ตอนที่ 135 ท่านเจ้าลัทธิ
สถานที่แห่งนี้เป็นตำหนักใหญ่เก่าแก่แห่งหนึ่ง อีกทั้งยังอยู่บริเวณใจกลางของเขาดารา ตึกใหญ่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยเต็มไปหมด ทำให้ตึกใหญ่หลังนี้ดูเก่าแก่ไร้ที่เปรียบ
“ ที่แห่งนี้ก็คือตำหนักดาราคล้อย เป็นที่พักในตอนที่ฝึกยุทธ์ของท่านเจ้าลัทธิใช้ การหารือเรื่องสำคัญต่างๆของลัทธิ ต่างก็มาประชุมหารือในที่แห่งนี้ “
กลุ่มของทั้งสี่คนเมื่อได้มาถึงทางด้านหน้าของตำหนักดาราคล้อย เฮ้อตงเหม่อมองด้วยสีคล้ายดั่งเห็นราชาที่เบื้องหน้าเปรียบเหมือนดั่งขุนเขา กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา
และสีหน้าของทางด้านหลิงเหว่ยและเยวียเฮ้าทั้งสองคนก็ได้เคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่า พวกเขาได้ให้ความนับถือจากใจแก่เจ้าลัทธิแห่งลัทธิแห่งดวงดาว
เยี่ยจงพยักหน้าเห็นด้วย สายตาได้จับจ้องไปยังตำหนักดาราคล้อยแห่งนี้ ภายในดวงตาได้ปรากฏแววตาสงสัยขึ้นมา เขาถึงแม้ว่าจะมิได้ตรวจสอบความเป็นมาของลัทธิแห่งดวงดาว แต่ว่าตอนนี้ก็สัมผัสจนทราบได้ถึงความบางอย่าง ลัทธิแห่งดวงดาวนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ความอันตรายนั้น แทบจะทำให้เขาในตอนนี้อย่างจะกลายเป็นหมอกควันหายไปในทันที
ไม่ว่าจะกล่าวเยี่ยงไร ลัทธิแห่งดวงดาวก็เป็นถึงสำนักอันดับหนึ่งแห่งรัฐต้าโจวหวังเฉา ผู้ที่อยู่ภายใต้สังกัด ก็มิใช่ธรรมดาอย่างที่สามารถคาดเดาได้
หลังจากที่ได้หยุดมองดูตำหนักดาราคล้อยไปแล้ว เยี่ยจงก็ได้กวาดตามองรอบหนึ่ง ก็ได้มองไปยังบริเวณทางเข้าของตำหนักดาราคล้อย ที่ตรงนั้น ได้ยืนไว้ด้วยชายที่สวมชุดออกศึกเป็นชุดเกาะสีเงินอยู่สองคน พลังลมปราณของพวกเขามิได้แผ่ออกมาอย่างน่ากลัวแต่อย่างไร แต่ว่าลักษณะการยืนที่อยู่ตรงนั้น ก็สามารถที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันจนตกใจได้แล้ว
ราวกับตรวจสอบพบว่าเยี่ยจงและพวกได้มาถึง พวกเขาทั้งสองคนก็ได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ประกายตาภายใต้หมวกหลังจากที่ได้กวาดสายตาไปยังเฮ้อตงและพวกคราหนึ่ง ก็ได้ค่อยๆหันไปยังด้านของเยี่ยจง
ในช่วงเวลาที่ได้ถูกทั้งสองคนนี้จ้องมองมา ทันใดนั้นเยี่ยจงก็รู้สึกได้ว่าในศีรษะของตนเองเกิดอาการชาด้านขึ้นมาสายหนึ่ง เกรงไปทั้งร่างกาย ทันใดนั้นเอง ภายในดวงตาของเขาก็ได้ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาสายหนึ่ง
ทางด้านของทั้งสองคนนี้ เขากลับไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของพลังแม้แต่น้อย แต่ว่าแรงกดดันเขาที่ได้รับมาจากพวกเขาทั้งสองคนนี้ กลับน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
เกรงว่า เส้นทางที่สองคนเลือกเดินนั้น น่าจะเป็นวิทยายุทธ์อีกสายหนึ่ง พวกเขาในช่วงที่มีพลังในขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด ก็มิได้เลือกที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้า แต่เป็นการเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่แปดซานกวานเทียนทงแทน
เพียงแค่มองในข้อนี้ ก็ทราบได้ว่าวิชาลมปราณดาราคล้อยของลัทธิแห่งดวงดาวนั้นมิใช่วิชาธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ทั้งสองคนนี้คงไม่มีทางที่จะฝึกปรือเข้าสู่ขอบเขตของซานกวานเทียนทงได้อย่างแน่นอน
“ นี้ก็คือเยี่ยจงผู้นั้นใช่หรือไม่ ? กล่าวกันว่า เจ้าได้สังหารเสวี่ยเสวียนแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉางั้นหรือ ? อีกทั้งเด็กน้อยเสวี่ยเสวียนผู้นั้นยังอยู่ในระดับซานกวานเทียนทง แต่ว่าก็มิได้จัดอยู่ในระดับที่ยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าปกติธรรมดาจะสามารถต่อกรได้ ……. เจ้าเด็กน้อยไม่เลวเลย หากว่ามิใช่ไม่เหมาะสมแล้วละก็ พวกเราทั้งพี่น้องก็อยากจะลองรับคำชี้แนะดูซักรอบ ตอนนี้ เชิญเถอะ ท่านเจ้าลัทธิได้รออยู่ด้านในแล้ว “ เสียงที่ดังขึ้นมามีลักษณะแหบพร่า ภายในน้ำเสียงมิได้มีความรู้สึกใดๆแฝงไว้เลย แต่ว่าหากฟังเพียงแค่คำพูดก็สามารถที่จะฟังออก ว่าทั้งสองคนนี้ได้ให้ความสำคัญแก่เยี่ยจง
เฮ้อตงพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากที่เขาไปทางด้านของเยี่ยจงด้วยสายตาประหลาด ก็ได้ยื่นมือออกมา คณะทั้งสี่คนก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ตำหนักดาราคล้อยที่บริเวณทางเข้าออก
“ สองท่านเมื่อสักครู่นี้ เป็นผู้คุมกฎลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเรา มีพลังฝึกปรือน่าเกรงขาม ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องเด็กน้อยเหล่านี้เป็นดีที่สุด ต่อให้เป็นตำหนักกองทัพของพวกเราก็ยังไม่กล้าที่จะไปหาเรื้องพวกเขาเลย “ หลังจากที่เดินมาได้สักพัก เฮ้อตงที่อยู่ด้านข้างก็ค่อยเอ่ยปากกล่าวเบาๆ “ ดังนั้น พลังฝีมือของพวกเขาน่าจะจัดอยู่ในขั้นรู้แจ้งพสุธาของระดับซานกวานเทียนทง “
“ ตี้เทียนทง(ขั้นรู้แจ้งพสุธา) “
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้พยักหน้าเห็นด้วย ระดับของหลิงเทียนทง(รู้แจ้งวิญญาณ)ของซานกวานเทียนทง ด้านพลังโดยรวมเรียกได้ว่าสามารถเทียบเท่ากับขอบเขตก่อฟ้าได้เล็กน้อย และระดับตี้เทียนทงนี้ เทียบได้กับขอบเขตก่อฟ้าในความสำเร็จที่มากได้เลย หรือกล่าวได้ว่า มีแต่เพียงยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อฟ้าระดับจุดสูงสุดเท่านั้น จึงจะสามารถที่จะทำลายการป้องกันของทั้งคนนี้ได้
ยอดฝีมือในระดับเช่นนี้ อีกทั้งหากใช้การมองในตอนนี้ของเยี่ยจงแล้วละก็ ก็ยังต้องหวาดเกรงอย่างถึงที่สุด เกรงว่าอย่าว่าแต่รัฐต้าโจวหวังเฉาเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งสามรัฐใหญ่นี้ พลังฝีมือก็มิอาจที่จะสูงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
หลังจากที่ได้เดินเข้ามายังบริเวณทางเข้าตึกอารามใหญ่ แล้วก็ได้มาถึงยังบริเวณทางด้านของห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อเดินมาจนถึงบริเวณนี้ เฮ้อตงและอีกทั้งสองคนก็ได้หยุดลงในเวลาเดียวกัน
หลิงเหว่ยหันไปมองเยี่ยจงแล้วก็ยิ้มแล้วกล่าว “ เยี่ยจง สถานที่แห่งนี้ในยามที่ไร้เรื่องราวแล้วละก็ ต่อให้เป็นบุคคลเช่นพวกเราก็ยังไม่อาจที่จะเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ในวันนี้ท่านเจ้าลัทธิต้องการที่จะพบเจ้าเพียงคนเดียว ดังนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงเดินเป็นเพื่อนเจ้าจนถึงตรงนี้เท่านั้น “
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็พยักหน้าหลายครา หลังจากที่ได้ยกมือขึ้นคารวะผู้อาวุโสทั้งสามท่านแล้ว ก็มิได้กล่าววาจาไร้สาระอันใดต่อ เพียงแต่ค่อยๆเดินเข้าไปยังใจกลางของห้องโถงใหญ่
ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ มิได้มีการตกแต่งที่สวยงามจนเกินไป แต่ก็เป็นเหมือนดั่งท่ามกลางภายในตำหนักอื่นๆก็มิปาน ใหญ่โตไร้ที่เปรียบ ทั่วทั้งสี่ทิศได้จัดตั้งไว้ด้วยสายธารล้อมไว้ ปลูกไว้ด้วยดอกไม้ใบหญ้าไม่น้อย และจากการกวาดสายตาสำรวจของเยี่ยจง ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจ นั้นก็เพราะว่าที่แห่งนี้มีดอกไม้ใบหญ้าที่เป็นดั่งเช่นโอสถล้ำค่าอยู่มากมายไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเพียงดินแดนซีฮ่วงนี้ ลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ยังถึงกับสามารถครอบครองสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้
ในขณะที่เท้าได้เหยียบย้ำเข้าสู่เส้นทางน้อยลึกเข้าไป หลังจากที่เดินไปเข้าไปแล้ว เยี่ยจงก็ได้เดินเข้าไปจนเกือบจะสุดทาง และทางด้านในนั้นเองก็ได้มี ธารน้ำแห่งหนึ่งที่มิได้ใหญ่โตมากนัก
แต่ว่า ในช่วงเวลาที่ได้มองไปธารน้ำ เยี่ยจงก็ต้องกลืนน้ำลายเข้าไปคำหนึ่งพร้อมทั้งกรอกตาคราหนึ่ง ธารน้ำที่เห็นภายในธารน้ำนี้ก็คือ ที่เป็นการรวมตัวของพลังวิญญาณฟ้าดินทั้งจนกลายเป็นสภาพนี้ หรือกล่าวได้อีกอย่างก็คือ ภายใต้ธารน้ำสายนี้ หากว่าเป็นสถานที่ฝึกปรือของยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าแล้วละก็ เช่นนี้ก็นับได้ว่าไม่ได้เล็กอย่างที่เห็นแล้ว
สิ่งที่เป็นธารน้ำวิญญาณนี้ แม้แต่ในดินแดนซานเชียนเซียนเจี่ยก็ยากที่จะพบเห็นได้ คิดไม่ถึงว่าของเช่นสิ่งนี้จะอยู่ภายในลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้
หลังจากที่ได้สัมผัสความบริสุทธิ์ เยี่ยจงก็ได้เบิ่งตามองดูอย่างกะทันหัน ในขณะที่ได้จ้องมองไปยังบริเวณใจกลางของธารน้ำวิญญาณที่แห่งนี้ ณ บริเวณใจกลางที่แห่งนั้น ก็ได้ถูกตั้งไว้ด้วยแท่นศิลา ด้านบนแท่นศิลา ก็ได้มีเงาร่างสายหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ บนร่างของเขาผู้นี้ก็ได้แผ่กระจายรังสีอันแปลกประหลาดออกมา ทำให้ผู้คนที่พบเห็น รับรู้ได้ถึงเส้นแบ่งของพลังความสูงล้ำ
“ ขอบเขตก่อฟ้า ระดับจักรวาล ? “
เมื่อได้เหม่อมองดูคนเบื้องหน้า เยี่ยจงก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงออกมา เยี่ยจงเมื่อชาติก่อนหน้านี้ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งการฝึกยุทธ์ มีพลังฝีมือสูงล้ำ ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะอยู่ในขอบเขตที่มิอาจจะไปได้ถึงขั้นนั้นก็ตามที แต่ว่าก็ยังมีพลังสายตาที่ยอดเยี่ยมอยู่
ในตอนนี้เมื่อมีคนผู้หนึ่งปรากฏเบื้องหน้าสายตาของเขา เห็นได้ชัดเจนถึงพลังที่อัดแน่นกันอยู่นี้ ถือได้ว่าเป็นผู้ที่เข้าสู่ขั้นก่อฟ้าระดับจักวาลแล้ว
พลังฝีมือเช่นนี้ หากกล่าวโดยเยี่ยจงในตอนนี้ ก็เป็นเหมือนดั่งดาวที่อยู่บนฟ้าก็มิปาน ที่ยากจะอาจเอื้อม
“ อ๋อ ? เจ้าถึงกับสามารถมองออกได้ถึงพลังฝีมือของข้าเช่นนั้นหรือ ? “ เงาร่างที่นั่งอยู่บนแท่นหินเมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยจง ก็ได้ยิ้มออกมาคำหนึ่งเบาๆ
เสียงที่ดังออกมานี้ดังวาลไร้ที่เปรียบ แต่ว่าก็เป็นการบ่งบอกถึงความสูงล้ำกว่าถึงจะกระทำได้
ร่างกายของเยี่ยจงได้แข็งทื่อเล็กน้อย ทันใดนั้น ร่างกายก็ได้โค้งคำนับลง กล่าว “ ศิษย์เยี่ยจง น้อมพบท่านเจ้าลัทธิ เมื่อครู่ศิษย์ได้เสียมารยาทแล้ว “
เงาร่างที่อยู่บนแท่นหิน ในตอนนี้ก็ได้ค่อยๆลุกขึ้นมา จากนั้นเขาก็ได้ก้าวเดินออกไป ร่างกายก็ได้มาจนถึงบริเวณด้านหน้าของเยี่ยจง จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวออกมา “ ไม่ต้องมากมารยาทไป เจ้าถึงกับสามารถที่จะมองเห็นพลังฝีมือของข้าได้ ก็ถือเป็นความสามารถของเจ้า เจ้าเงยหน้าขึ้นมาเถอะ “
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้ตัดสินใจที่จะเงยหน้าขึ้นมา และหลังจากนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ว่ามีนัยน์ตาสายหนึ่งที่จ้องมองมาอย่างลึกซึ้งมาที่ตนเอง และดวงตาคู่นั้นเอง ราวกับว่าสามารถมองเห็นถึงความลับที่ตนเองมีอยู่ก็มิปาน
และการสบสายตาในครั้งนี้ผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่เดียว ทันใดนั้นเอง ก็ได้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ แลกจากนั้นเยี่ยจงก็ได้มองเห็นถึงใบหน้าของท่านเจ้าลัทธิแห่งลัทธิแห่งดวงดาวผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
ท่านเจ้าลัทธิผู้นี้สวมไว้ด้วยชุดสีเขียว อายุประมาณห้าสิบปี ใบหน้าอบอุ่นใจดี เพียงแต่ว่าบนร่างกายของเขาผู้นี้ก็มีกลิ่นอายที่เฉพาะเจาะจงของตนเอง ทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงกลัว
“ วิชาลมปราณที่เจ้าฝึกปรือนับได้ว่าไม่เลว มิได้ด้อยไปกว่าวิชาลมปราณดาราคล้อยของลัทธิเราเลย “ เจ้าลัทธิแห่งดวงดาวจ้องมองไปทางด้านเยี่ยจงอย่างดุดัน ยิ้มออกมาแล้วกล่าว
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ค่อยหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย ร่างกายราวกับได้ตัดสินใจที่จะขยับตัวไปในทันที แต่ว่าเขาก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าลัทธิท่านนี้จะกล่าวขึ้นมาเช่นนี้
“ เหอะ เหอะ เด็กน้อยเจ้าอย่าพึ่งได้รีบร้อนไป ถึงแม้เจ้าจะมีวิชาลมปราณที่ไม่เลว แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าก็ไร้ความหมาย ใช่หรือไม่ ? “
“ ข้าทราบว่าร่างกายของเจ้าสมควรที่จะต้องมีความลับบางอย่าง แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นก็ไม่สำคัญ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบในวันนี้ เพียงแต่แค่อยากจะบอกต่อเจ้า …… เรื่องราวในครั้งนี้ เจ้าทำได้ไม่เลวเลย ต่อให้เป็นข้าเองเมื่อสมัยยังหนุ่ม ก็ใช่ว่าจะสามารถที่จะทำได้ดีเช่นนี้ได้ เจ้านับได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว “
ท่านเจ้าลัทธิแห่งลัทธิแห่งดวงดาวจ้องมองไปที่เยี่ยจงด้วยสายตาชื่นชมและเอ่ยปากกล่าว เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขากล่าวออกมานั้นได้กล่าวออกมาจากใจจริง
ท่านเจ้าลัทธิแห่งลัทธิแห่งดวงดาว นามอันหงเจิน เป็นเหมือนดั่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งรัฐต้าโจวหวังเฉานี้ ความข้อนี้เป็นสิ่งเล็กน้อยที่หลิงเหว่ยและพวกได้บอกต่อเยี่ยจง แต่ว่าเยี่ยจงก็คิดไม่ถึงว่า ท่านผู้นี้ ถึงกับสามารถมองออกถึงความลับของตนเองได้
“ แต่ว่า พลังฝีมือขั้นก่อเกิดระดับที่แปดของเจ้า ถึงกับสามารถที่จะสังหารยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่แปดได้ ถึงแม้จะได้หยิบยืมพลังอันมหาศาลจากโอสถระเบิดพลังมา แต่ว่า หากมีคนที่มองเจ้าอย่างตั้งใจ ก็สามารถที่จะมองออกว่าวิชาลมปราณที่เจ้าฝึกฝนมานั้นถือได้ว่าไม่ธรรมดา …… พลังฝีมือของเจ้านั้นไม่เหมาะที่จะมาอยู่ในรัฐต้าโจวหวังเฉาแห่งนี้ ดังนั้นเรื่องราวในวันหน้า คงต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ให้ดี “ อันหงเจินหรี่ตามองดู ก็ได้เอ่ยปากกล่าวทั้งมีความหมายและไม่มีความหมายอยู่
“ แน่นอนว่า ขอเพียงเจ้าเป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวของข้าเช่นวันนี้ มีข้าเจ้าลัทธิอยู่ ก็อย่าได้หวังว่าจะมีผู้ใดกล้าทำอันใดเจ้าได้ เจ้าก็อย่าได้เป็นห่วงจนเกินไปก็พอแล้ว “
เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายนี้แล้ว เยี่ยจงที่ความจริงเกรงไปทั่วทั้งสรรพร่าง ก็ค่อยได้ผ่อนคลายลง และจากนั้นหลังจากที่เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังอันหงเจิน ก็ค่อยยิ้มแล้วตอบ “ ที่ท่านเจ้าลัทธิกล่าวออกมาเช่นนี้ เหมือนกับทำให้ข้าเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งก็มิปาน “
“ แน่นอนว่าเจ้านั้นสำคัญ เรื่องที่เจ้าทำมาทั้งหมดนี้ ได้เป็นตัวบ่งบอกถึงพรสวรรค์และพลังฝีมือแล้ว ดังนั้น ต่อจากนี้เป็นต้นไปถึงแม้จะมิอาจที่จะมอบรางวัลให้เจ้าได้อย่างเปิดเผยก็ตาม แต่ว่าทางสาขาในก็จะเปิดรับให้เจ้ายื่นข้อเสนอต่างๆเพื่อนำไปฝึกปรือ “ อันหงเจินยิ้มออกมา “ แน่นอนว่า การกระทำของเจ้าสมควรที่จะรัดกุมกว่านี้จึงจะถูกต้อง ทอดตามองไปทั่วทั้งแดนดินแห่งนี้ มีผู้มากพรสวรรค์อยู่มากน้อย ขอเพียงมีความหมั่นเพียรพยายามที่ตั้งมั่น จึงจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งยอดฝีมือได้ อีกทั้งสิ่งอื่นๆ ก็เป็นได้เพียงแค่ไม้ดอกที่โรยรินได้ มิใช่หรือ ? “
“ ขอรับ ศิษย์น้อมรับคำชี้แนะ “ เยี่ยจงยกมือคารวะแล้วก้มศีรษะตอบ
“ เอาละ อย่าได้กล่าววาจามากมายเหล่านั้นแล้ว ข้าจะให้เจ้าดูสิ่งของชิ้นหนึ่ง “ อันหงเจินยิ้มออกมา จากนั้นก็เริ่มก้าวเท้านำหน้าออกไป วินาทีที่ได้ยินเสียงที่ดังราวกับเสียงระเบิดออกมาจากท่ามกลางตำหนักใหญ่ จากนั้นทางด้านใต้ธารน้ำก็ได้มีบันไดศิลาขึ้นมา เผยให้เห็นถึงทางเข้า
.
.
.
.