ตอนที่ 091 สังหารให้สิ้น
“ เหอะเหอะ ยินเจี่ย ในเมื่อมีคนที่กล้าใช้ชีวิตเข้าแลกกับพวกเรารัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ยั้งมือไว้ไมตรีอีกเลย “ ทันใดนั้นเยวี่ยซินที่อยู่บริเวณไม่ไกลมากนักก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมา
“ นั้นแน่นอนอยู่แล้ว ท่านอ๋องสาม “
ยินเจี่ยเงียบงันไร้คำพูด นัยน์ตาปรากฏด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้ายขึ้นมา จ้องมองไปทางด้านเยี่ยจงที่ตอนนี้กำลังค่อยๆก้าวเดินเข้าไป ทันทีที่เขาพลิกมือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนเงาโลหิตสายหนึ่งดังออกมา พุ่งตรงเข้าไปยังทางด้านที่เยี่ยจงเดินเข้ามาอยู่
ท่ามกลางเงาโลหิต ที่ได้นำพาเสียงอันน่าสะพรึงกลัวดั่งความตายมา ทันทีที่ใบหูที่ได้ยินเสียงสายลมตัดผ่านมานั้น ราวกับได้ปะทะกับกระบวนท่าอันน่ากลัวแล้วก็มิปาน
กระบวนท่านี้ได้ทำให้ยอดฝีมือทั่วสี่ทิศนับไม่ถ้วนต้องกรอกสายตาไปมา ยินเจี่ยผู้นี้มิเพียงแต่เป็นศิษย์ของลัทธิแห่งมารโลหิตเท่านั้น แต่กลับมีพลังยุทธ์ถึงขั้นก่อเกิดระดับที่ห้าแล้ว แต่ทว่าการโจมตีระลอกนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของผู้คนต้องสั่นคลอนขึ้นมาได้
จากนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ของยินเจี่ย เยี่ยจงก็มิได้ตัดสินใจที่จะถอยไปแต่อย่างไร เพียงแต่ยื่นมือขวาออกมา จากนั้นก็คว้าจับไปทางด้านบริเวณที่เงาโลหิตที่กำลังส่งเสียงร้องเข้ามาอยู่นั้นเอง
“ เด็กน้อยหาที่ตาย “ ยินเจี่ยเมื่อพบเห็นกับฉากเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะเสียงเยียบเย็นมาคำหนึ่ง กระบวนท่านี้ของเขาถือได้ว่าโหดเหี้ยมไร้ที่เปรียบ ต่อให้เป็นยอดมือที่อยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่ห้าก็ใช่ว่าจะมีความหาญกล้าที่จะต้านทานอย่างซึ่งหน้าเช่นนี้ได้ เยี่ยจงผู้นี้กลับไม่กลัวตาย กลับรนหาที่ตายด้วยตัวเอง
“ เปรี้ยง “
ในช่วงเวลาที่นัยน์ตาของยินเจี่ยทอประกายเยียบเย็นอยู่นั้น บริเวณใจกลางฝ่ามือก็ได้ปกคลุมไปด้วยวิชากระบี่ตราประทับสาดประกายขึ้นมาอย่างช้าๆ ต่อมาเขาก็ได้ใช้ออกด้วยฝ่ามือคว้าจับไปทางด้านเงาโลหิต ภาพในความคาดเดาของผู้คนทั้งหลายที่คาดคิดว่าจะปรากฏกลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วกลับมิได้ปรากฏขึ้นมา
“ ชิ้ง เช่ง “
ทันทีที่ปะทะเข้ากับฝ่ามือของเยี่ยจงอย่างรุนแรง ความรุนแรงอย่างไร้ที่เปรียบของเงาโลหิตที่ปรากฏขึ้นมาในตอนนี้ก็ได้เบาบางลง และจากนั้นก็ได้ถูกบีบเค้นจนปะทุขึ้นมา
พลังของยินเจี่ยผู้นี้ พลังการโจมตีของวิชาทักษะยุทธ์สมควรที่จะเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าจะถูกเยี่ยจงทำลายไปอย่างง่ายดายไปก็ตามที
“ เป็นไปได้อย่างไร ? “ใบหน้าของยินเจี่ยในตอนนี้ได้ด้านชาไปในทันที สีหน้าที่แสดงออกถึงยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น
“ ซวบ “
หลังจากที่เยี่ยจงได้บีบไปที่เงาโลหิตแล้ว ก็กวาดสายตาเป็นประกายไปทางด้านยินเจี่ยคราหนึ่ง และจากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกไป ร่างกายได้ทอเป็นประกายสายหนึ่งออกไป ใช้ออกด้วยพลังดัชนีในเวลาเดียวกัน พลังดัชนีชี้ไปยังบริเวณคอหอยของยินเจี่ย
“ เด็กน้อยผู้นี้รวดเร็วนัก “
นัยน์ตาของยินเจี่ยตะลึงลาน ถอยร่างไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็ตั้งมือขวาขึ้น กระบี่ที่ทอประกายเหมือนดั่งโลหิตปรากฏอยู่บนมือของเขา จากนั่นกระบี่โลหิตนี้ก็ถูกใช้ออกเสียงดังหวือ ใช้ออกด้วยพลังของสำนึกกระบี่ ราวกับต้องการที่จะตัดผ่าครึ่งเยี่ยจงก็มิปาน
“ เช่ง “
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังกระบี่ที่รุนแรงนี้ ร่างกายของเยี่ยจงกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงแต่ว่าทันทีที่ประกายกระบี่เกือบจะถึงร่าง เขาก็ยกมือขวาขึ้นแล้วใช้ออกด้วยพลังดัชนี พลังดัชนีนี้ได้พุ่งเข้าใส่กับกระบี่โลหิตนี้
“ เพล้ง เพล้ง เพล้ง “
ไอพลังกระบี่ ทันทีที่ได้เข้าชนกับพลังดัชนีนี้ของเยี่ยจง ก็ได้ถูกกระแทกเข้าอย่างรุนแรง การโจมตีของยินเจี่ย เมื่ออยู่เบื้องหน้าของเยี่ยจงก็แทบจะไม่ต่างจากมิมีอันใดขึ้น
“ ตูม “
พลังการโจมตีของดัชนีนี้เข้าสู่ร่างของยินเจี่ย ร่างกายของเยี่ยจงได้หายไปอีกครั้ง และในครั้งนี้เขาก็ได้เปลี่ยนไปใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือ พลังฝ่ามือถูกใช้ออกปานสายฟ้าแลบพุ่งชนไปยังบริเวณทรวงอกของยินเจี่ย ในตอนนี้ก็มีเสียงกระดูกหักดักลั่นออกมาไม่หยุดจนทำให้ผู้คนต้องกัดฟันแน่น
“ ตูม ตาม “
แรงปะทะเข้าที่บริเวณทรวงอกของยินเจี่ยก็ได้ถูกพลักออกไปอย่างรุนแรง ยินเจี่ยร่างสั่นเทาคราหนึ่ง ขาวซีดไปทั้งใบหน้า ในขณะนั้นเองก็ได้กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง และร่างของเขาในตอนนี้ก็ได้พุ่งกระเด็นออกไปราวกับคันศรอย่างรวดเร็ว
เหล่าศิษย์ของลัทธิ์มารโลหิตเหล่านั้นที่อยู่บริเวณทางด้านหลังของยินเจี่ยเมื่อได้เห็นฉากเบื้องหน้า ก็ได้มีอยู่หลายคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วพุ่งออก เพื่อที่จะรับตัวเอาไว้ เพียงแต่ว่าในทันทีที่ร่างกายของยินเจี่ยพุ่งเข้ามานั้นเอง พลังฝีมือของผู้คนเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะร้ายกาจ ร่างกายถูกพลักออกไปตามแรงที่ต้านรับเข้ามา
“ เพล้ง เพล้ง เพล้ง “
หลังจากนั้น ยินเจี่ยและพวกที่มีระเนระนาดอยู่ตามพื้นดิน รวมไปทั้งยินเจี่ยด้วย ก็มีราวเกือบสิบคนที่ในตอนนี้กำลังกระอักโลหิตออกมาอยู่ บาดเจ็บแสนสาหัส ฉากเบื้องหน้านี้ได้ทำให้ยอดฝีมือไม่น้อยจำเป็นที่จะต้องกรอกสายตาไปมา พวกเขาก็ได้เพ่งตามองไปทางด้านเยี่ยจงมากขึ้น ต่างก็เริ่มที่จะให้ความสนใจ
เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเพียงเท่านั้น พลังฝีมือในขั้นก่อเกิดระดับที่ห้าเช่นนี้ของศิษย์สายในของลัทธิมารโลหิตอย่างยินเจี่ย คนที่มีความสามารถเช่นนี้ ยังถูกจัดการอยู่ในสภาพเช่นนี้ แล้วเหล่าศิษย์สำนักเดียวกันที่แล้วมาเล่าจะเป็นเช่นไร ?
จะมีคนมากมายเพียงใดที่อยู่ในที่นี้สามารถทำเช่นนี้ออกมาได้ เกรงว่าคงจะมีไม่เกินสิบนิ้วมือ ?
อีกทั้ง ท่ามกลางการโจมตีก่อนหน้านี้ ผู้คนที่มองออกไปต่างก็มองออก เยี่ยจงไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังมิได้ใช้ออกกถึงวิชาทักษะยุทธ์เลย เขาเพียงแค่สะบัดมืออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่พลังการต่อสู้ก็ยังส่งผลได้อย่างน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้
ต่อให้เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์และความเข้าใจต่อเยี่ยจงอยู่หลายส่วนอย่างหลิงเยวี่ยและพวก ตอนนี้ก็ยังมิอาจกล่าวอันใดออกมาได้ นัยน์ตาได้ทอประกายความตกตะลึงออกมา พวกเขาต่างก็คิดว่าตนเองมีความเข้าใจเยี่ยจงอย่างเพียงพอแล้ว แต่ว่าทุกครั้งที่เยี่ยจงลงมือออกมา ก็ได้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตกใจชนิดหนึ่งออกมา
เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถล้มยินเจี่ยที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่ห้าได้ พลังฝีมือเช่นนี้ ยังมีใครหาญกล้าที่จะต่อกรด้วยอีก ?
ท่ามกลางสนาม เยี่ยจงก็ได้ทอดตามองไปยังร่างของยินเจี่ยที่บาดเจ็บอย่างแสนสาหัสในตอนนี้ จากนั้นเขาก็ได้เงยหน้าขึ้นมา กวาดสายตาอย่างดุดันและเยียบเย็นอยู่หลายส่วนไปทางด้านของเสวี่ยซิน มุมปากปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง
“ ท่านฮ่องสาม ครั้งหน้าหากว่าต้องการที่จะทดสอบฝีมือข้าแล้วละก็ ไม่ลองลงมือด้วยตนเองดูละ ? ไปหาเจ้าพวกขยะเหล่านี้มาลงมือ มันทำให้ท่านข้าเสียทั้งแรงทั้งเวลากันทั้งสองฝ่าย “
หลังจากที่สิ้นเสียง ท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความตื่นตะลึง ร่างของเยี่ยจงก็หายวาบ ไปปรากฏที่เบื้องหน้ายินเจี่ยที่กำลังกระอักเลือดอยู่ในตอนนี้ หลังจากนั้นในตอนที่เขายังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาได้ทัน เยี่ยจงก็ได้ใช้ออกด้วยพลังดัชนีออกไป เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ พลังดัชนีนี้ก็มิได้ยั้งพลังเอาไว้แต่อย่างไรจนทำให้บริเวณตรงหน้าอกเกิดรูขนาดเล็กมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง
บริเวณหน้าอกของยินเจี่ยก็ได้มีโลหิตไหลออกมาเป็นทางไม่หยุด นัยน์ตาของเขาปกคลุมไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น พลังชีวิตไหลออกอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ล้มลงสู่พื้นดิน
“ ตึง “
เมื่อพบเห็นว่าเยี่ยจงไม่แม้แต่จะกระพริบหนังตาในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้ลงมือช่วงชิงเอาชีวิตของยินเจี่ยไปเรียบร้อยแล้ว มีคนไม่น้อยที่เริ่มรู้สึกคันที่หนังศีรษะ ความสำเร็จอันมากมายที่เกินกว่าผู้คนจะคาดเดาไว้ได้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นข่าวลือที่มายังสถานที่ไร้ความวุ่นวายเช่นนี้
เยี่ยจงผู้นี้ก็ดี ช่วงที่ลงมือก็ไม่แม้แต่จะยั้งมือไว้เลย
ตามความคาดเดาของหลิงเยวี่ยและพวกแล้ว การกระทำของเยี่ยจงเช่นนี้เป็นเหมือนการบีบคั้นให้เสวี่ยซินต้องลงมือออกมาเองในเวลาเช่นนี้ ต่อมาพวกเขาทั้งสี่คนก็ได้ก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งก้าว กำลังภายในของแต่ละคนก็ได้เคลื่อนไหวขึ้นมาโดยทันที
เสวี่ยซินเหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า ท่ามกลางสายตาทั้งคู่ ก็ได้ให้ความรู้สึกเจ็บแค้นอย่างถึงที่สุด ผลสรุปของการลงมือของเยี่ยจงนี้ รวดเร็วจนเกินกว่าแม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจคาดคิดตามได้ แต่ทว่า ก็ยังคงทอประกายรังสีการฆ่าฟันออกไปมาอย่างท่วมท้น ทันใดนั้นเสวี่ยซิยก็ได้ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ปรบมือไปมา จ้องมองไปยังบนร่างของเยี่ยจง “ เหอะ ศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาว ช่างมีความสามารถอย่างแท้จริง ช่างกดดันยิ่งนัก ……. ตั้งแต่เริ่มข้ายังคิดว่า พวกเจ้าในกลุ่มนี้ ที่ยากต่อกรที่สุดคงเป็นแม่นางหลิงเยวี่ย แต่จากที่เห็นในตอนนี้แล้วละก็ คงจะดูถูกเจ้าจนเกินไปแล้ว
“ เห็นข้าแล้วรู้สึกขัดตาก็เข้ามาจัดการซะสิ “ เยี่ยจงหรี่ตามองแล้วตะโกนออกไป
“ เหอะ ……… ไว้เมื่อถึงเวลาก็แล้วกัน เจ้าก็อย่าได้รีบร้อนไปตายเร็วนักก็แล้วกัน ? “ นัยน์ตาของเสวี่ยซินหดลง ทว่าเขากลับต้องส่ายศีรษะไปมา แต่ก็มิได้ลงมือแต่อย่างไร เป้าหมายและแผนการของพวกเขานั้นถือได้ว่ามีความสำคัญอยู่มากมาย หากว่าต้องเข้าปะทะแตกหักกับเยี่ยจงในที่แห่งนี้ สุดท้ายถ้าต้องส่งผลเสียแล้วละก็ เช่นนั้นคงถือได้ว่ามิใช่เรื่องเล่นๆซะแล้ว
หลังจากที่สิ้นเสียง เสวี่ยซินก็มิได้หันกลับไปมองเยี่ยจงอีกแม้แต่หางตา แล้วก็ไม่แม้แต่จะเหลียวแลไปยังศพของยินเจี่ยด้วย เขาเพียงแต่โบกมือคราหนึ่ง ก็ได้หันกายจากไป
บริเวณทางด้านของเสวี่ยซิน เสวี่ยซือที่ก่อนหน้านี้ได้เคยปะมือกับเยี่ยจงก็ได้เงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาประกอบไปด้วยสายโลหิตออกมาสายหนึ่ง เขาได้เพียงแต่แค่จ้องมองเยี่ยจงเช่นนี้ จากนั้นก็ยื่นนิ้วโป้งบนมือขวาวาดทางไปทางคอหอยของตนเบาๆคราหนึ่ง และจากนั้นก็หันกายจากไป
“ เสวี่ยซือ เมื่อถึงเวลาเด็กน้อยผู้นั้นก็ขอมอบให้เจ้าก็แล้วกัน อย่าได้ให้เขามาทำลายแผนการที่พวกเราวางเอาไว้ได้ละ “ ทันทีที่เสวี่ยซินหันกาย ใบหน้าก็ได้เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา บุคคลทางด้านซ้ายของเขายังสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงรังสีการฆ่าฟันที่ระเบิดออกมาอย่างอดไม่ได้ เพียงแต่ว่ายังไม่ทันไรเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดยั้งมันเอาไว้
“ นายน้อยโปรดวางใจ ประจวบเหมาะกับที่ข้ายังขาดทาสรับใช้โลหิตอีกตน ตำแหน่งนี้พอดีเหลือไว้ให้เขาพอดี “ เสวี่ยซือยิ้มออกมาอย่างเย็นชา เพียงแต่ว่าภายในรอยยิ้มนี้ได้ปรากฏออกมาไม่มีแม้แต่ความอบอุ่นแม้ซักนิด มีแต่เพียงความเยียบเย็นทั้งหมดทั้งมวล
เสวี่ยซินพยักหน้าไปมา นัยน์ตาอดไม่ได้ที่จะปะทุประกายความตื่นเต้นออกมาอย่างดุเดือด ความจริงแล้วตัวเสวี่ยซินเองก็มิใช่คนที่จะตัดสินใจฆ่าอย่างเลือดเย็นแต่อย่างไร เป็นคนที่มีอุปนิสัยที่ปล่อยผ่านเลยไปได้ แต่เยี่ยจงในวันนี้ ยังสามารถทำให้เขาแทบจะอดทนอดกลั่นความเร้าร้อนเอาไว้ภายในใจไว้ไม่อยู่
……
“ น่าเสียดาย “ เยี่ยจงจ้องมองไปทางด้านเสวี่ยซินในตอนนี้ที่ได้หันหลังเดินจากไปหลงเหลือไว้เพียงเงาด้านหลัง เขาก็ได้ขมวดคิ้วเบาๆ และจากนั้นก็เอ่ยปากบ่นพึมพำออกมา
“ ในครั้งนี้พวกเราถือได้ว่าลูบคมบุคคลเช่นเสวี่ยซินมากจนพอไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาก็ช่างมีน้ำอดน้ำทนยิ่งนัก “ ซูหยี่เดินเข้ามายังด้านข้างของเยี่ยจง เหม่อมองไปทิศทางด้านของเสวี่ยซินเดินทางไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบาๆแล้วเอ่ยปากกล่าว
“ นับตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาสู่เมืองเที่ยซา พวกเราก็ได้ตกเป็นเป้าหมายที่ต้องตายไปแล้ว ลบหลู่หรือไม่ลบหลู่ก็มิได้มีอันใดแตกต่าง ? “ เยี่ยจงโบกมือขวาไปมา “ ทว่า ยิ่งเสวี่ยซินผู้นี้อดทนได้เท่าไหร่ ก็บ่งบอกว่าแผนการในครั้นนี้ของพวกเขามีความสำคัญมากเท่าไหร่ พวกเราต้องระวังไว้ให้มากไว้ “
“ อื้อ ศิษย์น้องเยี่ยจงก็กล่าวได่มิผิด ภารกิจในครั้งนี้ เกรงว่าคงจะยากลำบากกว่าที่คาดคิดเอาไว้มากแล้ว เป็นอย่างที่ศิษย์น้องกล่าว พวกเราจำเป็นที่จะต้องเสาะหาดอกหยินหยางก่อน เพื่อที่จะจะได้เพิ่มพลังในการต่อสู้ของพวกเราให้มากขึ้น “ หลิงเยวี่ยก้าวขึ้นมาหลายก้าว ส่งสายตาอย่างแปลกประหลาดไปที่ใบหน้าของศพที่ตายไปแล้วของยินเจี่ย ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือในขั้นก่อเกิดระดับที่ห้า แต่ว่ายินเจี่ยผู้นี้ก็เสียชีวิตได้อนาจอย่างไรที่เปรียบ เกรงว่าแม้แต่ตนเองก็คงคาดไม่ถึง เพียงแต่แค่เสวี่ยซินต้องการที่จะทดสอบฝีมือของเยี่ยจงสักคราเท่านั้น แต่ว่าบทสรุปที่ได้กลับมานั้นกลับคาดไม่ถึง ถึงกับเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นนี้
ในครั้งนี้ เฮ่อฟงและหลู่ปิงทั้งสองคนก็ได้หันศีรษะกลับมาอย่างรวดเร็ว การแสดงถึงความสามารถที่แท้จริงของเยี่ยจงในทุกครั้งต่างก็เกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้ได้ และในช่วงที่ยังไม่จะคาดคิดได้ เยี่ยจงก็ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญของหลิงเยวี่ยแล้ว กลายเป็นหัวใจหลักสำคัญในการทำภารกิจในครั้งนี้ ดังนั้น หากให้หลิงเยวี่ยกล่าวในตอนนี้ พวกเขาก็คงไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่นอย่างแน่นอน
เยี่ยจงมิเพียงไม่พยักหน้าแต่อย่างไร แล้วก็มิได้คิดที่กล่าวถึงปัญหาเช่นนี้อีกแต่อย่างไร และเพียแค่ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างกะทันหัน จ้องมองไปทางด้านบริเวณพื้นที่สีเขียวนี้ แล้วกล่าวเสียงทุ่มต่ำ “ ยังมี พวกเราจะเอาแต่มองดูความเคลื่อนไหวของเสวี่ยซินและพวกเพียงอย่างเดียวมิได้หรอก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสมควรที่จะเรียกได้ว่าความยุ่งยากที่ใหญ่โตที่สุดก็มิผิด ทว่านอกเสียจากพวกเขาแล้ว ก็ยังคงมีความยุ่งยากอยู่อีกไม่น้อย “
.
.
.
.