ตอนที่ 433 พวกเจ้าไม่ไหวเลยนะ
“อะไรกัน!? นี้คือพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ! เขาถึงกับเป็นร่างเทวะในตำนานอย่างงั้นหรือ!” ราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่เป็นคนแรกที่ร่ำร้องออกมา ในที่สุดมันก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดในช่วงเวลาที่เผชิญหน้ากับเด็กน้อยเบื้องหน้าสายตา จะต้องสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวชนิดหนึ่งขึ้นมา ที่แท้แล้วชนชั้นรุ่นเยาว์เบื้องหน้าสายตาผู้นี้ ถึงกับมีร่างเทวะในตำนานอย่างงั้นหรือ!
“พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ! แสงจันทร์ส่องผิวสมุทร!” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวก็ได้ขนลุกชูชันขึ้นมา คิดก็แทบจะไม่คิด หันกายหมายมั่นหลบหนีไป
“เยี่ยจง! เขาคือเยี่ยจง! เขาเดิมทีแล้วก็มิใช่ซิง เขาก็คือราชาจอมมารเยาว์เยี่ยจง!” บริเวณทางด้านหลังก็ได้มีคนตะโกนเสียงดัง เขามองไปยังรูปเหมือนของเยี่ยจง พริบตานั้นก็จดจำใบหน้าเยี่ยจงที่ปรากฏขึ้นมาได้ในพริบตา แต่ว่าถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ผู้คนมากมายต่างก็รู้สึกได้ว่าฝ่าเท้าของตนเองราวกับถูกความหนาวเย็นปกคลุมเอาไว้
สุดยอดรุ่นเยาว์ในตำนานเยี่ยจง ในสมรภูมิฮวงกู่ เป็นผู้ที่สร้างการต่อสู้ที่เป็นเสมือนลมฝนแห่งการดับสูญ คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับเป็นคนเดียวกันกับซิง มาจนถึงอาณาจักรเหยียน เข้ามายังดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้! และที่ทำให้ผู้คนเกิดความตกใจที่สุดก็คือ เยี่ยจงที่เปรียบเสมือนตำนานผู้นั้น ถึงกับมีความเป็นไปได้อย่างมาก ว่าจะต้องเป็นร่างเทวะที่ยากจะพบพานได้ในรอบพันปี
“ไป!” หยินหลิงจื่อเป็นคนแรกที่หันกาย ในช่วงเวลาเช่นนี้เขากลับกลายเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง ทราบว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้
บุตรมารอัสนีกัดฟันไปมา พริบตานั้นก็ได้ถอยไปประดุจสายฟ้าแลบ นอกจากราชาปีศาจที่ยังคงอยู่ในสถานที่แห่งนี้
ในขณะนี้เอง สุดยอดฝีมือทั้งเจ็ดที่รายล้อมกันโจมตีเข้ามาจนวุ่นวาย เมื่อครู่ก็ได้ถอยออกไปในเวลาเดียวกัน นั้นก็เพราะว่ายอดฝีมือเหล่านี้ต่างก็ทราบได้เป็นอย่างดี เยี่ยจงยังถึงกับใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะแสงจันทร์ส่องผิวสมุทรอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว เป็นที่แน่ชัดว่าเขาต้องการที่เปิดการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ขึ้นมาแล้ว
“ไหนๆ ก็มากันแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้องไปไหนกันอีก!”
เยี่ยจงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ คราหนึ่ง พลิกรอยตราจากทั้งสองมือแปรเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตราผนึกนภาในตอนนี้ก็ได้ถูกรวมเอาไว้ขึ้นมา จากนั้นก็ได้พวยพุ่งถอยออกไปบริเวณทางด้านหน้า
“ตูม——”
พลังความน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งของตราผนึกนภาก็ได้แผ่กระจายพลังฟ้าดินปกคลุมขึ้นมาในขณะนี้เอง ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณสี่ทิศแปดด้านในทันที สุดยอดฝีมือทั้งเจ็ดถึงแม้ว่าจะถอยไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าตอนนี้ร่างกายของพวกเขาก็ยังคงถูกผนึกเอาไว้อยู่ท่ามกลางอากาศ
“แย่แล้ว!” ราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่กรีดร้องออกมา มันก็คิดไม่ถึงว่า พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะในตำนานถึงกับมีอยู่จริง พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ เดิมทีก็มีพลังทำลายที่น่าหวาดกลัวอยู่แล้ว อีกทั้งภายในดวงตาของเด็กน้อยผู้นี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงกลับกลาย ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะในหลายส่วนในตำนาน แต่ก็ยังพลังในการทำลายเหลือคนา ด้วยพลังฝีมือของพวกเขาที่มีฐานะในระดับราชา เดิมทีก็ไม่อาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้อยู่แล้ว
“อา——”
ราชาปีศาจคนอื่นๆ ก็ได้กรีดร้องออกมา ทันใดนั้นก็ได้ถูกผนึกเอาไว้บริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ พลังปราณและโลหิตทั่วทั้งร่างกายบนล่างก็ได้หยุดไหลเวียนชั่วคราว แทบจะไม่อาจที่จะขัดขืนเพื่อขยับเคลื่อนไหวได้
หยินหลิงจื่อและบุตรมารอัสนีต่างก็ทอสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน พวกเขาถึงแม้ว่าจะมีระดับพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้ทั้งคู่ก็ถูกพลังกดดันเอาไว้ จนตลอดทั่วทั้งคนคุกเข่าลงอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างกายสั่นเทาไม่หยุดนิ่ง ในขณะนี้เอง อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลทั้งสอง ภายในดวงตาก็ได้ทอประกายความหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขาขัดขืนดิ้นรนไม่หยุด คิดที่จะหลบหนีไป แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะทำเช่นนั้นได้
“พวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก ถึงกับสามารถบีบให้ข้าเปิดเผยร่างที่แท้จริงได้ อีกทั้งยังสามารถบีบให้ข้าใช้ออกมาด้วย พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ พวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ ”
เยี่ยจงตอนนี้ประดุจดั่งจอมมารเยาว์ก็มิปาน เห็นๆ อยู่ว่าบนใบหน้านั้นมีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีพลังความเยียบเย็นอย่างถึงที่สุด เส้นผมสีดำของเขาก็ได้พลิ้วไหวลอยระบำขึ้นมาในตอนนี้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงเทวะของแสงจันทร์ส่องผิวสมุทร เขาก็ได้ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ฟ้า ประดุจดั่งเทพมารตนหนึ่งลงมาจุติก็มิปาน
“ครืน——ครืน——”
ราชามดทองคำที่อยู่ในระยะทางที่ใกล้ที่สุด ราชาม้าเขาเดียวก็ได้สั่นเทาไปทั่วทั้งร่างกาย หายวับไปในท่ามกลางความว่างเปล่าผืนหนึ่ง ตายจนไม่อาจที่จะตายได้อีก
นี้ถือได้ว่าเป็นพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวชนิดหนึ่ง เยี่ยจงในตอนนี้ ก็ได้ใช้พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้าผืนดินประดุจจะกุมขังทุกสรรพสิ่ง เขาต้องการที่จะให้ผู้ใดตาย ผู้นั้นก็ไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้
เมื่อพบเห็นพลังประดุจเทพเซียนเช่นนี้ของเยี่ยจง ราชาปีศาจและอัจฉริยะที่ถูกผนึกเอาไว้อยู่ก็แปรเปลี่ยนสีหน้าไปในเวลาเดียวกัน
“เจ้าหนู เป็นข้าดูแคลนเจ้าเอง! พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเจ้า เกรงว่าคงจะเข้าใกล้กับระดับพลังของยอดฝีมือชนชั้นราชันแล้ว! แต่ว่าต้องการที่จะฆ่าข้า เจ้ายังไม่อาจที่จะทำได้!” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวส่งเสียงเย็นเยียบออกมา ทั่วทั้งร่างกายก็ได้ปรากฏเงาอสรพิษสายหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ทำให้เขาถอยออกไปได้อย่างช้าๆ ทอสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
“อ๋อ? ฝึกปรือจนใกล้จะถึงขั้นพลังระดับขั้นเทวะแล้วอย่างงั้นหรือ?” เมื่อได้เหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆ พยักหน้าช้าๆ แต่ว่าเขาก็มิได้เข้าไปใกล้ทางด้านหน้า การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เขาย่อมไม่ต้องการรีบร้อนฆ่า เพียงหันกายไป มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณทางด้านของราชาไก่ฟ้าโบราณกาล
ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลกรีดร้องออกมา ทั่วทั้งร่างกายก็ได้ปะทุพลังอักขระออกมาเป็นระลอก คิดที่จะต่อกรกับเยี่ยจงตอนนี้ แต่ว่าก็ไม่มีประโยชน์ จากนั้นเยี่ยจงก็ได้เข้าไปใกล้อีกก้าว พลังอักขระบนทั่วทั้งร่างกายบนล่างของมันทั้งหมดก็ได้แตกกระจายขึ้นมาในเวลาเดียวกันในทันที
“อา——”
ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลโหยหวนออกมา ทั่วทั้งร่างกายของมันในตอนนี้แยกออกจากัน บนใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ไม่อยากจะเชื่อ ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาผู้นี้จะมีระดับความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ? เขาที่เป็นถึงราชาปีศาจ เพียงแค่เพราะว่าเขาเข้ามาใกล้ ก็ต้องถูกสังหารลงไปเชียวหรือ?
“ครืน——”
จากนั้นเยี่ยจงก็ได้ก้าวเดินออกไปอีกก้าว ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลร่างกายแยกออกมาจากกัน ในที่สุดก็แตกกระจายออก ด้วยพลังกดดันของทั้งสองอย่างพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะและตราผนึกนภาที่เยี่ยจงใช้ออกมา มันก็มิอาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้เลย
ท่ามกลางอากาศ แสงจันทราทางด้านบนของสภาวะดั่งดวงจันทร์ทอแสงก็ได้เกิดการสั่นไหวคราหนึ่ง ประกายเทวะก็ได้เข้าไปยังภายในร่างกายของเยี่ยจง จากนั้น พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะก็ได้ค่อยๆ เลือนหายไป หายวับไปท่ามกลางอากาศ
พลังกดดันขนาดใหญ่ที่เดิมทีกดดันปกคลุมไปที่ร่างมากมาย ในตอนนี้ก็ได้เลือนหายไป หยินหลิงจื่อและบุตรมารอัสนีทั้งสองก็ได้ถอยออกไปประดุจภูตพรายก็มิปาน แต่ตอนนี้หลงเหลือแต่เพียงชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวและราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่ที่ยังคงทอสีหน้าหวาดกลัวอยู่
“พลังฝีมือยังถือได้ว่าไม่เพียงพอ ถึงแม้จะเป็นการฝืนใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ แต่ว่าก็ยังไม่อาจที่จะควบคุมในด้านระยะเวลาได้ แต่ว่าก็ช่างเถอะ ” เยี่ยจงมิได้หันกลับมา เพียงแต่บ่นพึมพำกับตนเอง นี้ถือได้ว่าเป็นการใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะหลังจากที่ได้ฝึกปรือ เป็นครั้งแรกที่ใช้ออกมาอย่างไม่เกรงกลัว นี้ถือได้ว่าประสบการณ์ที่ยากจะพบเจอได้ชนิดหนึ่ง เพื่อที่จะให้ตนเองกระจ่างชัดยิ่งขึ้น ถึงขีดจำกัดของตนเองตอนนี้
“ราชาอย่างข้าไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าจะสามารถควบคุมพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะติดต่อกันได้ วันนี้ ราชาเช่นข้าจะกำจัดร่างเทวะเอง!” บนใบหน้าของราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่ก็ได้ปรากฎชุดศึกขึ้นมา พริบตานั้นมันก็ได้พุ่งฆ่าสังหารออกไป ฟาดฝ่ามือลงไปยังบริเวณที่เยี่ยจงยืนอยู่
เยี่ยจงกวาดสายตาอันเยียบเย็นมองไปที่เขาคราหนึ่ง กระบี่ไม้ภายในมือก็ได้ถูกใช้ออกมาด้วยสำนึกกระบี่ตัดความว่างเปล่า พลังกระบี่กวาดออกไปเป็นสาย
“ครืน——”
สำนึกกระบี่ได้กวาดเข้าไปอย่างน่าหวาดกลัว ราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่แปรเปลี่ยนสีหน้าคราหนึ่ง ถอยหลังออกไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าก็ไม่มีประโยชน์ ถึงแม้ว่าเขาจะทุ่มเทพลังในการหลบจนพ้นจากจุดตาย แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น แขนข้างหนึ่งของเขาก็ได้กลายเป็นเพียงก้อนเนื้อแหลกเหลวไปในพริบตา ความเจ็บปวดเช่นนี้ ก็ได้ทำให้เขาส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาในพริบตา
ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวก็ได้เกิดอาการหวาดหวั่นขึ้นมาไม่หยุด เขาเดิมทีก็คิดที่จะลงมือออกมา แต่ว่าในตอนนี้กลับถูกพลังฝีมือของเยี่ยจงหยุดเอาไว้ จนตัดสินใจที่จะถอยหลังออกไปครึ่งก้าว
“ไม่จำเป็นที่จะต้องควบคุมพลังของตัวเองอีกแล้ว ช่างดียิ่งนัก ” เยี่ยจงยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา หากกล่าวในระดับเช่นนี้ หลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็ได้ควบคุมตนเองเอาไว้มาโดยตลอด กระบวนท่าสังหารอันน่าหวาดกลัวนั้นต่างก็ไม่อาจที่จะใช้ออกมาได้ แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้เปิดเผยตัวตนออกมาแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าไม่เป็นไรแล้ว
“เยี่ยจง เป็นเจ้าจริงๆ ……” นางเซียนชิงหญิงเหม่อมองไปที่เยี่ยจง ทอสีหน้าประหลาดอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าแม้แต่นางเองก็ยังคิดไม่ถึง หลายวันที่ได้อยู่อาณาจักรเหยียนก็ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนผู้นี้ แต่ถึงกลับกลายเป็นเยี่ยจงไปได้
“เสี่ยวเยี่ยจื่อ (เจ้าเยี่ยน้อย小叶子) เจ้าช่างร้ายกาจเสียจริงนะ แม้แต่พี่สาวอย่างข้าก็ยังถูกหลอก ไม่เช่นนั้นพวกเราก็มาร่วมมือกันอีกครั้งดีไหม?” โหยวเหลียนหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ทอสีหน้าประหลาดใจอย่างถึงที่สุด นางและเยี่ยจงถือได้ว่ายังมีความสัมพันธ์ที่ใช้ได้อยู่ อีกทั้งยังเคยร่วมมือกันท่ามกลางสมรภูมิฮวงกู่อีก แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ภายในดวงตาของนางเองก็ยังปรากฏอาการตกใจขึ้นมา
“เจ้าก็คือเยี่ยจง ” อัจฉริยะเผ่าปีกจินยี่ ตอนนี้ก็ได้ทอดสายตามองไปยังบนร่างของเยี่ยจง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้แสยะยิ้มหัวเราะออกมา กล่าว “ยังดีที่ข้านั้นเป็นเผ่าปีกแห่งดินแดนตงฮวง มิใช่เผ่าปีกจากดินแดนซีฮวง ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ข้าในตอนนี้จะต้องปวดเศียรขึ้นมาอย่างถึงที่สุดแน่นอน ”
เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ ชิงยี่อัจฉริยะแห่งหุบเขาเทพชิงหวิน เยว่จิ่งสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเผ่าซือทั้งสองคนก็ได้มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปคราหนึ่ง ขุมกำลังเบื้องหลังของพวกเขา ต่างก็ถือได้ว่ามีความแค้นลึกล้ำกับเยี่ยจง วันนี้เยี่ยจงเปิดเผยสถานภาพอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องเข้าปะทะกันอย่างแน่นอน
“ที่แท้ เจ้าก็คือเยี่ยจง ยอดมาก!” จากนั้นใบหน้าของเยว่จิ่งที่ได้ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หมอกควัน ไม่อาจที่จะพบเห็นได้ แต่ว่าภายในน้ำเสียงของนางนั้นก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยความเยียบเย็นเอาไว้หลายส่วน ในตอนนี้ นางก็ได้ก้าวออกมาอย่างช้าๆ เดินออกมา
“สุดยอดรุ่นเยาว์ เยี่ยจง……ข้าตามหาเจ้าอยู่นานแล้ว วันนี้ในเมื่อพบแล้ว ก็มาสู้กันเถอะ!” ชิงยี่แทงหอกยาวสีเขียวในมือออกมา เส้นผมบนศีรษะก็ได้ลอยระบำไปมา แต่ว่าภายในดวงตาของเขาก็ได้ทอแววความเคร่งเครียดออกมาอย่างถึงที่สุด ตอนนี้เยี่ยจงได้แสดงออกมาถึงพลังการต่อสู้ แทบจะเรียกได้ว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาโดยทั้งสิ้น แต่ว่าในเมื่อเรื่องราวได้ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ เยี่ยจงไม่เพียงแต่ปรากฏกาย อีกทั้งยังมีคุณลักษณ์แห่งกายเทวะ ด้วยท่าทางเช่นนี้ เขาไม่อาจที่จะไม่ลงมือออกมาได้ นั้นก็เพราะว่า ท่ามกลางสนามตอนนี้ราวกับมีเยี่ยจงที่แข็งแกร่งที่สุด หากว่าปล่อยให้เขาได้รับประโยชน์ในวันนี้ไป ไขว่คว้าตำนานของจักรพรรดิฟ้าตะวันตกไป หลังจากสำเร็จร่างเทวะแล้วละก็ เช่นนั้นหากมองในด้านของพลังฝีมือของขุมกำลังของพวกเขาเหล่านี้ ก็ยากที่จะผ่านพ้นการสูญสลายครั้งยิ่งใหญ่ไปได้แล้ว
เมื่อพบเห็นชิงยี่และเยว่จิ่งเดินออกมาในตอนนี้ บุตรมารอัสนีและหยินหลิงจื่อทั้งสองที่แต่เดิมได้ท้าทายก็ได้กัดฟันเดินเข้ามาด้านหน้า เตรียมพร้อมที่จะรวมกลุ่มกันโจมตี หมายจะสังหารเยี่ยจงลง
ร่างกายของราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่และชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวสั่นไหวไปมาช้าๆ ตอนนี้เยี่ยจงก็ได้เดินขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ว่าภายในดวงตาของพวกเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคร่งเครียดและอารมณ์ความหวาดกลัว ต่อให้ตอนนี้ใช้ยอดฝีมือทั้งหกผสานมือกัน พวกเขาก็ยังคงมีความหวาดกลัวต่อเยี่ยจงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
บริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ เยี่ยจงมือไพล่หลัง จ้องมองไปยังกลุ่มอัจฉริยะและราชาปีศาจทางด้านหน้าอย่างเย็นชา หลังจากนั้น เขาจึงได้ค่อยหัวเราออกมาเสียงหนึ่ง กล่าว : “ที่แท้ก็ยังมีพวกที่ไม่กลัวตายอยู่ เช่นนั้นก็ดี วันนี้ข้าจะช่วยส่งพวกเจ้าสู่ประตูนรกเอง นิสัยของข้าพวกเจ้าย่อมทราบกันดี อย่าได้มาเสียใจภายหลังเล่า ”
น้ำเสียงนั้นราบเรียบอย่างยิ่ง แต่ว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาชนิดหนึ่ง แต่ว่าเมื่อกล่าวประโยคนี้จบ อัจฉริยะมากมายต่างก็ราวกับเกิดอาการหวาดหวั่นขึ้นมาอยู่หลายส่วน กระนั้นเรื่องที่เล่าขานกันมาของเยี่ยจง ที่ถือเป็นไร้ผู้ต้านในแดนเทพแห่งสมรภูมิฮวงกู่ หลังจากที่การสูญสลายของสำนัก ก็ได้ฆ่าสังหารอัจฉริยะไปด้วยกันทั้งหมดสิบคน ด้วยพลังฝีมือเพียงแค่นี้ ก็เรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าแล้ว
นี้ก็คือเยี่ยจง สุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนซีฮวง ราวกับจัดได้ว่าเป็นบุคคลในระดับตำนานเลยก็ว่าได้!
ถึงแม้จะมีอัจฉริยะไม่น้อย ที่ต่างก็ต้องการที่จะประมือกับเขา เพื่อที่จะรับทราบความตื้นลึกหนาบางของสุดยอดรุ่นเยาว์ผู้นี้ แต่ว่า โลหิตของราชาปีศาจหลายตนเบื้องหน้าสายตายังไม่ทันจะเย็น ก็เกิดความเสียหายมาตลอดในขาดสาย เหตุใดจะทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้กัน
“การเข้าต่อสู้เพียงหนึ่งต่อหนึ่ง ย่อมไม่มีผู้ใดพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ไปพร้อมกัน!” บุตรมารอัสนีในที่สุดก็ได้ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันไปมา เขาก้าวฝ่าเท้าออกไปหนึ่งก้าว ทะยานออกไปเป็นคนแรก อัจฉริยะที่หลงเหลือทั้งสามและราชาปีศาจอีกสองตนก็ได้พุ่งเข้าสังหารออกไปในเวลาเดียวกัน คิดที่จะรวมกลุ่มผสานการโจมตีออกมา เพื่อที่จะสังหารเยี่ยจงลงในตอนนี้
“ในเมื่อข้าได้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงออกมาแล้ว พวกเขายังคิดว่าวิธีกุมรุมจะมีประโยชน์กับข้าอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชา ก้าวเท้าออกไปอีกก้าว ร่างกายก็ได้พุ่งออกไปในเวลาที่เหมาะเจาะ เข้าปะทะการโจมตีทั้งหมดท่ามกลางอากาศในเวลาเดียวกัน
“วิชาแห่งเผ่ามนุษย์ วิชาดำดินรุกคืบ!” บุตรมารอัสนีส่งเสียงแห้งผาดออกมา เดิมทีแล้วการใช้ออกมาด้วยพลังฝีมือในการต่อสู้ในสถานะ “ซิง” ก็เรียกได้ว่ายากที่จะต่อกรแล้ว และตอนนี้เยี่ยจงผู้ซึ่งไร้ความหวาดกลัว คงยิ่งสร้างความลำบากได้ยิ่งกว่า
“พวกเจ้า ไม่ไหวเลยนะ!” เยี่ยจงยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา ทอสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง
.
.
.
.