===============
เสี่ยวเหวินหลีพานางเซียนหงส์ฟ้ากลับเข้าไปในโลกคัมภีร์ เย่ว์หยางปล่อยเพลิงอมฤตลุกโหมท่วมทั้งตัว ขณะวาดมือพุ่งโจมตีด้วยพลังหยางขั้นสูงสุด
“แมลงที่น่ารำคาญ” ยักษ์ทองไม่ใส่ใจเกี่ยวกับพลังระเบิดของเย่ว์หยางแม้แต่น้อย
เขาปล่อยกระแสพลังงานและรักษาให้ซาฟี่ผู้บาดเจ็บหนักและเกือบจะถูกฆ่าได้แล้ว แม้ว่าความสามารถของซาฟี่จะลดลงมาก แต่เขาไม่มีปัญหาในการสู้กับผู้เฒ่าเต่ามังกร ยิ่งกว่านั้น ยังมีลูเธอร์, โบเว่นและนักสู้แดนสวรรค์อีกสองตนกำลังคุมเชิงเต่ามังกรชราผู้เป็นเหมือนเหยื่อ
เย่ว์หยางพุ่งเข้าหายักษ์ทองอย่างห้าวหาญ เหมือนกับมังกรไฟ
ก่อนนั้นเย่ว์หยางยังสู้กับศัตรูผู้มีร่างใหญ่โตมาแล้ว เช่นราชันย์จ้าวปีศาจบารุธ, จ้าวปีศาจฮาซินและคนอื่นๆ
ศัตรูที่มีร่างมหึมาจะมีความได้เปรียบเขาในแง่ของพลังและความสามารถที่เหนือกว่า ถ้าพวกเขาเป็นนักสู้ระดับเดียวกัน นักสู้ชาวมนุษย์จำเป็นต้องเหนือกว่าศัตรูขนาดยักษ์ของพวกเขาในแง่ความคล่องแคล่วและพลังรบให้มากเข้าไว้ นี่จะทำให้พลังกร้าวแกร่งของศัตรูไร้ประโยชน์และทำลายแผนของพวกเขาได้ เพียงเท่านั้นเขาถึงจะมีโอกาสคว้าชัยชนะ ถ้าศัตรูเสมอกับเขาในแง่ความเร็ว, ความคล่องแคล่วและพลังต่อสู้ เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาท้าทายราชันย์จ้าวปีศาจบารุธ, จ้าวปีศาจฮาซินและปีศาจอื่นๆ เร็วเกินไปหน่อย ทว่า ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ต้องสู้กันในวังปีศาจครั้งนั้น
แน่นอนว่า การที่ต้องสู้กับยักษ์ทองที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 9 เย่ว์หยางก็ออกมาสู้โดยไม่มีทางเลือกอื่น
เย่ว์หยางไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับยักษ์ทองแม้แต่น้อย
เขาไม่คิดว่าคนที่หลบหนีออกมาจากผนึกจักรพรรดิอวี้โดยไม่สูญเสียอะไรจะเป็นสิ่งมีชีวิตในร่างดั้งเดิม
ที่สำคัญที่สุดก็คือเย่ว์หยางรู้สึกว่ามีความรู้สึกอย่างหนึ่งในใจเขา ลางสังหรณ์บางอย่างที่ผิวของเขารับรู้ได้ ตั้งแต่ถูกส่งเข้ามาในโลกนี้ เย่ว์หยางรู้สึกอย่างนั้นเพียงสามครั้ง
ครั้งแรก เมื่อเขาพบกับจ้าวปีศาจฮาซิน ตอนนั้นเขาเกือบถูกฆ่าไปแล้ว เย่ว์หยางเหงื่อตกทุกทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ครั้งที่สอง เมื่อเขาเผชิญหน้ากับสื่อจินโหว ในตอนนั้นความสามารถของเขายังอ่อนด้อย สื่อจินโหวอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อนหลังจากสู้กับแม่เฒ่าฉือ และเย่ว์หยางได้รับการช่วยเหลือจากเสวี่ยอู๋เสียผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเขา จากนั้นเย่ว์หยางจึงสามารถเอาชนะสื่อจินโหวได้ เป็นการต่อสู้ที่มีภัยล้อมรอบตัว เป็นการต่อสู้ที่เขาไม่มีทางลืมได้ตลอดชีวิต
ครั้งที่สามก็คือความรู้สึกวันนี้ เมื่อเขาเตรียมท้าทายยักษ์ทองจากแดนสวรรค์ผู้นี้
ความจริงก่อนนี้ เย่ว์หยางได้สู้กับซุ่นเทียน จักรพรรดิแห่งจื่อเว่ยมาบ้าง เขายังได้สู้กับราชันย์จ้าวปีศาจบารุธ, จ้าวปีศาจฮาซิน และถูกนักรบแข็งแกร่งในแดนปีศาจหลายคนรายล้อมไว้ ทว่าเขาไม่เคยรู้สึกถึงแรงคุกคามมากมายเหมือนวันนี้ นักรบแดนสวรรค์ผู้นี้ซึ่งถูกผนึกมาหกพันปีไม่ใช่คนที่จะถูกยั่วยุได้แน่นอน เย่ว์หยางรู้สึกว่าศึกครั้งนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาควรออกไปสู้ แต่ก็เป็นศึกที่ทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขา
ในช่วงที่ความสามารถของเขายังไม่แข็งแกร่งพอจะเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาต้องรีบถอยกลับไปในโลกคัมภีร์โดยเร็ว พวกเขาไม่อาจทิ้งชีวิตตัวเองได้อย่างนั้น
นางเซียนหงส์ฟ้ายังคงหมดสติ เป็นเรื่องยากที่เขาจะเอาชนะศึกนี้ได้เพียงลำพัง
การต่อสู้ครั้งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อสอดแนมศัตรู เขาจะหลอกล่อศัตรูโดยใช้พลังสูงสุดของเขา จากนั้นค่อยกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์ ขณะที่รอนางเซียนหงส์ฟ้าฟื้นจากอาการบาดเจ็บ พวกเขาจะวิเคราะห์จุดอ่อนของเขาและคิดหาทางฆ่าศัตรูของพวกเขา
“เจ้าต้องการแข่งสู้เรื่องทักษะหรือ? ข้าก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน!” ยักษ์ทองวาดแขนในอากาศและปล่อยหมัดใส่ร่างของเย่ว์หยาง เมื่อเย่ว์หยางหลบหมัดได้อย่างแคล่วคล่อง ยักษ์ทองหกคะเมนศีรษะลงล่าง เขาตวัดขาฟาดใส่เย่ว์หยางที่กำลังพุ่งลง ขาเขายาวและคมน่ากลัวเหมือนขวาน เย่ว์หยางตะลึงวูบรู้สึกเสียวถึงสันหลัง เจ้ายักษ์สูงสิบเมตรเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วพอๆ กับเขา เขาจะสู้ศึกนี้ได้อย่างไร?
เย่ว์หยางเทเลพอร์ในทันที
หลบออกไปห่างสนามต่อสู้ถึงสิบเมตร
ยักษ์ทองกดมือทั้งสองลงพื้น ร่างของเขาหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย แม้แต่เงาก็ไม่เห็น?
จักษุญาณทิพย์ของเย่ว์หยางไม่สามารถเห็นร่องรอยความเคลื่อนไหวจากศัตรูได้ เย่ว์หยางทำได้แต่พุ่งไปข้างหน้า อาศัยเพียงสัญชาตญาณในใจและความสามารถของตน
ที่ด้านหลังเขา จู่ๆ ปรากฏหมัดยักษ์สีทองกระแทกใส่สันหลังของเขาอย่างหนักหน่วง ยักษ์ทองเผยให้เห็นตัวทันที ขณะที่เขาไล่ตามและใช้หมัดต่อยใส่เย่ว์หยาง เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้ามีปฏิกิริยาความเร็วที่ดี แต่เจ้ายังคงช้าเกินไป!”
หมัดที่ทรงพลังมากแทบทำให้อวัยวะภายในของเย่ว์หยางแตกเป็นเสี่ยง
โชคดีที่เขาใช้ปราณก่อกำเนิดป้องกันร่างกายไว้ทำให้ต้านทานไม่ให้เกิดความเสียหาย
เขาใช้สามเคล็ดวิชาลึกลับ – ระบำดาบ เย่ว์หยางจึงหลบการบุกกดดันของยักษ์ทองได้ โชคดีที่เย่ว์หยางได้ฝึกปราณกระบี่ไร้ลักษณ์และมีพลังปราณที่บริสุทธิ์ที่สุด ยิ่งกว่านั้น เขายังเรียนรู้วิทยายุทธที่ยากมากผ่านความช่วยเหลือโดยตรงจากเทพธิดากระบี่ฟ้า มิฉะนั้นเขาคงตายไปนานแล้ว ยักษ์ทองนี้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 9 แต่ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาไม่ง่ายเหมือนกับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 9 แน่นอน แม้ทักษะเขาจะอยู่ในสภาพโดนผนึกที่แย่ที่สุด แต่ก็ยังเหนือกว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 9 แน่นอน แต่ในแง่ขอบเขตของพลัง, วิสัยทัศน์, ความรู้สึกและทักษะ เขาห่างไกลกว่าเย่ว์หยางมาก เย่ว์หยางเพิ่งตระหนักถึงบางอย่าง เกี่ยวกับยักษ์ทองผู้เดิมทีอยู่ในดินแดนที่แข็งแกร่งกว่าเขา แม้เขาจะมีพลังเท่านักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 9 ก็ตาม พลังเพียงแค่นี้ก็เพียงพอจะเอาชนะเขาได้ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะยักษ์ทองนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในทักษะต่อสู้
“ได้เวลาตัดสิน!”
เมื่อยักษ์ทองเห็นว่าเย่ว์หยางหลบหนีได้ไกลโดยใช้เคล็ดวิชาลับของเขา สามท่าลับ สายตาเขากลับเยือกเย็นและปล่อยพลังหมัดโจมตีเต็มกำลัง หมัดยักษ์นับไม่ถ้วนพุ่งใส่จากพลังของเขา ขณะที่หมัดเหล่านั้นตัดอากาศมุ่งโจมตีใส่หลังของเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางรีบใช่โล่เปลวเพลิงเพิ่มระดับการป้องกันทันที
โล่เพลิงอมฤตสามารถเผาผลาญสรรพสิ่งได้แน่นอนก็จริง แต่มันไม่สามารถเผาผลาญหมัดที่ยักษ์ทองปล่อยมาได้ทั้งหมด
ต้องใช้เวลาในการเผาผลาญ
อักษรรูนสวรรค์ของยักษ์ทองปะทะเข้ากับอักษรรูนสวรรค์ของเย่ว์หยางจนแตกเป็นเสี่ยงทั้งคู่ จนเกิดแรงสะท้านสะท้านไปทั่ว ในท่ามกลางแรงอัดของคลื่นระเบิด หมัดยักษ์ทองเหล่านั้นถูกเผาผลาญกลายเป็นกระแสแสงสว่างขนาดลูกปิงปอง แต่กระแสเหล่านั้นทะลุผ่านโล่เพลิงของเย่ว์หยางและกระแทกเข้ากับร่างของเย่ว์หยาง เย่ว์หยางผลักแขนทั้งสองออกไปข้างหน้าและปล่อยคลื่นโล่เพลิงอมฤตออกจากเป็นครั้งที่สองอย่างเต็มกำลัง ขณะที่เขาต้านรับกระแสของลำแสง เขาเองยังได้รับการปกป้องจากคลื่นแรงระเบิด
ตอนนี้เย่ว์หยางถึงขีดจำกัดของตนเองไปแล้ว
เขาปล่อยโล่เพลิงอมฤตเป็นครั้งที่สองได้ทันเวลา แต่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงอาการซี่โครงหัก 2-3 ซี่จากแรงปะทะของมวลลำแสงได้
ถ้าไม่ใช่เพราะโล่เพลิงช่วยชีวิตเขาไว้ หมัดยักษ์ทองนี้คงเปลี่ยนเป็นกระแสลำแสงและทะลวงเข้าลำตัวเขาไปแล้ว
หมัดยักษ์ที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ยังระดมปล่อยลงมาต่อเนื่องในท่ามกลางแรงระเบิดขนานใหญ่
ภายใต้สถานการณ์ที่เย่ว์หยางไม่สามารถป้องกันตนเองได้ ทันใดนั้นเขานึกถึงกระบี่จ้าวมังกรที่พี่สาวคนสวยเคยใช้ในดินแดนแห่งความฝัน
ปกติเขาไม่สามารถใช้มันได้
อย่างไรก็ตาม ในห้วงเป็นตายเช่นนี้ เย่ว์หยางก็ปล่อยพลังโจมตีได้สำเร็จในฉับพลัน
เย่ว์หยางยิงพลังออกไปในท้องฟ้าเหมือนกับกระสุนควงสว่าน ขณะที่เขาหลบหมัดที่ทรงพลังของศัตรู เย่ว์หยางลอยตัวขึ้นสูงใช้สองเท้าก้าวย่างกลางอากาศอย่างห้าวหาญเหมือนกับมังกร รัศมีปราณกระบี่ธรรมชาติยิงออกจากสองขาของเขา โจมตีโต้ตอบใส่ศีรษะของยักษ์ทอง ยักษ์ทองไม่ได้ถอย แต่กลับเหวี่ยงอีกหมัดหนึ่งเข้าปะทะทันที พอปล่อยหมัดทั้งสองโต้ตอบ เขาเตรียมทำลายร่างของเย่ว์หยางทั้งทำลายแผนโต้ตอบของเย่ว์หยางอีกด้วย
ปราณกระบี่ไร้ลักษ์แทงลึกลงในฝ่ามือของยักษ์ทอง แต่ยังไม่สามารถทะลุหลังมือของเขาและก่อให้เกิดความเสียหายกับยักษ์ทองได้
ถ้าเป็นพี่สาวในฝันปล่อยพลังกระบี่จ้าวมังกรเอง ก็คงจะไม่มีผลมากนัก แม้ว่าเย่ว์หยางจะได้เรียนรู้ทักษะและยังใช้พลังไปได้ไม่เพียงพอ แต่การโจมตีโต้ตอบนี้ยังคงไม่มีผลเพียงพอ
ก่อนที่หมัดยักษ์จะพุ่งมาถึงร่างของเย่ว์หยาง ร่างของเสี่ยวเหวินหลีก็ปรากฏขึ้น
และปล่อยทักษะพันธนาการทันที
หมัดที่ปล่อยออกถูกยั้งหยุดได้เพียงหนึ่งในสิบวินาที
อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่ามากพอให้เย่ว์หยางเตรียมตอบโต้ครั้งต่อไป
พอโดดขึ้นเหนือหมัดของยักษ์ได้ เย่ว์หยางปล่อยเพลิงอมฤตในมือทั้งสองและต่อยใส่หน้าของยักษ์ทอง
ยักษ์ทองยังไม่ยอมถอยและยังคงเดินหน้าต่อ เขาใช้ศีรษะโขกใส่เย่ว์หยางส่งผลให้เขาถึงปลิวไปตามแรง จากนั้นเขาพลิกตัวกลางอากาศและพยายามใช้แขนหวดใส่สีข้างของเย่ว์หยาง เย่ว์หยางหลบเลี่ยงสถานการณ์อันตราย แต่ยักษ์ทองเริ่มยิงลำแสงออกจากปากที่รุนแรงเช่นเดียวกับแสงอาทิตย์พุ่งตรงเข้ามา เย่ว์หยางจนไม่เหลือทางหนี เขาสามารถทำได้เพียงเทเลพอร์ตหนี อย่างไรก็ตาม เป้าหมายเทเลพอร์ตของเขาถูกยักษ์ทองอ่านออกทันที ก่อนที่เย่ว์หยางจะทันได้หมุนตัว ทันใดนั้นเขาถูกทุบจากด้านหลัง ยักษ์ทองต่อยใส่ร่างของเย่ว์หยางอย่างป่าเถื่อน ส่งร่างเขาปลิวกระเด็นออกไป
บึ้ม!
ร่างของเย่ว์หยางพุ่งเป็นกระสุนปืนใหญ่กระแทกเข้ากับบันไดลอยในวิหารแรก
“ตายซะเถอะ!” วินาทีต่อมา ยักษ์ทองก็ไล่ทันเย่ว์หยางได้อีกครั้ง หมัดของเขายิงตรงใส่กองหินที่ทับถมตัวเย่ว์หยางอยู่ด้วยพลังที่เหลือเชื่อ
อักษรรูนเปล่งประกายวาบทันที
วงจักรล้างโลกยิงออกมาจากกองหินทันที กรีดเข้าใส่แขนของยักษ์ทองและบินตรงเข้าใส่หน้าของเขา
ยักษ์ทองดึงมือกลับมาทันทีและหลบการโจมตี
บนหน้าของเขา ปรากฏรอยยิ้มบางๆ ทันที “เจ็ดพันปีมานี้ นอกจากจักรพรรดิอวี้แล้ว เจ้าเป็นนักรบมนุษย์ที่ทำร้ายใบหน้าข้าได้..” มีรอยไหม้จากเพลิงอมฤตปรากฏอยู่ที่หน้าซีกซ้าย ตรงหน้าซีกขวามีบาดแผลจากวงจักรล้างโลกสายหนึ่ง ฝ่ามือของเขาบาดเจ็บจากปราณกระบี่ของเย่ว์หยาง นอกจากแผลเหล่านั้น เย่ว์หยางผู้ไม่ได้ยั้งมือในการจู่โจมเขา กลับไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ แก่เขาเลย
แสงสีทองเปล่าประกายวาบ แผลของยักษ์ทองก็สมานตัวหายในทันที
ในทางตรงกันข้าม ที่ด้านหน้าเขา เย่ว์หยางคลานออกมาจากเศษซากหินอย่างยากลำบากกลับได้รับบาดเจ็บ
เย่ว์หยางไอไม่หยุดพร้อมกับมีเลือดกระเซ็นออกจากปาก อวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหาย และเลือดถูกขับออกมาจากร่างเย่ว์หยางด้วยพลังปราณของเขา ถ้าเย่ว์หยางไม่ได้เรียนรู้วิธีลึกลับใช้ปราณรักษาตัวจากพี่สาวในฝัน เขาคงตายจากอาการบาดเจ็บหนักที่เขาได้รับไปแล้ว
“ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ!” ยักษ์ทองจ้องมองเย่ว์หยาง “จนถึงวันนี้ ข้าได้ฆ่านักรบมนุษย์มามากแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้า!”
“ภายใต้สนามพลัง “เชื่อมต่อภายใน” ของหมิงรี่ฮ่าว เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีพ้นไปได้ แม้ว่าเจ้าจะหนีเข้าไปในโลกคัมภีร์ ข้าหมิงรี่ฮ่าวก็สามารถไล่ล่าตามสังหารเจ้าได้ทันที กฎของคัมภีร์อัญเชิญจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ จงยอมรับความพ่ายแพ้ทันทีและคุกเข่าต่อหน้าเจ้านายเดี๋ยวนี้!” แม้ปราศจากการคุกคามของซาฟี่ เย่ว์หยางก็ตระหนักได้นานแล้วว่ายักษ์ทองนามว่าหมิงรี่ฮ่าวครอบครองสนามพลังชนิดพิเศษ มันเป็นเหมือนโซ่และเงื่อนที่ผูกล่ามไว้ทั่วร่างเขาและป้องกันไม่ให้เขากลับเข้าไปในโลกคัมภีร์ได้ง่ายๆ เขาถูกบังคับให้สู้จนถึงที่สุด
“นี่, ข้าเกรงว่าคำตอบของข้าได้แต่ทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว” เย่ว์หยางควบเพลิงอมฤตให้เข้มข้นและเปลี่ยนเป็นเกราะ ขณะเดียวกัน เขาร่ายภาษารูนสวรรค์ เพื่อเพิ่มสถานะและความหนาของผิว รวมทั้งพลังและความคล่องแคล่วของเขาด้วย
แม้ว่าเมื่อต้องสู้กับศัตรูแข็งแกร่ง เย่ว์หยางก็ไม่เคยยอมแพ้ในการต่อสู้ของเขา เขาไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้มาก่อน
คำว่ายอมรับความพ่ายแพ้ ไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรมของเย่ว์หยาง
เขาจะยอมตายในการต่อสู้ดีกว่ายอมรับความพ่ายแพ้
บางทีเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยยอมรับความพ่ายแพ้ แต่โดยนิสัยของลูกผู้ชาย ถ้าเขาต้องคุกเข่าร้องขอความเห็นใจเอาศักดิ์ศรีแลกเพื่อให้ตนรอดชีวิต ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าตายในการต่อสู้อย่างตรงไปตรงมามิใช่หรือ? เย่ว์หยางดูแคลนคนทรยศผู้รีบยอมรับความพ่ายแพ้มากที่สุด ก่อนที่เขาจะถูกส่งเข้ามาในโลกนี้ เขาเกลียดคนพวกที่ดีแต่พูดและเมื่อได้รู้สัญญาณอันตราย แม้ว่าพวกเขาจะทำเป็นเหมือนตรงไปตรงมาในภายนอกก็ตาม มีคำกล่าวว่า “บัณฑิตลัทธิขงจื๊อทะเลาะกันเองข้างๆ ศัตรู เหลือแต่หญิงม่ายที่ยังดำเนินตามความยุติธรรม” นี่เข้าลักษณะปากว่าตาขยิบ
แทนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างขลาดกลัวตลอดชีวิต เย่ว์หยางขอเป็นวีรบุรุษดีกว่า แม้จะเป็นเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม
ถ้าให้เขาต้องเลือก เย่ว์หยางคงเลือกหลบหนี
เพราะการหลบหนีก็คือหลีกเลี่ยงดาบศัตรู ไม่ใช่การยอมแพ้ในสงคราม ไม่ใช่เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้
การทอดทิ้งความภูมิฐานทั้งหมดคุกเข่าขอความเมตตา เย่ว์หยางไม่มีวันเลือกทำเช่นนั้น ต่อให้เขาตายก็ตาม
เนื่องจากความคงอยู่ของยักษ์ทอง สนามพลัง “เชื่อมโยงภายใน” ของหมิงรี่ฮ่าวนั่นเอง ทำให้เขาละทิ้งความคิดเรื่องหลบหนีเข้าไปในโลกคัมภีร์ แต่เขามุ่งมั่นที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุดแทน
“ถ้าเจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เจ้าจะต้องตายทันที!” ยักษ์ทองต่างจากซาฟี่ แม้ว่าเขาจะมีฝีมือเหนือกว่า แต่เขาก็ยังระมัดระวังเย่ว์หยาง เขามีความรู้สึกว่าถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่ตาย เมื่อเขาเติบโตขึ้นในอนาคต เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่ที่น่ากลัว เป็นนักรบมนุษย์ที่มีพลังรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เขาคงไม่ยอมให้มนุษย์หนุ่มน้อยนี้หลบหนีมีชีวิตรอดไปจากวิหารเทพแห่งจักรพรรดิอวี้แน่นอน
“…..” ผู้เฒ่าเต่ามังกรส่ายศีรษะตัวเอง เขารวบรวมพลังขณะที่มองดูเย่ว์หยาง
***************