เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 424 ร่างเทวะร่างศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 424 ร่างเทวะร่างศักดิ์สิทธิ์

 

“ก็อย่างข้างั้นหรือ ” ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะกล่าวออกมาอย่างเย็นชาอย่างยิ่ง สีหน้าทอแววตาเย็นชาออกมา ภายในแววตาได้แฝงเอาไว้ด้วยประกายรังสีสังหารอย่างมาเก็บซ่อนเอาไว้แม้แต่น้อย “ภายในดินแดนแห่งนี้ ผู้อ่อนแอจะกลายเป็นอาหารของผู้เข้มแข็ง ผู้แข็งแกร่งถือเป็นที่สุด เจ้าก็เป็นแค่เพียงผู้ฝึกปรือระดับล่างอันกระจ้อยร่อยเท่านั้นเอง ข้าสามารถที่จะฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถือได้ว่าเป็นโชคดีของเจ้า หากว่าเจ้าไม่รู้จักประมาณตนเองแล้วละก็ ก็ไปตายเสียเถอะ!”

 

หลังจากที่สิ้นเสียง ทันใดนั้นราชาวานรร้ายเพลิงเทวะก็ได้แสยะยิ้มขึ้นมา กระบองเหล็กใหญ่ก็ได้กวาดออกมาในทันที มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่ หมายจะบดบี้เขาให้ตายลง

 

เยี่ยจงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา พริบตานั้นเขาก็ได้ถอยกายไปทางด้านหลัง ตอนนี้ทั้งซ้ายขวาไม่มีคนอื่น เขาความจริงไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บซ่อนพลังฝีมือแม้แต่น้อย วินาทีนั้น ก็ได้พบเห็นกับทะเลใหญ่กว้างสุดลูกหูลูกตาผืนหนึ่งปรากฏบริเวณทางด้านหลังของเยี่ยจง ท่ามกลางความกว้างใหญ่ ก็ได้มีวงล้อมขนาดสูงใหญ่ขึ้น มีขนาดใหญ่อย่างถึงที่สุด ประกายสีทองวงหนึ่งประดุจแสงจันทร์ทราสาดทอประกายพลังเทวะออกมาอย่างลึกล้ำ

 

ในขณะนี้เอง พลังฝีมือของเยี่ยจงก็ได้พุ่งสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และราชาวานรร้ายเพลิงเทวะนั้นหลังจากที่ได้เข้ามาภายในเขตแดน ระดับความเร็วของมันก็ได้ถูกลดทอนต่ำลงไปนับสิบเท่า

 

และในเวลาเดียวกันนี้เอง ก็ได้ก่อเกิดพลังกดดันอันน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแผ่กระจายออกมาในตอนนี้ จนทำให้ร่างกายที่เหลืออยู่แต่ละส่วนของราชาวานรร้ายเพลิงเทวะถูกผนึกเอาไว้

 

บริเวณทางด้านหน้า เยี่ยจงบีบมือใช้ออกมาด้วยตราผนึกนภาออกมาอย่างช้าๆ มุ่งหน้าเข้าสังหารไปทางด้านหน้า

 

“เป็นไปได้ยังไงกัน!?”

 

ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะโกรธจัดขึ้นมา พลังฝีมือของตนเองถึงกับถูกปิดผนึกเอาไว้ ได้แต่เพียงลืมตามองไปยังฝ่ามือที่ฟาดเข้ามาของฝ่ายตรงข้าม

 

“ไม่——”

 

พริบตานั้นราชาวานรร้ายเพลิงเทวะก็ตรวจพบได้ถึงรังสีสังหารอันลึกล้ำของเยี่ยจงได้ มันหันกายไปในทันที หมายจะหลบหนีออกไป นี้เปรียบเสมือนมิใช่การต่อสู้และหลบหนี หากกล่าวว่าเป็นถึงราชาปีศาจผู้หนึ่ง กลับต้องมาได้รับความอับอายอย่างประหลาดเช่นนี้ แต่ว่าเขาก็ยังคงมีความสามารถที่จะสัมผัสได้ชนิดหนึ่ง หากว่าตนเองไม่ถอยไปแล้วละก็ วันนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน

 

“ข้าในเมื่อได้ลงมือโดยที่ไม่ได้เก็บงำพลังเอาไว้แม้แต่น้อยอีกแล้ว เจ้ารู้สึกว่ายังจะหลบหนีไปได้อย่างงั้นหรือ?” สีหน้าของเยี่ยจงเย็นเยียบอย่างถึงที่สุด ภายในดวงตาก็ได้ปะทุรังสีฆ่าฟันออกมา จนช่วงที่ใช้ออกมาด้วยแสงจันทร์ส่องขึ้นสู่ผิวสมุทรและฟาดออกไปด้วยตราผนึกนภาออกไป เขาก็ได้ตัดสินใจขึ้นมาได้ จะต้องจัดการสังหารราชปีศาจตนนี้ในที่แห่งนี้แล้ว

 

ภายในดวงตาของราชาวานรร้ายเพลิงเทวะก็ได้ทอความหวาดกลัวขึ้นมา เมื่อเยี่ยจงได้เข้ามาใกล้ เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงกายเนื้อของตนเองเริ่มที่จะแตกออกจากกัน เหมือนกับมีพลังเทวะจารึกเข้ามายังภายในร่างกายของเขา

 

“ไม่——”

 

ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะกรีดร้องออกมา สมบัติปราณหลายชิ้นก็ได้ลอยออกมาจากภายในร่างกายในเวลาเดียวกัน แต่ว่าทันใดนั้นก็ได้ถูกทำลายลงไป

 

ตอนนี้ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์เบื้องหน้าสายตากลับสามารถครอบครองบทคัมภีร์โบราณเอาไว้ได้ แผ่กระจายบรรยากาศพลังที่สามารถผนึกทั้งฟ้าดินออกมา ความน่าหวาดกลัวเช่นนี้เกรงว่าคงยากที่จะคาดคิดเอาไว้ได้อย่างถึงที่สุด จนทำให้พลังปราณทั้งหมดและทักษะยุทธ์เป็นต้น ก็เป็นได้แค่เพียงเศษไม้ก็มิปาน

 

“นี้เป็นไปได้ยังไงกัน!? เพียงแค่เผ่ามนุษย์! เป็นไปได้ยังไงกัน!?” ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะตะโกนออกมา ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า เพียงแค่เผ่ามนุษย์จะสามารถมีพลังการสู้รบที่สูงล้ำได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่ทันจะใช้อุปกรณ์ใดๆ ก็ยังถึงกับมีพลังกดดันอันมหาศาลเช่นนี้ได้ ในเวลาเดียวกันยังไม่ทันได้ใช้ออกมาด้วยศาตราวุธที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน เด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ อย่างน้อยก็คงจะต้องเป็นบุคคลที่มีพลังฝีมือที่สูงที่สุดที่มาจากภายนอกเลยก็ว่าได้

 

“ไม่ถูกต้อง ทางด้านหลังของเจ้านั้นทั้งมิใช่ทักษะยุทธ์ แล้วก็มิใช่ทักษะเซียน……นั้นมัน พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ!!! เจ้า ถึงกับสามารถใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ ที่เปรียบเสมือนร่างเทวะในตำนาน!?” ทันใดนั้น ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะก็ประดุจเข้าใจอันใดขึ้นมาได้ก็มิปาน ทอสีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมา ร่างเทวะในตำนาน มีพรสวรรค์เป็นที่น่าสั่นสะเทือน และมีความใกล้ชิดกับสัจธรรม จนสามารถที่จะใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ นี้มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้

 

“อย่า——อย่าได้ ข้าจะบอกความลับของสถานที่แห่งนี้ต่อเจ้าทั้งหมด ข้าจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างต่อเจ้า อย่าได้!” ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะในที่สุดก็ได้เกิดความหวาดกลัว ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะต้องถึงกับมาพบพานกับร่างเทวะในตำนาน สิ่งนี้ราวกับมิใช่สิ่งที่จะสามารถคาดคิดเอาไว้ได้

 

“ร่างเทวะงั้นหรือ?” เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ แต่ว่าเขาตอนนี้กลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เพียงแต่ใช้ออกมาด้วยพลังตราผนึกฟ้า จนเขาฟาดรอยตราบนฝ่ามือลงไป ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะทั่วทั้งร่างก็ได้มีเสียงดังเพียะเพียะขึ้นมา จนท้ายที่สุดกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อแหลกเหลว ตายจนไม่อาจที่จะตายไปได้อีก

 

“เจ้านี้มันบ้าไปแล้ว……” เสียวหลุนกำลังพึมพำออกมา เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทราบจะกล่าวอันใดออกมาได้อย่างถึงที่สุด เราชาปีศาจตนหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากถึงกับถูกเยี่ยจงสังหารลงไปเช่นนี้ เด็กน้อยผู้นี้ก็ช่างมีคุณลักษณ์ไร้ผู้ต้านอยู่ชนิดหนึ่งอย่างแท้จริง

 

“พลังทำลายของพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ ถึงกับเหนือความคาดหมายได้ถึงเพียงนี้เชียว ” เยี่ยจงขมวดคิ้ว กำลังครุ่นคิด เมื่อครู่ในขณะนั้น เขาไม่แต่เพียงปะทุพลังฝีมือขึ้นมาไม่รู้กี่เท่า อีกทั้ง ถึงกับเป็นครั้งแรกที่ใช้ออกมาด้วยตราผนึกนภาที่มีพลังจนถึงในระดับนี้ได้ ตอนนี้เขาก็ได้สัมผัสอย่างละเอียดขึ้นมา ตนเองก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาหลายส่วน

 

“พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะเดิมทีก็มีพลังที่ไม่ธรรมดาและพลังไม่สูญสลายแล้ว นับแต่โบราณกาลมา มีเพียงร่างเทวะในตำนาน จึงจะสามารถใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะที่แท้จริงได้……หากว่าพลังการต่อสู้ไม่แข็งแกร่งพอ คิดว่ามันเหมาะที่จะใช้เรียกขานว่าร่างเทวะอย่างงั้นหรือ?” เสียวหลุนพึมพำขึ้นมา ภายในน้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ไม่ทราบจะกล่าวอันใดตอบกลับมา

 

“งั้นอันใดคือร่างเทวะกัน?” เยี่ยจงขมวดคิ้ว เขาทราบว่าตนเองนั้นมีร่างหกวิถี แต่ว่ากลับยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับร่างเทวะมาก่อน

 

“ร่างเทวะทั้งมวลนั้น ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ที่ไร้ผู้ต้านในดินแดน เป็นระดับที่สูงจนไม่อาจเอื้อมถึง ตามคำเล่าขานของแดนเทพ ก็ได้มีกันกล่าวถึงร่างเทวะเทพเอาไว้อยู่……เพียงแต่ว่าร่างเทวะนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ยากจะไขว่คว้าได้ ร้อยพันปีที่ผ่านมา ในหมู่คนพันหมื่น (ร้อยล้าน) คน ก็ใช่ว่าจะมีการปรากฏตัวขึ้นของร่างเทวะแม้ซักร่าง แต่ว่าในทุกๆ ร่างเทวะที่ปรากฏขึ้นมา สามารถกล่าวได้ในมุมมองของอัจฉริยะในยุคสมัยนั้น ก็ไม่แตกต่างจากความพินาศชนิดหนึ่ง เพราะว่าเมื่อมีร่างเทวะปรากฏขึ้นมา เข่นฆ่าไปทั่วทั้งโลกหล้า ” เสียวหลุนถอนหายใจออกมาอย่างแรง กล่าวออกมาถึงความลี้ลับเหล่านี้

 

เยี่ยจงครุ่นคิด หลังจากนั้น เขาจึงค่อยกล่าวออกมาจากมุมปากว่า: “เจ้าหลอกข้า เจ้าบอกว่าร่างเทวะในพันปีจะพบได้สักครั้ง แล้วยังจะมาบอกอีกว่ามีแต่เพียงร่างเทวะที่จะสามารถใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะได้ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าบอกนะว่า ที่เยว่จิ่งใช้ออกมาก่อนหน้านี้ ก็อยู่ในร่างเทวะแล้ว?”

 

“เจ้าคิดพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะนั้นเป็นอะไรไปแล้ว?” เสียวหลุนหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะที่แท้จริงนั้น ต่างก็ถือได้ว่าเป็นตำนานเพียงแค่ไม่อย่างที่ยังไม่ชัดเจน ส่วนแม่สาวน้อยนั้นที่สามารถใช้ออกมาด้วยกาลแสงจันทราผู้นั้น อย่างน้อยก็คงจะต้องฝึกปรือเคล็ดวิชาลี้ลับบางอย่างมาอย่างแน่นอน เช่นนั้นจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นพลังเปลี่ยนแปลงเทวะได้อย่างงั้นหรือ? หากกล่าวอย่างฝืนใจสักหน่อยแล้วละก็ ก็เพียงแค่ระดับการเปลี่ยนแปลงเทวะเท่านั้น ”

 

“ถ้ากล่าวเช่นนี้ นางก็คงจะมิใช่ร่างเทวะแล้วสินะ?” เยี่ยจงทอแววตาประหลาดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

“ย่อมต้องมิใช่อยู่แล้ว ” เสียวหลุนส่งเสียงชิชิชะชะออกมา “แม้แต่เจ้าเองก็ยังมิใช่ร่างเทวะ แต่ก็ยังเป็นที่น่าคิดอยู่หลายส่วนเหมือนกัน……กระนั้น ภายในภาพความทรงจำของข้า ร่างเทวะที่อยู่ภายในแดนเทพนั้น กลับมิใช่พลังของร่างหกวิถี……แต่ว่า เจ้ากลับมีร่างกายที่แข็งแกร่งและน่าหวาดกลัวจนเกินไป หลังจากที่จะกระทำเรื่องอย่างกายเนื้อสูงสุดคืนสู่สามัญนับร้อยครั้งไปแล้ว เข้าถึงขอบเขตกายเนื้อไม่สูญสลายสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นระดับพลังที่ร่างทองคำไม่สูญสลายอีก ตอนนี้มีแต่เพียงมองว่ายังเป็นเพียงแค่พลังกาลแสงจันทราของพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะได้เท่านั้น……”

 

เมื่อกล่าวจนถึงตรงนี้ เสียวหลุนครุ่นคิดขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมาต่อ: “หรือว่าจะเป็น เจ้าจะจัดอยู่ในระดับร่างกายของตำนานนั้นกันนะ?”

 

“ระดับร่างกายอันใด?” เยี่ยจงขมวดคิ้ว สิ่งที่กล่าวออกมานั้นยิ่งกล่าวออกมาด้วยยิ่งสร้างความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ในสมัยก่อนครั้งโบราณกาล มีการปรากฏขึ้นมาอยู่หนึ่งคน มีพลังฝีมือที่สามารถกดดันร่างเทวะจากแดนเทพที่มีชื่อว่าร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่ ” เสียวหลุนกล่าวออกมาพร้อมกับความลังเลอยู่หลายส่วน ภายในน้ำเสียงที่เคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

 

“ร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่ ” เยี่ยจงครุ่นคิด สิ่งนี้เหมือนกับว่าเขาเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ว่า หากเป็นประดุจดั่งในตำนานก็มิปาน ท่ามกลางครั้งโบราณกาลที่ถูกเล่าขานสืบทอดกันมา ราวกับเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ เพราะว่าหลังจากนั้นยังไม่เคยมีการปรากฏขึ้นมาอีกมาก่อน จึงเป็นได้แต่เพียงคำเล่าขานเท่านั้น

 

“หากว่าเจ้าเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่จริงแล้วละก็ เช่นนั้นเกรงว่าทั่วทั้งฟ้าดินคงจะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นจริงแล้ว ” เสียวหลุนกล่าวพึมพำออกมา ภายในคำพูดยิ่งมาก็ยิ่งประหลาดขึ้น “หากนับตามบันทึกในโบราณกาล หากว่ามีการปรากฏขึ้นมาของสิ่งนี้ ซึ่งมีระดับร่างกายที่มีพลังกดดันมากที่สุดนับตั้งแต่มีการปรากฏขึ้นมาจากโบราณกาลแล้วละก็ เช่นนั้น ในช่วงเวลานี้คงจะต้องกลายเป็นช่วงกลียุคครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์แล้วอย่างแน่นอน ในเวลานั้นเอง ยอดฝีมือทุกคนจะรวมตัวกัน ร่างเทวะก็จะปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน จนกลายเป็นศึกสงครามการแย่งชิงที่น่าหวาดกลัวที่สุดแห่งยุค……ทว่า จากที่ข้ามองเจ้าหนูอย่างเจ้าแล้ว ยังไงเสียก็ยังคงไม่มีคุณสมบัติความสามารถพอที่จะเปิดศึกสะท้านฟ้าดินครั้งใหญ่ได้หรอกนะ?”

 

เยี่ยจงทอใบหน้าดำคล้ำขึ้นมา สิ่งนี้เหมือนกับคำลวงที่ยิ่งกล่าวออกมาก็ยิ่งลี้ลับยิ่ง จนเกือบที่ตนเองจะหลงกลเข้าไปในวังวน

 

“ร่างหกวิถี ก็คือตำนานของร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่? แล้วก็มิได้มีเพียงแค่นี้ด้วยสิ……” เสียวหลุนยิ่งกล่าวก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น อดไม่ได้ที่จะตัดบทไปเพียงแค่นี้

 

เยี่ยจงแบะมุมปากออกมา หลังจากนั้นก็ได้ครุ่นคิด จึงค่อยได้กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “ไม่ว่าข้าจะเป็นระดับร่างในระดับตำนานที่เล่าขานกันหรือไม่ ตอนนี้ยังไงเสียก็ยังมิใช่เรื่องสำคัญอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

 

“แน่นอน ทว่าต่อให้เจ้ามิใช่ร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่ แต่ก็มีพลังที่สามารถเทียบเท่าได้กับร่างเทวะไม่แตกต่างกันมากนัก จัดการกดดันราชาปีศาจน้อยกลุ่มนั้นอีกเล็กน้อย ขอเพียงมิใช่การเปิดศึกกันเป็นกลุ่ม สมควรที่จะมิใช่ปัญหาใหญ่อันใด ไป! ไปแย่งชิงสมบัติกัน!” ไม่นานนักเสียวหลุนก็ได้กล่าวเตือนสติขึ้นมา หากว่ายังมัวแต่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่อไปแล้วละก็ คงจะต้องเสียเวลาอยู่ไม่น้อย

 

ต่อมา เยี่ยจงก็ได้พยักหน้า ร่างกายก็ได้ออกเดินทางต่อ ในเวลาเดียวกันเขาในตอนนี้ก็ได้มีความเชื่อมั่นในพลังฝีมือของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม

 

“ใช่แล้ว เจ้าควรจะระวังไว้ พลังกาลแสงจันทราของพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะไม่อาจที่จะใช้ออกมาอย่างพร่ำเพรื่อได้ หากว่าปล่อยให้หลุดรอดออกไปแล้วละก็ เกรงว่าจะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นทั้งสี่ดินแดนแน่ ” เสียวหลุนก็ได้กล่าวออกมาอีกคำหนึ่ง

 

เยี่ยจงค่อยๆ พยักหน้าตอบรับ เขาย่อมทราบอย่างกระจ่าง เกี่ยวกับเหล่าแดนลับแลและขุมกำลังใหญ่แล้วนี่ การปรากฏขึ้นมาของร่างเทวะถือได้ว่ามิใช่เรื่องที่นัก นั้นก็เป็นเหมือนกับการบอกว่าจะต้องกลายเป็นช่วงเวลาที่จะกลายเป็นช่วงกลียุคนับร้อยปีเป็นอย่างน้อยก็ว่าได้ สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากจะพบเจอ

 

จากนั้นเยี่ยจงก็ได้เดินทางเข้าไปต่อ แล้วก็ได้เริ่มพบว่า ท่ามกลางลำต้นของต้นไม้มรกตนี้ ถึงกับมีอยู่หลายจุดที่เกิดรอยแตกเสียหาย เห็นได้ชัด สถานที่แห่งนี้คงจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เพียงแต่ว่าเมื่อผ่านพ้นจากวันเวลาที่เนิ่นนาน เรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถย่างกรายเข้ามาได้ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเพื่อดูว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

 

และเมื่อได้เข้ามาใกล้ยังบริเวณใกล้เคียงยอดต้นไม้ ก็ยิ่งพบกับซากปรักหักพังของเศษตึกอยู่ส่วนหนึ่ง ยังมีอีกมากมายที่ราวกับเป็นเศษซากของศพที่ได้กลายเป็นหินไปแล้ว ไม่อาจที่จะกล่าวอันใดว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

“ต้นไม้แห่งนี้สมควรที่จะเป็นต้นเดียวกันกับที่สาบสูญไปเมื่อสมัยก่อนในดินแดนตงฮวงอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น ก็คงจะไม่สามารถที่จะอธิบายเรื่องราวที่มีอยู่อย่างมากมายเหล่านี้ได้” เยี่ยจงกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา เหม่อมองไปยังตึกที่มีความเสียหายหักครึ่งลงไปแล้วครึ่งส่วน เพียงแต่ว่าเขากลับมิได้เข้าไปเพื่อที่จะเสาะหาวัตถุสิ่งของแต่อย่างไร เพียงแต่เร่งระดับความเร็วของตนเองให้เร็วยิ่งขึ้น นั้นก็เพราะว่าเป็นการบ่งบอกถึงทางข้างหน้าจะต้องมีสิ่งของสมบัติที่ยิ่งมายิ่งมากขึ้นอย่างแน่นอน สถานที่แห่งนี้จะมีความไม่ปกติธรรมดาขนาดไหนกันนะ

 

ต่อจากนี้ เยี่ยจงก็ได้เร่งเดินทางผ่านเศษซากเหล่านี้ไปรวมแล้วอีกสามวัน ไม่นานนัก เขาก็ได้เข้ามาจนถึงบริเวณที่เป็นยอดต้นไม้ได้ในที่สุด

 

“ถึงแล้ว!”

 

เมื่อได้เข้ามาถึงยังบริเวณของยอดต้นไม้ เขาก็ได้พบเห็นใบไม้ขนาดใหญ่ผืนหนึ่งอยู่ด้านบน ประดุจดั่งถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดที่อยู่ท่ามกลางอากาศก็มิปาน มันเป็นเหมือนคานเสาที่คอยรองรับตัวของต้นไม้ต้นนี้เลยก็มิปาน ในบริเวณส่วนอื่นๆ ทางด้านบน ก็ได้มีบรรยากาศพลังแห่งหยินและหยางคุกกรุ่นขึ้นมาในเวลาเดียวกันแผ่กระจายออกไป จนเกิดภาพทิวทัศน์ที่ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ประดุจดั่งแดนเทพเซียนก็มิปาน

 

และที่แห่งนั้นก็ได้มีตำหนักใหญ่โบราณตั้งอยู่ ตอนนี้แม้แต่โครงสร้างของตัวมันเองก็ยังถือได้ว่าอยู่จุดกึ่งกลางของต้นไม้ใบไม้ขนาดใหญ่เหล่านี้ กินพื้นที่ไปถึงทั้งหมดหนึ่งในสามส่วนได้ แต่ว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ตาม ตำหนักโบราณแห่งนี้ก็ยังถือได้ว่ามีความใหญ่โตที่เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนที่ก้าวเข้าไปยากที่จะเชื่อได้ลง

 

“ดูเหมือนว่า ด้วยระดับความเร็วของข้าก็ยังมิใช่ผู้ที่เร็วที่สุดเสียด้วยนะ ” เยี่ยจงไม่นานนักขมวดคิ้ว กวาดสายตามองเข้าไปจนอีกทางด้านหนึ่งของหลายคนนั้น ในบริเวณนั้นก็ได้มีการปรากฏเงาร่างของยอดฝีมือขึ้น กำลังเปิดศึกสู้กันครั้งใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับกำลังแย่งชิงอะไรบางอย่างอยู่

 

“พวกเขากำลังทำอะไรกัน?” เยี่ยจงขมวดคิ้ว มีบางอย่างที่คิดไม่ออก คนเหล่านี้เพราะอะไรทำไมไม่เข้าไปยังภายในของตำหนักโบราณกัน เพียงแต่เผชิญหน้ากันอยู่ทางด้านนอกนี้

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-12 ราคา 600
ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
#####Fanpage#####

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset