เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 501 ไต๋ซือหวู่โหว

ตอนที่ 501 ไต๋ซือหวู่โหว

 

“มีอันใดไม่ดีกันเล่า!?” ไต๋ซือหวู่โหวแสดงออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาตบเข้าไปที่หัวไหล่ของเยี่ยจง กล่าวออกมาด้วยตนเอง “เจ้าดูสิ อาจารย์ปู่อย่างข้านั้นไม่มีผู้สืบทอด ไม่อาจที่จะมีวาสนาที่จะเข้าไปแย่งชิงวาสนาของสุสานเซียนได้ และตัวเจ้าเองก็ไม่มีที่พึ่ง ขณะนี้หากว่าข้าออกหน้า เจ้าวานรมีขนหกใบหูก็ใช่ว่าจะปล่อยเจ้าไป เจ้าและอาจารย์ปู่อย่างข้าต่างก็พึ่งพาแต่เพียงแค่ตนเองย่อมไม่อาจที่ในการเข้าร่วมการแย่งชิงในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ว่าพวกเราหากว่าร่วมมือกันแล้วละก็ ย่อมต้องไม่เป็นปัญหาอันใดอย่างแน่นอน อาจารย์ปู่จะให้ความคุ้มครองแก่เจ้าเอง เจ้าก็ไปเสาะหาสมบัติมาให้อาจารย์ปู่อย่างข้า หากว่าได้รับประโยชน์ที่ดีอันใด พวกเราก็นับมาแบ่งกันคนละครึ่งเป็นอย่างไร?”

 

“ไม่ดีหรอกมั่ง?” เยี่ยจงทอสีหน้าปั้นยาก “ท่านผู้อาวุโสท่านยังดูไม่ออกถึงสถานการณ์ในขณะนี้อีกอย่างงั้นหรือ? ต่อให้ข้าออกหน้าไป มหาราชันเหล่านั้นย่อมไม่สะดวกที่จะลงมือสังหารข้าอยู่แล้ว แต่ว่าเหล่าชนชั้นราชันที่มีพลังเทวะขั้นที่สามก็คงจะต้องหาวิธีในการจัดการกับข้าอันดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ข้ากลับไม่มีจุดยืนอันใด การที่คิดจะสังหารพวกเขาก็เป็นเหมือนกับว่าคนบ้ากำลังพูดเรื่องเพ้อฝันอยู่ก็มิปาน ”

 

“เสี่ยวเยี่ยจื่อนะเสี่ยวเยื่อจื่อ เจ้าไม่คิดที่จะเข้าไปด้านในจริงอย่างงั้นหรือ?” ท้องของไต๋ซือหวู่โหวก็ได้เด่งไปมา ใบหน้าเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น “เดิมทีแล้วเรื่องราวเหล่านี้ ข้ายังมิได้บอกต่อผู้อื่น เกี่ยวกับการคาดเดาของเจ้าเฒ่าชราบัญชาสวรรค์นั้น ว่าภายในสถานที่แห่งนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีการคงอยู่ของปริศนาของสุสานเซียนเอาไว้อยู่ แน่นอนว่า สิ่งของนี้ย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า แต่เป็นสิ่งที่อาจารย์ปู่อย่างข้าผู้นี้ต้องการ แต่ว่ายังคงมีสิ่งของอยู่อีกสิ่งหนึ่ง ที่เจ้าจะต้องมีความสนใจอย่างแน่นอน นั้นก็คือวิชาระดับเทวะที่มีความเกี่ยวข้องกับเซียน!”

 

กล่าวมาจนถึงตรงนี้ ไต๋ซือหวู่โหวก็ได้สูดลมหายใจแล้วตบเข้าไปที่หัวไหล่ของเยี่ยจง แล้วก็กล่าวออกมาเบาๆ : “เสี่ยวเยี่ยจื่อ เจ้าถือได้ว่าไร้ผู้ต้านในดินแดนอยู่แล้ว ขณะนี้พลังฝีมือถือได้ว่ามีความรุดหน้าเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถที่จะเข้าสู่ระดับราชันได้ทุกเมื่อ แต่ว่าหากมองจากภายนอกขอบเขตของเจ้า เจ้าจำเป็นที่จะต้องเดินในเส้นทางระดับราชันที่แข็งแกร่งที่สุด และบนเส้นทางสายนี้ ย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องที่จำเป็นอย่างมากต่อเจ้า! จากพลังฝีมือที่เล่าขานกันมาของเจ้า หากว่าเจ้าเข้าสู่ภายในใจกลาง อย่างน้อยก็น่าจะมีโอกาสสำเร็จกว่าห้าส่วนอยู่แล้ว เจ้าสามารถที่จะขนย้ายพลังเทวะที่มีความเกี่ยวข้องกับเซียนได้ นี้มิใช่สิ่งที่แต่เดิมเจ้าหวังเอาไว้ในเส้นทางแห่งการเข้าสู่ระดับราชันหรอกหรือ!”

 

เยี่ยจงเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น กล่าวกันตามความจริงแล้ว ก็เป็นอย่างที่ไต๋ซือหวู่โหวกล่าวออกมา เกี่ยวกับพลังเทวะในขณะนี้ย่อมต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อเขา ทว่าเขาก็ยังคงส่ายหน้าแล้วกล่าว : “แต่ว่ายังคงมีโอกาสกว่าห้าส่วนที่สถานะของข้าจะถูกเปิดเผยได้ และถูกคนล้อมโจมตีเข้ามาจากด้านหลังจนตาย!”

 

“เอ๊ะ เจ้าจะถูกผู้คนพบเจอได้อย่างไรกัน? อาจารย์ปู่อย่างข้าในเมื่อให้ความร่วมมือกับเจ้าแล้วละก็ แน่นอนว่าย่อมคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าเอาไว้ ” กล่าวมาจนถึงตรงนี้ ไต๋ซือหวู่โหวก็ได้หอบเอาห่อผ้าที่เก็บเอาไว้จากข้างเอวลงมา ยื่นให้แก่เยี่ยจงแล้วกล่าว “มา เจ้าสวมสิ่งของนี้เอาไว้ นับจากตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือลูกศิษย์ในฆราวาสในสำนักของอาจารย์ปู่อย่างข้าแล้ว ผู้ใดหาญกล้าที่จะรังแกเจ้ากัน?”

 

เยี่ยจงมิได้ยื่นมือเข้าไปรับ เพียงแต่จ้องเขม็งไปที่ไต๋ซือหวู่โหว : “ผู้อาวุโส ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าเมื่อข้าสวมใส่ของสิ่งนี้ของท่านไปแล้ว จะสามารถที่จะคุ้มครองชีวิตของข้าได้?”

 

“แค๊กแค๊กแค๊ก ผิดแล้ว ผิดแล้ว ” ไต๋ซือหวู่โหวไอออกมาด้วยขัวเขิน หลังจากนั้น เขาจึงค่อยขบเคี้ยวเขี้ยวฟันไปมาแล้วก็ได้นำชุดของผู้ฝึกยุทธ์สีอ่อนใหม่เอื่อมออกมาอีกชุด แล้วก็ส่งมอบไปให้เยี่ยจงแล้วกล่าว “นี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในชุดที่ท่านบรรพบุรุษของอาจารย์ปู่ได้สืบทอดมาว่าเป็นอาภรณ์ยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุ เมื่อสวมเข้าไปบนร่างกาย จะสามารถที่จะหลบรอดจากน้ำไฟได้ สามารถใช้ไว้อำพรางตัวตนจากการคำนวณได้ เด็กน้อยเจ้ามิใช่มีวิชาเจ็ดสิบสองลักษณ์อยู่หรอกหรือ? เมื่อได้รวมเข้ากับวิชาเจ็ดสิบสองลักษณ์ของเจ้า จะมีผู้ใดที่จะสามารถจดจำสถานะของเจ้าได้อีกกัน เมื่อเจ้าเข้าไปด้านใน คิดที่จะจัดการอย่างไรก็จัดการอย่างไรก็แล้วกัน? ยังมี แผ่นป้ายนี้ก็ให้แก่เจ้า สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นตัวแทนฐานะของอาจารย์ปู่อย่างข้า หากพบเจอกับสถานการณ์เป็นตาย ก็รีบบีบมันทันที ก็จะสามารถที่จะออกมาได้!”

 

ในระหว่างที่กล่าว ไต๋ซือหวู่โหวก็ได้นับสิ่งของทั้งสองสิ่งนี้ส่งมอบไปให้เยี่ยจง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชิชิชะชะ : “เจ้าหนู อย่าได้ทำท่าทีเสแสร้งเช่นนั้นกับอาจารย์ปู่อย่างข้า ข้านั้นทราบอยู่แล้วว่าเจ้าย่อมอยากที่จะเข้าไปยังภายในเพื่อกอบโกยประโยชน์อย่างแน่นอน และเมื่อเจ้าได้เข้าไปแล้ว สิ่งที่เจ้าพบเจอทั้งหมดต่างก็เป็นของเจ้า มีแต่เพียงสิ่งของอย่างเดียวที่สมควรให้แก่ข้า นั้นก็คือภาพวาดที่มีความเกี่ยวกับความลับเซียนผืนหนึ่ง เจ้าต้องทุ่มเทเพื่อที่จะนำมันมาให้ข้า ขอเพียงเจ้าสามารถที่จะนำสิ่งของนั้นออกมาให้แก่ท่านปู่อย่างข้าได้ ท่านปู่อย่างข้าไม่แต่เพียงจะคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัยตลอดรอดฝั่ง อีกทั้งยังจะตอบรับคำขอของเจ้าข้อหนึ่งอีกด้วย!”

 

เยี่ยจงยังคงจ้องมองไปที่ไต๋ซือหวู่โหว มิได้กล่าวอันใดออกมา

 

“เจ้าหนู เจ้าคงจะไม่ใจแคบไปหน่อยหรือ? อาจารย์ปู่อย่างข้าแม้แต่สิ่งของเช่นนี้ก็ยังมอบให้แก่เจ้า เจ้าถึงกับยังมองอาจารย์ปู่อย่างข้าเช่นนี้อยู่อีก? เจ้าก็ช่างไม่รู้จักพอเอาเสียเลยนะ!” เมื่อพบว่าเยี่ยจงมิได้มีความคิดที่จะลงมือให้แม้แต่น้อย หวู่โหวก็ประดุจมีไฟเผ่าขึ้นที่แก้มก้น

 

“ผู้อาวุโส นี้มิใช่เป็นเพราะข้านั้นมีจิตใจคับแคบ?” เยี่ยจงจ้องมองไปอย่างว่าง่ายอย่างมาก “ท่านต้องการที่จะให้ข้าเข้าไปเพื่อที่จะแย่งชิงแผ่นภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับเซียนผืนนั้น ผู้อาวุโสในเมื่อให้ความสำคัญต่อมัน มีหรือที่มหาราชันอื่นๆ จะไม่มีความสนใจต่อมันเช่นเดียวกัน? ข้าเข้าไปเพียงคนเดียวเพื่อที่จะเป็นปรปักษ์กับผู้คนทั้งหมด เช่นนั้นมีอันใดแตกต่างจากการเปิดเผยตัวตนออกมากัน?”

 

“พยายามเข้า ข้าต้องการให้เจ้าพยายามเท่านั้น!” ไต๋ซือหวู่โหวขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ราวกับจะคลั่งขึ้นมา “หากมิใช่ว่าอาจารย์ปู่อย่างข้าขาดผู้สืบทอด ก็คงจะไม่ต้องถูกเจ้าหนูโสโครกอย่างเจ้าเอาเปรียบได้หรอกนะ!”

 

“ผู้อาวุโส นี้เป็นคำพูดของคนที่จะร่วมมือกันอย่างงั้นหรือ!” เยี่ยจงทอสีหน้าดำคล้ำ

 

ไต๋ซือหวู่โหวทอสีหน้าดำคล้ำยิ่งกว่า “เช่นนั้นเจ้าหนูเจ้าคิดที่จะต้องการอะไรอีกกัน!?”

 

“คิดที่จะให้ข้าช่วยเหลือท่านผู้อาวุโสท่านลงมือนั้นย่อมได้ แต่ว่า พอที่จะบอกเกี่ยวกับความลับที่ซ่อนอยู่ภายในให้แก่ข้าฟังได้หรือไม่? ผู้อาวุโสคิดที่จะให้ข้าเข้าไปอย่างมืดบอดอย่างงั้นหรือ? อีกอย่าง สิ่งของคุ้มครองชีวิตก็น้อยจนเกิดไป ข้ารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเลย!” เยี่ยจงกล่าวออกมา

 

“เจ้า——” ไต๋ซือหวู่โหวจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง หลังจากนั้นสักพักจึงได้ค่อยถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ล้วงเอาเตาหลอมขนาดเล็กชิ้นหนึ่งออกมา โยนให้เยี่ยจงแล้วกล่าว “นี้เป็นเครื่องมือต้องห้ามที่อาจารย์ปู่อย่างข้าตระเตรียมเอาไว้ ที่อาจารย์ปู่อย่างข้าใช้เวลาในการหลอมสร้างขึ้นมาสิบกว่าปี สามารถที่จะใช้ออกมาด้วยการโจมตีระดับมหาราชันได้ถึงสามครั้ง เมื่อมีสิ่งนี้คุ้มครองชีวิตอยู่ เจ้าก็วางใจได้แล้วกระมั่ง?”

 

“การโจมตีระดับมหาราชันได้ถึงสามครั้งงั้นหรือ?” เยี่ยจงรับเตาเล็กเข้ามา บนใบหน้าก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา แม้แต่สิ่งของเช่นนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ในสังหารที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าย่อมต้องใช้ไว้เป็นวัตถุในการจัดเตรียมสังหารหมู่เอาไว้อย่างแน่นอน

 

“แล้วยังไงอีกเล่า?” เยี่ยจงยื่นมือออกไปอีก

 

“ยังไม่พออีก?” ไต๋ซือหวู่โหวอ้าปากตาค้าง “เหตุใดจิตใจของเด็กบัดซบอย่างเจ้าถึงได้อำมหิตกว่าอาจารย์ปู่อย่างข้าได้อีกกัน ถึงกับมีท่วงท่าลักษณะของอาจารย์ปู่อย่างข้าในช่วงเวลายังเยาว์อีกอย่างงั้นหรือ?”

 

“การเดินทางครั้งนี้อันตรายจนเกินไป หากว่าไม่มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้ทั้งหมดแล้วละก็ ข้าย่อมไม่ลงมืออย่างแน่นอน ” เยี่ยจงพยักหน้าอย่างตั้งใจอย่างมาก สถานที่ที่เป็นสุสานเซียนในครั้งนี้ นั้นไม่เหมือนกับสมรภูมิฮวงกู่หรือว่าดินแดนขนาดเล็กภายในศิลาตะวันบริสุทธิ์ อีกทั้งยังเป็นถึงระดับความลับแห่งเซียน จากที่คาดคิดเอาไว้ มหาราชันแต่ละฝ่ายย่อมต้องทุ่มเทด้วยพลังทั้งหมด ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะมิได้อยู่ในจุดสูงสุดจริง แต่ว่าหากมองจากในความหมายเหล่านี้แล้ว ผู้ที่ทำการแย่งชิงในครั้งนี้ก็คือเหล่ามหาราชัน หากว่าไม่มีการเตรียมการที่พร้อมหมด เยี่ยจงก็เหมือนกับเข้าไปหาที่ตายเอง

 

“เด็กน้อยอย่างเจ้านี้มัน——” ไต๋ซือหวู่โหวขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน พุงพรุ้ยก็ส่ายไปมาไม่หยุด หลังจากนั้นสักพัก เขาจึงค่อยได้ล้วงเอาสมบัติเซียนมาอีกหลายชิ้นให้แก่เยี่ยจง จากนั้นก็ได้ล้วงเอายันต์หยกทั้งหมดสามใบออกมา “นี้คือค่ายกลยันต์ทลาย ที่อาจารย์ปู่อย่างข้าได้ค้นพบมาโดยบังเอิญ ตามความคาดเดาของอาจารย์ปู่อย่างข้า เมื่อมียันต์ปราณนี้ สิ่งต้องห้ามโบราณท่ามกลางดินแดนทั้งสี่ใดๆ ก็จะสามารถที่จะปลดผนึกลงได้……เมื่อมีสิ่งของมากมายถึงเพียงนี้แล้ว หากว่าเจ้ายังบอกว่าไม่ไหวอีกแล้วละก็ อาจารย์ปู่อย่างข้าจะฟาดเจ้าให้ตายในฝ่ามือเดียวเลยคอยดู!”

 

เยี่ยจงกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มมองไปที่ไต๋ซือหวู่โหว หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว เขาจึงค่อยได้พยักหน้าไปมา ไต๋ซือหวู่โหวนี้ก็ถือได้ว่าใจกว้างไม่น้อย ถึงกับให้สิ่งของที่โดยส่วนมากจำเป็นต้องมีที่ถ้าหากว่ามิใช่โชคร้ายมากจนเกินไปจริงๆ ก็ถือได้ว่าเพียงพอที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

 

ต่อมา เยี่ยจงก็ได้หัวเราะฮิฮะแล้วกล่าว : “ไต๋ซือย่อมต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว! ได้ ข้าในครั้งนี้จะเข้าไปนำแผ่นภาพผืนนั้นมาให้แก่ท่านได้ความเต็มใจแล้ว เพียงแต่ว่า ไต๋ซือพอที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้แก่ข้าว่าเกิดเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างได้หรือไม่?”

 

ไต๋ซือหวู่โหวพยักหน้าไปมา หลังจากนั้นจึงค่อยได้ขมวดคิ้วไปมาแล้วกล่าว : “เรื่องนี้กล่าวได้ยาก เกี่ยวกับพื้นที่แห่งเซียน ความจริงแล้วข้าเองก็มืดบอดในทางข้างเหมือนกัน เท่าที่ข้าทราบมา ท่ามกลางภายในพื้นที่แห่งเซียน สมควรที่จะมีภาพวาดอยู่ชิ้นหนึ่ง หากว่าสามารถที่จะครอบครองแล้วละก็ อย่างน้อยก็คงจะต้องแฝงเอาไว้ด้วยความลับแห่งเซียนอยู่ แต่ว่ากลับไม่ทราบว่าภาพวาดนั้นที่แท้แล้วคืออะไรกัน……ดังนั้น การเดินทางในครั้งนี้คงจะต้องพึ่งพาแต่เจ้าแล้ว ที่อาจารย์ปู่อย่างข้าสามารถทำได้ ก็คงจะมีแต่นั่งคุมเชิงอยู่ที่ภายนอก แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในนั้นมีอะไร อาจารย์ปู่อย่างข้ากลับไม่อาจที่จะสอดมือเข้าไปได้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็คงจะต้องดูโชคชะตาของเจ้าเพียงคนเดียวแล้วละ!”

 

“เสี่ยวเยี่ยจื่อ เพื่อเส้นทางสู่การเป็นเซียนของอาจารย์ปู่อย่างข้า เพื่อพลังเทวะของเจ้า! เจ้าต้องจัดการให้ดีละ!” ไต๋ซือหวู่โหวทอสีหน้าเจ็บปวดตบไปที่หัวไหล่ของเยี่ยจง

 

“ไต๋ซือ หรือไม่พวกเรามาต่อลองเพิ่มอีกหน่อย ท่านช่วยสอนวิชาเทวะในสำนักให้แก่ข้า ข้าก็จะเข้าสู่ระดับราชันในทันที กลายเป็นยอดฝีมือระดับราชันพลังเทวะขั้นที่หนึ่ง ท่ามกลางการฆ่าฟัน ด้วยพลังฝีมือของข้า ขอเพียงสามารถเข้าสู่ระดับราชันได้ เด็กน้อยเหล่านั้นเมื่ออยู่เบื้องหน้าสายตาของข้ามีหรือที่จะทำอันใดได้!” เยี่ยจงเอ่ยปากขึ้นมาอย่างไม่หวาดเกรง ตลอดทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เห็นได้ชัดว่าได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว

 

“เจ้าคิดที่จะให้อาจารย์ปู่อย่างข้าฟาดเจ้าให้ตายในฝ่ามือเดียวอย่างงั้นหรือ?” ไต๋ซือหวู่โหวจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง “เจ้าหากว่าสามารถที่จะนำภาพวาดนั้นออกมาให้แก่อาจารย์ปู่ได้ อาจารย์ปู่จะนำวิชาเทวะคุ้มกายประจำตัวถ่ายทอดให้แก่เจ้าเป็นอย่างไร? แต่ว่าหากว่าเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าได้โทษว่าอาจารย์ปู่อย่างข้านั้นไม่เกรงใจ ! เชอะเชอะเชอะ——”

 

“พูดคำไหนคำนั้น อย่าได้เสียใจในภายหลัง!! ข้าจะไปนำแผ่นภาพออกมา ผู้อาวุโสรอที่จะถ่ายทอดพลังเทวะให้ข้าได้เลย!” เยี่ยจงที่กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมากับเขา เขาย่อมทราบได้เป็นอย่างดีว่า การเป็นถึงชนชั้นมหาราชันย่อมไม่อาจที่จะถ่ายทอดวิชาให้อยากง่ายดายอยู่แล้ว อีกทั้งสิ่งนี้ยังถือได้ว่าจัดได้ว่าอยู่ในระดับตำนาน ดังนั้นเยี่ยจงก็เพียงแค่ลองใจเขาดูเท่านั้น อย่างน้อยตนเองก็ยังได้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น

 

“เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ที่แท้ก็มีสภาวะพรสวรรค์การให้ต่อรองเหมือนกับอาจารย์ปู่เมื่อครั้งเยาว์วัยเสียจริง!” ไต๋ซือหวู่โหวจ้องมองไปที่เยี่ยจง ภายในดวงตาทอเป็นประกายประหลาด ฝีมือในการต่อรองของเยี่ยจงเช่นนี้ เขานั้นย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี อีกทั้งยังคุ้นชินเป็นอย่างมาก ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้ ได้ทำให้เขานั้นกลอกตาไปมาอยู่ครา

 

“เอาละ เกือบที่จะได้เวลาลงมือแล้ว หากปล่อยให้คนอื่นเข้าไปก่อนย่อมไม่ดีเท่าใดนักหรอก! ผู้อาวุโส วินาทีนี้อยู่ภายนอกคอยให้ความคุ้มครองข้า ให้พวกเขาเข้าใจว่า ข้าเองก็มีที่พึ่งอย่างท่านเช่นเดียวกัน!”

 

เยี่ยจงส่งเสียงดังเชอะออกมา จากนั้นก็ได้สวมอาภรณ์ยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นเองก็ได้ใช้ออกมาด้วยวิชาเจ็ดสิบสองลักษณ์ เปลี่ยนแปลงใบหน้าของตนเองอย่างรวดเร็ว จนทำให้ตนเองมีลักษณะของเณรน้อยผู้หนึ่งที่มีใบหน้าที่สดใส

 

“อามิตตาพุทธ !” เยี่ยจงแสดงอัปกิริยาอย่างมีมารยาท ทอสีหน้าจริงจังออกมา “ผู้อาวุโส ข้าจะออกไปเช่นนี้ เพื่อแย่งชิงวาสนากลับมาให้แก่ท่านผู้อาวุโส ยังคงขอเชิญท่านผู้อาวุโสพักผ่อนก่อน!”

 

“ตูม——”

 

ร่างกายของเยี่ยจงก็เหยียบย่างเข้าไปยังภายในเพลิงกาฬลำดับที่เจ็ด มุ่งหน้าเข้าไปยังผืนสีโลหิตทางด้านหน้า แต่ว่าในชั่วพริบตานั้นเอง ท่ามกลางจุดที่ถูกทลายออกมาของดินแดนเสี่ยวหนานที่ถูกมหาราชันทั้งห้าร่วมมือกันทลาย ก็ได้ปรากฏเงาร่างขึ้นมาอย่างถี่ยิบ มีชนชั้นระดับครึ่งก้าวสู่ระดับราชันและระดับราชันนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นบริเวณทางด้านหน้า เห็นได้ชัดว่า พวกเขาต่างก็ได้รับคำสั่งมาจากเหล่าชนชั้นมหาราชันของแต่ละฝ่ายมา ในเวลาเช่นนี้เองก็ไม่อาจที่จะช้ากว่าผู้อื่นได้

 

“โครม——”

 

บริเวณทางด้านบนฟ้า ทันใดนั้นก็ได้เกิดสภาวะที่มีแสงจ้าขึ้นมา มีคนที่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปยังภายในสุสานเซียน ก็ได้เริ่มต้นที่จะลงมือต่อสู้กันยกใหญ่แล้ว

 

ท่ามกลางบนอากาศ ก็ได้มีเงาร่างสองสายปรากฏขึ้นมาอยู่ในบริเวณท้องฟ้าประดุจแสงจันทราที่สว่างไสวก็มิปาน การโจมตีของทั้งสองฝ่ายนั้นก็ได้กวาดกรายออกมานับตั้งแต่ช่วงเวลาแรก ต่อสู้กันจนบนท้องฟ้านั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างหนักหน่วง ถึงแม้ว่าจะไม่อาจที่จะเทียบได้กับการลงมือของระดับมหาราชันได้ แต่ว่าก็ยังคงถือได้ว่ามีความน่าหวาดกลัวอย่างไร้เปรียบอยู่

 

“อ๋อ? ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กน้อยแห่งรัฐสือผู้นั้นลงมือเองงั้นหรือ? กล่าวกันว่าเขาเมื่อครั้งที่แล้วได้พ่ายให้แก่เจ้าด้วยมิใช่หรือ?” ไต๋ซือหวู่โหวกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มออกมา

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ

โปรโมชั่น กลุ่ม 6-12 ราคา 550

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

VIP12 https://1th.me/o9CD

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

INBOX m.me/ZuiQiangWuShen

#####Fanpage#####

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset