เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 393 การลงมือของบุตรแห่งปราชญ์

ตอนที่ 393 การลงมือของบุตรแห่งปราชญ์

 

บรรยากาศท่ามกลางสนามก็ได้เย็นเยียบลงอย่างมาก ผู้คนทั้งหมดต่างก็สัมผัสได้ โดยเฉพาะเหล่ายอดฝีมือที่มาจากดินแดนหนานฮวง ในตอนนี้ต่างก็กำลังถามตนเอง ว่าพวกเขาทราบถึงความแข็งแกร่งของหุบเขาเมฆาม่วงแค่ไหน มีใครกันบ้างที่กล้าที่จะหาเรื่องคนของหุบเขาเมฆาม่วงกัน? อีกทั้งยังถึงกับสามารถทำให้หนึ่งในผู้พิทักษ์ที่มีความแข็งแกร่งในระดับนี้กลายเป็นพิกลพิการได้? แน่นอนว่าไม่ย่อมกล้า และบุคคลเบื้องหน้าสายตาผู้นี้กลับมีความหาญกล้าได้ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นที่น่าตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด

 

“เจ้า…… “จางเฟยเฉินเกิดโทสะขึ้นมา บนสีหน้าของเขาก็ได้จ้องมองไปทางด้านของเยี่ยจงอย่างเคร่งเครียด ตะโกนกล่าวออกมา : “กล้าทำให้ผู้พิทักษ์ของหุบเขาเมฆาม่วงเราพิการได้ เจ้าคิดที่จะเป็นปรปักษ์กับหุบเขาเมฆาม่วงเราอย่างงั้นหรือ? “

 

เยี่ยจงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง กล่าวออกมาอย่างเกียจคร้าน : “พิการแล้วจะเป็นอย่างไร? เขาก็มิได้เป็นถึงตัวแทนของหุบเขาเมฆาม่วง เจ้าก็ไม่อาจที่จะเป็นตัวแทนได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากมองมาจากสภาพเช่นนี้แล้ว ข้ากลับยิ่งชำระสำนักหุบเขาเมฆาม่วงพวกเจ้าให้สะอาดขึ้น ต่อให้จ้าวหุบเขาของพวกเจ้าได้ยินเรื่องเช่นนี้ ก็ยังคงต้องกล่าวขอบคุณข้าสักคำอีกด้วย

 

ยอดฝีมือมากมายของหุบเขาเมฆาม่วงก็เป็นใบ้ขึ้นมาในทันที จนเกือบที่จะกล่าวอันใดไม่ออก นั้นก็เพราะว่าในตอนนี้องค์หญิงจื่อหวินอยู่ทางด้านหลังเขา ยิ่งเขากำลังจะกล่าวเอาไว้ว่าช่วยหุบเขาเมฆาม่วงชำระสำนัก ราวกับยังสามารถกล่าวออกมาได้อยู่!

 

แต่ว่า ในเมื่อหาญกล้ากล่าวออกมาเช่นนี้ เช่นนั้น “ซิง “ผู้นี้ก็เรียกได้ว่ามีความหาญกล้าเทียบฟ้าแล้ว!

 

จางเฟยเฉินค่อยๆ ที่จะถอนหายใจออกมา กลับคืนสู่ความเยือกเย็น สีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ก็ได้จ้องมองไปที่เยี่ยจง สักพักจึงได้กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา : “เรื่องในวันนี้ผิดถูกยากที่จะแยกแยะ ข้าเองก็ไม่ต้องการที่จะสงสัย หากว่าเจ้าจะขอขมายอมรับผิด จากนั้นก็ให้จับกุมแต่โดยดี แล้วกลับไปยังหุบเขาเมฆาม่วงพร้อมกับข้า เช่นนั้นในช่วงที่ตัดสินความผิดของเจ้า ข้าจะช่วยพูดกับท่านจ้าวหุบเขาให้เอง “

 

“เจ้ายังไม่ตื่นอีกงั้นหรือ? “เยี่ยจงจดจ้องไปที่จางเฟยเฉิน แสดงอารมณ์คล้ายกับมองตัวโง่งมตัวหนึ่ง “ให้ข้าไปยังหุบเขาเมฆาม่วงเพื่อยอมรับผิด? เจ้ายังคิดว่าตนเองเป็นนายน้อยหุบเขาเมฆาม่วงไปแล้วหรือยังไงกัน? “

 

เยี่ยจงแสดงอารมณ์ที่สนุกสนาน จางเฟยเฉินผู้นี้นับตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ ก็เรียกได้ว่ามีความแปลกอยู่เล็กน้อย เขาราวกับคิดว่าตนเองเป็นเหมือนดั่งนายน้อยของหุบเขาเมฆาม่วงก็มิปาน และภายในสายขององค์หญิงจื่อหวิน ที่เป็นเหมือนดั่งสิ่งของทั้งหมดของเขา ดังนั้นเมื่อพบเห็นตนเองและองค์หญิงจื่อหวินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถึงเพียงนี้ เขาจึงได้กระทำออกมาเช่นนี้

 

“ชิ—— “

 

ท่ามกลางห้องโถง พริบตานั้นเองก็ได้มีเสียงของอาการตกใจดังขึ้นมา ในตอนนี้ไม่มีผู้คนกล้าที่จะกล่าวออกมาวุ่นวาย นั้นก็เพราะว่าคำพูดของเยี่ยจงนั้นเรียกได้ว่าแทงใจดำเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนมากแล้วแทบจะเหมือนเป็นการตบไปที่ใบหน้าของจางเฟยเฉินทุกครา แต่ว่า ภายในจิตใจขอคนเหล่านี้ก็ได้เกิดความเคลื่อนไหว เมื่อดูจากการกระทำของจางเฟยเฉินนี้นับตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยที่จะเคยถูกคิดเช่นนี้ด้วยมาก่อน? ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ก็จะเป็นอย่างเช่นเยี่ยจงกล่าวออกมา เขาเป็นเพียงแค่กำลังรบเพียงคนเดียวเท่านั้น มีคุณสมบัติอันใดที่จะสามารถเป็นตัวแทนของหุบเขาเมฆาม่วงได้

 

สีหน้าขององค์หญิงจื่อหวินในตอนนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นเย็นเยียบขึ้นมาหลายส่วน คำพูดนี้ของเยี่ยจงถึงแม้จะเสียดแทงจิตใจ แต่ว่าสายตาของนางที่ได้มองเข้าไปยังร่างกายของจางเฟยเฉิน ราวกับต้องการที่จะมองให้ชัดเจน ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเขาเมฆาม่วงผู้นี้ ที่แท้ภายในใจกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่

 

“สหาย คำพูดและการกระทำ ยังต้องอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน และการกระทำในทุกๆ อย่าง ท้ายที่สุดมีแต่จะทำให้ตัดหนทางถอยของตนเองเท่านั้นเอง “หลังจากนั้นจางเฟยเฉินจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง เอ่ยปากขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

ในตอนนี้สีหน้าของเขาก็ได้ปั้นยากขึ้นมาอยู่หลายส่วน ถึงแม้ว่าเขาจะมีความจงรักภักดีต่อหุบเขาเมฆาม่วง เนื่องจากความสัมพันธ์กันทางสายโลหิตกับเขา ก็ยังถือได้ว่าเป็นความลับที่ยากจะทราบกันได้ แต่ว่าแน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดคิดที่จะเอ่ยความข้อนี้ออกมา แต่ว่า ตอนนี้เพียงแค่ “ซิง “เพียงคนเดียวกลับทำให้เรื่องเช่นนี้บานปลายต่อหน้าผู้คนมากมายถึงขนาดนี้ เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกันแน่? เขามีคุณสมบัติใดกันที่คิดว่าตนเองสามารถสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของหุบเขาเมฆาม่วงกัน?

 

“เหลือหนทางงั้นหรือ? “เยี่ยจงยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา รอยยิ้มนี้น่าดูอย่างยิ่ง “นับตั้งแต่เริ่มจวบจนตอนนี้ ข้ายังไม่เคยที่จะลงมือต่อพวกเจ้าเหล่าสุนัขหุบเขาเมฆาม่วงก่อนเลยมิใช่หรอกหรือ? นับตั้งแต่ต้น ก็เป็นพวกเจ้าเองที่เสนอหน้ากันเข้ามาเอง ในช่วงเวลาที่อยู่ที่หอสวรรค์ ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ตนเองไม่มีสายตาที่ดี กับเดินเข้าหาเหยียบหนามเหล็กเอง ยังจะโทษว่าหนามเหล็กแข็งเกินไปงั้นหรือ? เจ้าคิดว่าตนเองเป็นอะไรกัน? เป็นเทพยดางั้นหรือ? ทั่วทั้งดินแดนต่างก็ต้องหันมามองที่เจ้างั้นหรือ? เจ้าพูดอะไรก็จะเป็นไปตามนั้นเช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนว่า หลายปีมานี้เจ้าจะยังไม่เคยตกระกำลำบากมาก่อน ทำให้เจ้าเข้าใจผิดไป คิดว่าตำแหน่งจ้าวหุบเขาในวันข้างหน้าของหุบเขาเมฆาม่วง จะตกไปอยู่ในมือของเจ้าอย่างงั้นสินะ! พวกเจ้าเมื่อคนของตนเองถูกลงมือ นั้นก็คือความอดทน ผู้อื่นคิดจะเอาคืน ก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ผิดงั้นหรือ? “เยี่ยจงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ และยังแฝงเอาไว้ด้วยเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา สีหน้าไม่แยแสสนใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันและเหยียดหยาม

 

จางเฟยเฉินก็ได้มีสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมาในทันที กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ซิง นับจากตั้งที่เจ้าปรากฏตัวขึ้นมาอาณาจักรเหลียน กลับหาญกล้าทำตัวอย่างไร้เหตุผล คิดว่าตนเองนั้น ทำร้ายสหายร่วมแนวแห่งดินหนานฮวงของเราได้……วันนี้ ข้าจะเป็นตัวแทนของยอดฝีมือชาวหนานฮวง ทวงความเป็นธรรมมาให้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าในตนนี้เป็นอยู่ในฐานะศัตรูกันหุบเขาเมฆาม่วง ต่อให้มิใช่ ข้าจะเป็นตัวแทนออกหน้าแทนคนของดินแดนหนานฮวงข้าให้เอง! “

 

“คนเช่นเจ้านี้ทำไมถึงจู้จี้จุกจิกขนาดนี้กัน? วางมาดดูภูมิฐาน วาจาไร้สาระกลับมีดั่งท้องฟ้า คิดจะลงมือก็ขึ้นมา ถ้าหากกลัวแล้วละก็ ก็ไสหัวไปซะ! มีคำพูดไร้สาระมากมายมาจากที่ไหนกัน!? “เยี่ยจงไม่แยแสอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ไว้หน้าจางเฟยเฉินแม้แต่น้อย เหมือนดั่งกำลังตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขาอีกครั้ง

 

“ที่แท้ก็มีคุณลักษณะของสุดยอดอันดับหนึ่ง! “มีคนกล่าวออกมาด้วยอาการตื่นตกใจเสียงแผ่วเบา ในตอนที่เสียงนั้นดังออกมา การกระทำของ “ซิง “ผู้นี้ก็ช่างเป็นความเผด็จการเหนือเผด็จการเสียอีก แต่ว่าทำดูมีอำนาจและเด็ดขาด ท่วงท่าไร้ขีดจำกัด ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเย้ยมองสวรรค์อยู่หลายส่วน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดที่ไร้ความหวาดกลัว

 

มีคนไม่น้อยที่คล้อยตาม นั้นก็เพราะว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ท่าทีของเยี่ยจงกลับเป็นที่น่าตกใจมากนัก จนทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะนำตนเองไปเทียบเคียงได้ และจางเฟยเฉินผู้นั้นกลับกลายเป็นเหมือนดั่งมีนิสัยคุณหนูคุณชายอยู่เล็กน้อย กล่าววาจาวกวนไปมา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลงมือ มิคล้ายดั่งลูกผู้ชาย

 

สีหน้าของจางเฟยเฉินก็ได้ตกอยู่ในอาการครุ่นคิดขึ้น ท่าทางอันองอาจของเขา อีกทั้งยังมีการกระทำเช่นนี้ ที่ถูกเรียกขานให้ว่าเป็นประดุจบุตรแห่งปราณช์จากดินแดนหนานฮวง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับถูกเยี่ยจงกดลงไปเช่นนี้ ทำให้เขาเกิดความชอกช้ำจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา

 

“เยี่ยม! เยี่ยม! เยี่ยม! สุดยอดอันดับหนึ่ง ซิง ถึงกับมีพลังอำนาจที่อยู่เกินกว่าธรรมดา เพียงแต่น่าเสียดาย น้ำตั้งแต่โบราณกาลมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะท้าทายหุบเขาเมฆาม่วงข้า……ต่อให้ในวันนี้ที่ด้านหลังของเจ้ามี องค์หญิงจื่อหวินของหุบเขาข้าอยู่ ข้าจะทำให้เจ้าพิการ แล้วนำเจ้ากลับหุบเขาไป ให้ท่านจ้าวหุบเขาจัดการลงโทษ! “

 

“จางเฟยเฉิน เจ้ามีคุณสมบัติทำเช่นนี้ได้อย่างงั้นหรือ? “สีหน้าองค์หญิงจื่อหวินทอแววเย็นเยียบอย่างถึงที่สุด อีกทั้งน้ำเสียงยังเย็นเยียบอย่างยิ่ง

 

จางเฟยเฉินไม่มองนาง เพียงแต่หันกายกลับไป มองเข้าไปยังบริเวณฝั่งทางด้านของสำนักหวูหว่าง หัวเราะออกมาแล้วกล่าว : “น้องหยิน ไม่คิดจะลงมืองั้นหรือ? เอาให้เด็กน้อยผู้นี้พิการ เจ้าสมควรที่จะมีความสุขมากสินะ? “

 

ผู้คนมากมายต่างก็กล่าวอะไรไม่ออกในเวลาเดียวกัน จางเฟยเฉินผู้นี้ตอนนี้ก็เหมือนถูกตบหน้าไปแล้วหลายครา อีกทั้งยังหน้าด้านหน้าทน ด้วยสถานะเยี่ยงเขา ถึงกับยังคิดที่จะลงมือพร้อมกับผู้อื่น ทำให้ผู้คนต่างก็อับจนวาจา

 

อัจฉริยะอันดับสองของสำนักหวูหว่างหยินจวอตอนนี้ก็ได้กลืนโอสถปราณเข้าไปเม็ดหนึ่ง สีหน้าเริ่มที่จะดูดีขึ้นมาหลายส่วน หลังจากที่ได้ยินคำพูดจากจางเฟยเฉิน เขาก็ได้ก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นดุร้ายขึ้นมา ตามความจริงแล้ว การที่ถูกเยี่ยจงทำลายแขนข้างหนึ่งจะพิการ เขาคงจะต้องยอมยุติข้อพิพาทลงแต่เพียงแค่นี้ ในตอนนี้ในเมื่อมีจางเฟยเฉินชักนำ เขาย่อมไม่เกรงอกเกรงใจอยู่แล้ว

 

นอกจากในตอนนี้แล้ว ยอดฝีมืออีกทางด้านหนึ่งของหุบเขาเมฆาม่วงในตอนนี้ก็ได้มีสีหน้าเย็นเยียบลุกขึ้นยืน พวกเขาต่างก็ถือได้ว่าเป็นพวกเดียวกันกับจางเฟยเฉิน ในตอนนี้ในเมื่อมีปัญหาต่อกัน ก็จำเป็นที่จะต้องลงมือ ไม่อาจที่จะเอาแต่มองดูเยี่ยจงทำตัวบังอาจต่อไปได้อีกต่อไป

 

“เด็กน้อยอีกหลายคนของสำนักหวูหว่างก็ขึ้นมาพร้อมกันเถอะ ดีเสียกว่าปล่อยให้ข้าต้องมาหาข้ออ้างในการจัดการกับพวกเจ้าอีก “เยี่ยจงโบกสะบัดเสื้อคลุมสีขาวพลิ้วไหว โพยพัดไปตามลม ตอนนี้เขาก็ได้ก้าวเดินออกไป ด้วยท่าทีที่ดูสูงส่ง สีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง ประดุจดั่งเทพเจ้าหนุ่มก้าวเข้ามายังแดนมนุษย์ก็มิปาน จนทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะสบตามอง

 

“พี่ใหญ่ซิง…… “องค์หญิงจื่อหวินกล่าวออกมา ด้วยสีหน้าลังเล

 

“เป็นไร “เยี่ยจงหันหน้ากลับมายิ้มตอบ จากนั้นก็มองไปยังองค์หญิงเหลียนหลงหลิงคราหนึ่ง แล้วก็กล่าวออกมาด้วยคำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงขออภัย “ฝ่าบาท วันนี้อย่างน้อยคงจะต้องทำให้ห้องโถงใหญ่เกิดความเสียหายแล้ว ยังไงก็ต้องขออภัยเอาไว้ด้วย “

 

เหลียนหลงหลิงงงงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดที่จะหัวเราะแล้วพยักหน้าออกมามิได้ ตนที่เป็นถึงเจ้าของงาน ฉากที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาไม่ทราบว่าควรให้นางกล่าวอย่างไร? ก็คงจะมีแต่เพียงไม่กล่าวอันใดจึงถือได้ว่าเป็นดีที่สุด

 

“ซูม—— “

 

ยอดฝีมือที่หลงเหลืออีกหลายคนของสำนักหวูหว่างในตอนนี้ก็ได้ก้าวออกมาทางด้านหน้า มุ่งหน้าเข้าไปทางด้านของเยี่ยจงในเวลาเดียวกัน เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ก็ช่างบังอาจจนเกินไปแล้ว

 

บนใบหน้าของจางเฟยเฉินก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา จากนั้นเขาก็ได้เหม่อมองเข้าไปทางด้านของเยี่ยจง กลับคืนสู่ท่าทางอันทรงสง่าขึ้นอีกครั้ง กล่าวออกมาอย่างเย็นชา : “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้หุบเขาเมฆาม่วงข้าก็จะขอร่วมมือกับสำนักหวูหว่าง ฆ่าสังหารสุดยอดอันดับหนึ่งผู้นี้ที่ทำให้ดินแดนหนานฮวงเราเกิดราคี! “

 

วินาทีนั้นเอง จางเฟยเฉินโบกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง แล้วก็ได้พบเห็นความวุ่นวายปรากฏขึ้นมาภายในพริบตานั้นในทันที สิ่งที่ดูวุ่นวายนี้ทอเป็นประกายกระจ่างสว่างไสว จนปกคลุมไปทั่วทั้งห้องอยู่ภายในโถงในทันที

 

ในขณะนี้เอง ยอดฝีมือทั้งหมด รวมไปทั้งชิงหญิง โหยวเหลียนเป็นต้นต่างก็ได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว นั้นก็เพราะไม่ว่าผู้ใดก็มองออกว่า จางเฟยเฉินนี้ได้เตรียมที่ลงมือด้วยพลังที่รุนแรงออกมาแล้ว และ “ซิง “ก็ถือได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ย่อมไม่มีใครที่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขา

 

“ตูม—— “

 

แล้วก็ได้มีเสียงดังขึ้นมา แต่ว่าในขณะนี้เอง ผู้คนทั้งหมดต่างก็ถูกกักขังเอาไว้ จนยากที่จะขยับเคลื่อนไหว ประดุจถูกผนึกเอาไว้อยู่ในพื้นที่เดิมก็มิปาน

 

นอกจากชิงหญิง โหยวเหลียนและพวกส่วนน้อยหลายคนต่างก็ทอประกายตาคมกล้าขยับเคลื่อนไหวไปมาเล็กน้อย มีผู้คนอยู่หลายคนบนใบหน้าต่างก็ได้ปรากฏความตกใจและความหวาดกลัว นั้นก็เพราะว่าพวกเขานั้นไม่มีความสามารถพอที่จะทำลายผนึกเช่นนี้ได้

 

“จางเฟยเฉิน หุบเขาเมฆาม่วงพวกเจ้าคิดที่จะทำอะไรกัน? คิดที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้คนทั้งหมดงั้นหรือ? “

 

“นี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ทำไมพลังภายในร่างกายของข้าถึงได้ถูกกักขังเอาไว้ได้กัน? “

 

ยอดฝีมือมากมายต่างก็เกิดอาการตกใจขึ้นมา จากนั้นก็ได้มองเข้าไปทางด้านที่เป็นประดุจหอคอยขนาดเล็กที่ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ ราวกับทุกผู้คนต่างก็พอที่จะเข้าใจได้ ว่าหอคอยขนาดเล็กนั้นย่อมต้องเป็นสมบัติเซียนอย่างแน่นอน

 

“จางเฟยเฉิน ดูเหมือนว่าข้าจะดูแคลนเจ้าไปแล้ว! ในเมื่อแม้แต่สิ่งของชิ้นเช่นนี้เจ้าก็ยังสามารถนำออกมาใช้ได้! “องค์หญิงจื่อหวินทอสีหน้าเย็นชาขึ้นมาอย่างยิ่ง นางย่อมต้องทราบถึงอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน

 

“ฝ่าบาทอย่าได้เป็นห่วงไป ทว่าเป็นคำสั่งจากท่านจ้าวหุบเขาให้ข้าคอยคุ้มครองฝ่าบาทจากภยันตรายทั้งปวง ดังนั้นจึงค่อยได้ใช้ออกมาด้วยวัตถุชิ้นนี้ช่วงคราวเท่านั้น วัตถุนี้ยังไงเสียก็ยังเป็นของฝ่าบาท ข้าในตอนนี้ก็เพียงแค่หยิบยิ้มมาใช้เท่านั้น เพื่อที่จะทำการสังหารปีศาจที่ล่อลวงฝ่าบาทก็เท่านั้น! “จางเฟยเฉินยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา ภายในรอยยิ้มนั้นสงบเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศที่รู้สึกว่าอยู่เหนือกว่าเอาไว้ชนิดหนึ่ง

 

“บังอาจ! สามหาว! “องค์หญิงจื่อหวินส่งเสียงเย็นเยียบออกมา

 

จางเฟยเฉินหัวเราะขึ้นมาเสียงเบา มิได้ต่อล้อต่อเถียงอันใดด้วย เพียงแต่ทอดสายตามองเข้าไปทางด้านของเยี่ยจงด้วยแววตาเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม

 

“ท่านบุตรปราชญ์ เรื่องในครั้งนี้มิได้มีความเกี่ยวข้องกับข้าหรอกนะ? แล้วทำไมต้องมากักขังพวกข้าไปด้วยกัน!? “

 

“เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในของแดนซีฮวงและหนานฮวงของพวกเจ้า มีอันใดเกี่ยวข้องกับแดนตงฮวงกัน? “

 

มีคนไม่น้อยเอ่ยปากติดต่อกัน ทั้งหมดต่างก็ไม่คิดที่จะถูกฆ่าโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย

 

“เหอะ ทุกท่านไม่จำเป็นต้องตกใจไป นี้มิได้มีความเกี่ยวข้องกับทุกท่าน เพียงแต่ว่าเมื่อได้ใช้ออกมาแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจที่จะควบคุมพลังอำนาจของวัตถุนี้ได้ก็เท่านั้น จึงได้ทำการกักขังไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ ต้องขออภัยเอาไว้ด้วย ไว้ข้าจะส่งทุกท่านออกไปก่อนก็แล้วกัน “จางเฟยเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขานั้นมีสีหน้าที่เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่ากลับไม่มีผู้คนที่เชื่อว่าเขาจะสามารถควบคุมวัตถุนี้ได้ ในตอนนี้เขาเหมือนกับกำลังข่มขู่ อีกทั้งยังบอกกับผู้คนทั้งหมด หากว่าเขาต้องการ สามารถที่จะสังหารผู้คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ก็ยังได้

 

“ตูม—— “

 

ประกายแสงความวุ่นวายก็ได้สว่างวาบขึ้นมา คนอื่นๆ ในตอนนี้ต่างก็ได้ถูกส่งออกไปจำนวนมาก ร่างกายกลับคืนสู่ความเป็นอิสระ และสายตาที่มองมาของจางเฟยเฉิน ก็ได้ทอดมองเข้าไปยังบนบริเวณของเยี่ยจง

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-11 ราคา 600

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ INBOX ในเพจเลยครับ

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset