ระดับ 1 นางก็สามารถผนึกหัวของไคเมรา 3 หัว ชั้นทอง ระดับ 6 ได้ ในการจู่โจมครั้งเดียว มันน่าจะดีกว่ามองหาอักขระบอดในห้องด้านขวา
เย่ว์หยางเพ่งไปที่หัวแกะด้านซ้าย แม้ว่ามันจะไม่พยายามโจมตีก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางรู้สึกว่าหัวแกะนี้ที่ไม่มีท่าทีคุกคามจะมีพลังมากที่สุดและมีลักษณะน่ากลัวที่สุด หากปราศจากอักขระใบ้ควบคุมหัวแกะ การต่อสู้นี้จะจบลงอย่างไร?
****************************