ตอนที่ 053 สถานที่ตามตำนาน
เยี่ยจงมองไปยังเงาร่างในชุดฝึกยุทธ์สีดำ นัยน์ตาขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นเขาก็คงคิดไม่ถึง สถานที่เช่นนี้ยังมีผู้อื่นคอยลงมืออีก ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือม้ามืดที่ได้ป้ายก่อฟ้ามาจากเยี่ยยีเฮ้าอีกด้วย
“ ดูเหมือนว่า ต่อให้ไม่ใช่เพราะว่าข้า และพลังฝีมือของเจ้า ยังไงซะก็คงหาวิธีที่จะได้เป็นหนึ่งในตำแหน่งได้อยู่ดีสินะ ? ทว่า เจ้าในเมื่อตัดสินใจที่จะเป็นปรปักษ์กับพวกเรา หรือว่าต้องการที่จะบอกข้าว่า เจ้ามีความโง่เง่าอยู่มากเพียงใด ? “
“ เหอะ ยังคงมั่นใจในตนเองเกินไปแล้ว…… “ ทางด้านบริเวณทางเข้าห้องโถงหิน เด็กหนุ่มในชุดสีดำเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวซีดปรากฏออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยแล้วกล่าว “ เจ้าคงไม่คิดหรอกนะว่า เจ้าสามารถกำจัดเจ้าขยะอย่างเยี่ยยีหยินแล้ว ก็จะสามารถเดินในสวนของท่ามกลางอารามก่อฟ้าแห่งนี้ได้อย่างสบายใจได้ ? “
“ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ว่าก็มีพวกลูกแมวลูกสุนัขที่คิดว่าตนเองมีสายตาที่ไม่เหมือนกับชาวบ้าน ก็คือช่างไร้เดียงสาอยู่หลายส่วนก็แค่นั้นเอง “ เยี่ยจงยิ้มแล้วตอบออกมา
“ โอ้ะ ช่างมีความมั่นใจในตนเองอย่างเหลือล้นจริงๆ “ ชายหนุ่มชุดดำหยักไหล่ไปมา จากนั้นก็ทำให้คารวะตอบ “ ข้าน้อยมาจากลัทธิมนต์ดำ ผางเจี่ย “
“ ลัทธิมนต์ดำ “ เยี่ยจงขมวดคิ้ว ที่มาของยอดฝีมือผู้นี้เขายังมิเคยได้ยินมาก่อน
“ ลัทธิมนต์ดำ น่าจะเป็นลัทธิที่ใหญ่ที่สุดในรัฐโจวเทียนหวังเฉาสินะ เทียบกับลัทธิแห่งดวงดาวของเราแล้วแตกต่างกันไม่มากเท่าไหร่ เจ้าเด็กน้อยผู้นี้หากมาจากลัทธิมนต์ดำ เช่นนั้นเกรงว่าคงยากที่จะต่อกรอยู่หลายส่วน “ ซูหยี่ในตอนนี้ค่อยมีปฏิกิริยากลับมาทัน นางเดินเข้าไปข้างกายเยี่ยจงเพื่อห้ามปราม จดจ้องมองผางเจี่ยแล้วเอ่ยปากกล่าวออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหยี่ ผางเจี่ยก็ได้แต่ขบริมฝีปากไปมา หัวเราะแล้วกล่าว “ ดูเหมือนว่าแม่นางซูหยี่ยังคงพบเจอสถานที่มากหลาย จนถึงกับรู้สึกลัทธิมนต์ดำของพวกเรา ดูเหมือนว่า ท่านก็คงไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน…… “
“ พอแล้ว คำพูดเหลวไหลก็สมควรที่จะพอได้แล้ว หากว่าวันนี้เจ้าไม่ให้ข้ออ้างที่ดีแก่ข้าแล้วละก็ เกรงว่า ข้าคงมิอาจปล่อยเจ้าไปได้ “ เยี่ยจงยังคงจ้องมองไปทางผางเจี่ยด้วยรอยยิ้ม กล่าวออกมาดังกังวาน
“ เหอะ “
ผางเจี่ยยิ้มออกมาเบาๆ ตาของเขาทอประกายออกมา และจากนั้นก็กวาดตามองไปยังต้นไม้ทองคำที่อยู่ในโถงหินแห่งนี้ หัวเราะคิกคิกแล้วกล่าวออกมา “ ความจริงแล้วข้าก็ไม่ต้องการที่จะปะมือกับนายน้อยเยี่ยท่าน แต่ว่า ข้ามีความต้องการที่จะเอาผลไม้บนต้นไม้ทองคำนี้ให้จงได้ หากนายน้อยเยี่ยท่านให้ของแก่ข้าน้อยแล้ว พวกเราทุกคนก็เลิกแล้วต่อกัน ดีหรือไม่ ? “
เยี่ยจงมองผางเจี่ยอย่างเสนาะสนใจ จากนั้นก็กล่าวดังๆ “ ข้าของปฏิเสธ เจ้าไสหัวไปซะเถอะ “
ในเมื่อไม่ทราบว่าผางเจี่ยผู้นี้เข้ามาอารามก่อฟ้าแห่งนี้เพื่อทำอันใด แต่ว่าบุคคลเช่นนี้เป็นบุคคลที่เยี่ยจงให้ความสำคัญอย่างมาก เยี่ยจงไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะมอบมัน(ผลไม้)ออกไปให้ด้วยซ้ำ
“ ชั่งน่าเสียดายเสียนิกระไร กล่าวตามความสัตย์ ข้านั้นไม่อยากที่จะลงมือกับนายน้อยเยี่ยท่านเลยจริงๆ “ ผางเจี่ยยิ้มเบาๆ และในรอยยิ้มก็ปรากฏรังสีฆ่าฟันออกมาทันที และได้เปลี่ยนเป็นหนาวเย็นไร้ที่เปรียบ “ แต่ว่าในเมื่อนายน้อยเยี่ยไม่ทราบมารยาทแล้วละก็ หลังจากนี้ข้าอย่างดีก็คงต้องสังหารท่านแล้ว ลงมือด้วยตนเองเถอะ “
“ ซวบ “
ในระหว่างที่เสียงกล่าวของผางเจี่ยถูกส่งออกมาในทันที แต่ร่างกายของกลับมิได้เปิดเผยขึ้นมาด้วย และจากนั้นฝ่ามือของเขาก็ส่องสว่างสีเงินขึ้นมาในทันที ความรุนแรงของฝ่ามือนี้น่ากลัวอย่างที่สุดพุ่งเข้าประทับยังจุดบริเวณที่เยี่ยจงมา
วินาทีนั้น รังสีสังหารครอบคลุมเต็มท้องฟ้า
เยี่ยจงในตอนนี้ส่งสายตาหัวเราะเย็นชาออกมาสายหนึ่ง และจากนั้นก็พบว่าเขาใช้ออกด้วยพลังหมัดโดยทันที พลังกระบี่หกสุสานถูกรีดเร่งขึ้นมา และจากนั้นพลังหมัดก็ถูกใช้ออกมา
“ เปรี้ยง “
หมัดฝ่ามือเข้าปะทะกัน วินาทีนั้น เสียงที่ดังออกมาอย่างน่าหวาดกลัวจนถึงขีดสุดออกมาจากห้องโถงศิลา จนกระทั่งเหล่ายาโอสถวิเศษต่างสั่นไหวไม่หยุดยั้ง
ร่างของทั้งสองสั่นเทาคราหนึ่ง จากนั้นก้าวถอยหลังในเวลาเดียวกัน และผางเจี่ยผู้นั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง ถอยกายหลับไปพร้อมกับพลังฝ่ามือ กริชดำทมิฬด้ามหนึ่งปรากฏอยู่บนมือฝ่ามือ และจากนั้นก็ค่อยๆถูกโยนไปโยนมาในทันที ตัวกริชมีลักษณะที่เห็นได้ไม่ชัดเจนมากนัก ราวกับกำลังจดจ่อจะทำร้ายร่างกายของเยี่ยจงให้ได้ ด้านบนของกริชราวกับมีพลังที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าเป็นศาสตราวุธวิเศษเล่มหนึ่ง
“ ชิร์ “
เยี่ยจงร้องเชอะอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ตอนนี้กระบี่คงหมิงได้ถูกใช้ออกอย่างรวดเร็วอีกครา ไอกระบี่แผ่พุ่งออกมา การโจมตีอันน่าหวาดกลัวนี้ราวกับพายุที่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ผัวะ ผัวะ ผัวะ “
กระบี่ยาวปะทะกริชจะประกายแสงออกมา ทุกคราที่กระทบใส่กัน ก็จะระเบิดความน่าหวาดกลัวอย่างขีดสุดของการเคลื่อนไหวพลังแห่งไฟกลุ่มหนึ่งออกมา บรรยากาศทั่วทั้งสี่ทิศราวกับถูกกดดันจนแทบจะระเบิดออกมา
“ ซวบ “
การปะทะกันครั้งแรกของทั้งสองฝ่าย นัยน์ตาของผางเจี่ยทอประกายออกมา จากนั้นก็พบว่าร่างกายของเขาสั่นไหว ทันใดนั้นก็พุ่งรังสีการฆ่าฟันไปยังบริเวณที่ที่เยี่ยจงอยู่ และจากนั้นเขาก็พลิกมือคราหนึ่ง กลุ่มเข็มเงินอันแน่นหนากวาดเข้าไปราวกับสามารถปิดท้องฟ้าขังปฐพีได้
เยี่ยจงนัยน์ตาทอประกายลึกล้ำ รังสีสังหารโกธรา และจากนั้นกระมือคงหมิงในมือของเขาก็พลันสว่างขึ้นมา จนทำให้เหล่าเข็มเงินน้ำไม่ถ้วนหล่นลงสู่พื้น และจากนั้นแสงเงาของกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งเข้าไปยังจุดที่ผางเจี่ยยืนอยู่เข้าไป
“ เปรี้ยง “
ใบหน้าผางเจี่ยใบหน้าแปรเปลี่ยน ใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือ ร่างกายถอยร่นไปด้านหลัง เพียงแต่ในขณะที่ถอยไปด้านหลัง การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างช้าๆไม่สะดุด วินาทีนั้น ใจกลางฝ่ามือของเขาก็ปรากฏตราโลหิตสายหนึ่ง จนทำให้ร่างกายต้องสะท้านคราหนึ่ง
“ ผิ้ง “
เมื่อร่างกายร่วงหล่นลงสู่พื้นแล้ว ผางเจี่ยก็เงยหน้ามองดูอาการบาดเจ็บที่บริเวณใจกลางฝ่ามือของตนเอง ขณะที่ใบหน้าเริ่มที่จะหลายส่วนบิดเบี้ยว หลังจากที่จ้องมองเยี่ยจงอย่างเย็นเยียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจ หากว่าต้องต่อสู่ต่อไปแล้วละก็ คนที่จะเสียเปรียบที่สุดก็คือตนเอง ต่อมาก็พบว่าเขาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาสายหนึ่ง ร่างกายสั่นเทาคราหนึ่ง ก็พบว่าถอยหนีไปแล้วทันที
“ เยี่ยจง อย่าคิดว่าได้เปรียบข้าเพียงเล็กน้อยแล้วก็จะถือว่าร้ายกาจนะ เจ้าจะเข้าใจในเร็วๆนี้ เหอะ เหอะ เหอะ “
ท่ามกลางเสียงเย็นเยียบ ร่างกายของผางเจี่ยหายไปในทันที เห็นได้ชัดว่าเขามองออกว่าในตอนนี้ตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจงอย่างแน่นอน
พบเห็นผางเจี่ยที่มีการมาที่รวดเร็วการถอยที่คล่องแคล่ว เยี่ยจงก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เห็นลักษณะของเด็กน้อยผู้นี้แล้ว เป็นที่ชัดเจนว่ามุ่งตรงเข้ามาหาวิญญาณไหลก่อฟ้า เยี่ยจงคิดไม่ถึงว่า ในดินแดนซีฮ้วงเจี่ยนี้ นอกเสียจากตนเองแล้ว ยังคงมีคนที่มองวิญญาณไหลก่อฟ้าออกเช่นเดียวกัน
“ เจ้าเด็กน้อยนั้น ต่อกรด้วยยาก “ ในตอนนี้ ซูหยี่ค่อยมีปฏิกิริยากลับมา ทว่าสีหน้าของนางหนักแน่นจ้องมองไปทางด้านบริเวณที่ผางเจี่ยหายลับไป การลงมือและการตัดสินใจของเด็กน้อยผู้นั้น ทำให้ซูหยี่เกิดความกลัวไร้ที่เปรียบ
“ ถึงแม้จะต่อกรด้วยยากอยู่เล็กน้อย แต่ว่าในเวลานี้มิใช่สามารถวิเคราะห์เพียงเล็กน้อย “ เยี่ยจงก็กวาดตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ “ เจ้าเก็บสมบติก่อนก็แล้วกัน จากนั้นพวกเราก็ต้องไปที่อารามในตำนานแล้ว พวกเราเสียเวลามามากเกินพอแล้ว “
เมื่อได้รับวิญญาณไหลก่อฟ้าแล้ว เยี่ยจงก็อารมณ์ดีขึ้นมาอยู่หลายส่วน ต่อจากนี้ถ้าหากได้คัมภีร์ของอารามก่อฟ้าในตำนานด้วยแล้ว ภารกิจในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าสำเร็จลุล่วงสมบูรณ์แบบแล้ว
หลังจากเงียบงัน ซูหยี่ก็ค่อยๆพยักหน้า นางก็ไม่ค่อยทราบเรื่องราวเกี่ยวกับอารามก่อฟ้ามากมายนัก ในตอนนี้เยี่ยจงเริ่มที่จะเอ่ยปาก แน่นอนว่าเขาไม่ล้มเลิกแน่นอน
ต่อมาทั้งสองก็สบตากันคราหนึ่ง มิได้แสดงอาการลังเลอีก ร่างกายออกจากห้องศิลาในเวลาเดียวกัน
หลังจากออกจากห้องศิลาแล้ว ทั้งสองก็มิได้รั้งรอ หลังจากที่ได้เลือกทิศทางที่จะต้องไป ก็ได้เหินบินเข้าสู่ส่วนลึกทะลวงเข้าไปอย่างรวดเร็ว การเหาะเหินในครานี้ใช้เวลาราวสิบนาทีได้ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีอารามสูงเป็นสง่าที่สุดในตำนานตั้งอยู่ ปรากฏอยู่ต่อหน้าสายตาของทั้งสองคน
สถานที่ตั้งของห้องโถงใหญ่ในตำนานนั้นอยู่ใจกลาง และก็เป็นจุดที่สูงที่สุด ทั้งสี่ทิศมีเส้นทางให้เดินติดต่อกันนับสิบสาย และห้องโถงใหญ่นี้ถูกสร้างขึ้นจากหินที่มีขนาดเบาสามารถลอยขึ้นสูงได้ด้วยตนเอง บริเวณทางด้านบนจะสามารถพบกับแสงที่สาดส่องสว่างออกมาได้ เห็นได้ชัดว่า หินศิลาเหล่านี้มิใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน
และตอนนี้ บริเวณที่ส่องสว่างของห้องโถงใหญ่ก็ถูกผู้คนเปิดออก ด้านในของประตูใหญ่ราวกับถูกคนกลุ่มหนึ่งระเบิดจนเสียหาย ในเวลาต่อมาไม่นาน ก็สามารถที่จะพบเห็นเงาร่างของผู้คนที่อยู่ทางด้านใน เสียงของการปะทะแต่ละสายดังออกมาติดๆกัน เห็นได้ชัด ภายในอารามในตำนานตอนนี้ ได้มีการต่อสู้ปะทุขึ้นมาจนถึงขีดสุดแล้ว
จากนั้นเยี่ยจงและซูหยี่ก็ซบตากัน เห็นได้ชัดว่าก็คาดไม่ถึง ว่าคนเหล่านี้จะมาถึงห้องโถงในตำนานแล้ว ต่อมาทั้งสองก็มิได้แสดงอาการลังเลต่อ ขยับกายคราหนึ่ง พุ่งเข้าไปในเวลาเดียวกัน
อารามใหญ่มีขนาดสูงตระหง่านอย่างมากที่สุด หากมองจากภายนอกจะรู้สึกถึงความใหญ่โตโอฬาร แต่หากมองจากด้านในแล้วจะสามารถมองออกถึงพลังอันหนาแน่นปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ส่วนในของอารามใหญ่ มีความสูงของหินเกือบสิบจังสูงเกือบถึงฟ้า เห็นได้ชัดว่า ที่นี้มีการเกาะของฝุ่นมีนานแรมเดือนปีแล้ว แต่ว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น อารามใหญ่แห่งนี้ก็บ่งบอกได้ถึงความเก่าแก่สูงตระหง่าน ที่มิอาจล้มลงได้อย่างง่ายดาย
และในความสูงใหญ่อย่างสุดขีดของอารามใหญ่แห่งนี้ คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ เปรียบได้เหมือนดั่งสิ่งเล็กๆได้อย่างชัดเจน
เพียงแค่มองไปทางด้านหน้า เยี่ยจงก็ทราบถึงความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาของอารามก่อฟ้า หากว่าตนเองมีสำนักอยู่แล้วละก็ และการฝึกฝนของเหล่าวิชายุทธ์ที่มาจากดินแดนซานเชียนเซินเจี่ยแล้วละก็ เกรงว่าตนเองคงมีความสนใจต่อการเรียนรู้วิชายุทธ์ของอารามก่อฟ้าเพื่อเพิ่มพูนความสำเร็จในเชิงยุทธ์ของตนเองแล้ว
ตอนนี้อยู่ในอารามใหญ่ นอกเสียจากเยี่ยจงและซูหยี่แล้ว ที่เหลือก็คือม่อฝานหลง ซ่งเซ้าเฉิง ซร่งเทียนเป็นต้นต่างก็อยู่ในสนามแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะรวมผางเจี่ยไปแล้ว ต่างก็ได้เปิดเผยร่องรอยปรากฏออกมาในบริเวณแห่งนี้ ตอนนี้พบเห็นการปรากฏตัวของเยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองคน ผางเจี่ยก็จ้องมองไปทางเยี่ยจงแล้วยิ้มกว้างอย่างเย็นชาคำหนึ่ง เพียงแต่ว่ามิได้แสดงเจตนาที่จะเข้ามาใกล้เลยแต่อย่างไร
เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา ตอนนี้ก็มิได้ไปสนใจอะไรกับปัญหาเพียงเล็กน้อยอย่างหนึ่งเช่นเขา และแค่เพียงกวาดตามองคราหนึ่ง จากนั้นก็สำรวจจนถึงบริเวณกลางสนาม
“ ฮง “
ในบริเวณที่โล่งแจ้งออกมา ซ่งเซ้าเฉิงและม่อฝานหลงทั้งสองคนกำลังอยู่ในระหว่างประมือกันอยู่ ในตอนที่หมัดฝ่ามือของทั้งสองเข้าปะทะกัน ความน่าหวาดกลัวพลันเคลื่อนไหวแผ่พุ่งออกมาอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่า ทั้งสองคนมิได้ตัดสินใจที่จะออมมือไว้ไมตรีให้แก่กันเลย
ตอนนี้ ซ่งเซ้าเฉิงจะปะทุพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาอย่างขีดสุดออกมา เขานั้นแน่นอนว่าดูไม่เหมือนผู้อ่อนแอที่ฝึกยุทธ์อยู่เพียงแค่พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่โดยทั่วไปเลย ในตอนที่เขาและม่อฝานหลงประมือกัน ราวกับถูกสายลมดูดกลืนเข้าไป
และความแข็งแกร่งของผู้อื่น เหมือนกับซร่งเทียน ซูเซวียน คนจำพวกนี้เป็นต้น สีหน้าของแต่ละคนต่างก็อยู่ในความเยียบเย็นจ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้า ตอนนี้พวกเขาปะมือกัน ทำให้เหล่ากลุ่มยอดฝีมือที่มีช่วงอายุในวัยเดียวกันต่างก็ตกอยู่ในความกลัวเต็มสิบส่วน เพียงแต่ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ แน่นอนว่า หากว่าถ้าทั้งสองมีผู้ใดในสองคนนี้เกิดพ่ายแพ้ได้รับบาดเจ็บแล้วละก็ ถ้าให้คนผู้อื่นกล่าวแล้วออกมา ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งเลย
“ ก๊ง “
ร่างกายของทั้งสองเข้าปะทะกัน ขณะที่กำลังหมุนวนอย่างน่าหวาดกลัวอย่างสุดขีดออกไป……
.
.
.
.