คนที่มาคือเถิงสี ราวกับมาด้วยความรีบร้อน เพราะว่าอีกฝ่ายใช้คาถา เมื่อเข้ามาถึงห้องหยุดไม่ทัน ดูท่ากำลังจะชนเข้ามาทางอวิ๋นเจี่ยว อวิ๋นเจี่ยวตกใจคิดจะหลบออกไป แต่มีอะไรบางอย่างลอยออกไปเสียก่อน
มันตกกระทบเข้ากับหน้าของเถิงสีพอดี ทั้งที่เป็นวิญญาณ แต่เถิงสีกลับรู้สึกว่าร่างวิญญาณของตนถูกโยนออกไป ก่อนจะกระทบเข้ากับกำแพงด้านหลัง
สิ่งของลักษณะกลมหล่นลงมาจากหน้าของเขา ก่อนจะกลิ้งลงบนพื้น ก้มลงมอง พบว่ามันคือผลไม้ที่จะเขียวไม่ก็เขียว จะแดงไม่ก็แดง บนใบหน้ามีความรู้สึกเจ็บที่ถูกบางอย่างกระแทก
ทั้งสามคน: “…”
หันหน้าไปมองคนโยนที่ทำหน้าดำ
อืม…ควรรู้สึกดีใจที่เถิงสีเป็นวิญญาณ ไม่ต้องแงะกำแพง?
เถิงสีจับใบหน้าที่ถูกกระแทก พร้อมลอยลงมาจากกำแพง ก่อนจะพบคนแผ่รังสีความเย็นด้านข้างอวิ๋นเจี่ยว
“อา…อาจารย์ปู่?!” เขาเข่าอ่อนขึ้นมาทันใด รีบคุกเข่าลงไป “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์ปู่!”
เยี่ยยวนส่งเสียงเย็นในลำคอ เก็บมือที่คิดอยากจะโยนผลไม้ออกไปอีกครั้ง พร้อมทั้งกัดผลไม้เข้าปาก คนที่ลูกศิษย์แสนโง่สอนออกมาโง่เสียยิ่งกว่า! ดูท่าทางต้องตั้งข้อห้ามให้คนเหล่านี้เสียหน่อยแล้ว
“ท่านพี่สี ท่านมีธุระอะไรหรือ” ชายแก่ถาม
เถิงสีตั้งสติได้ ก่อนจะพูดขึ้น “เกี่ยวกับคนที่ปลอมตัวเป็นหานซู ข้าพบเบาะแสแล้ว”
“เร็วขนาดนี้?!” คนที่เหลือต่างตกตะลึง หยวนเจียงถึงกับเดินขึ้นหน้าถาม “ใคร”
“เป็นใครยังไม่แน่ใจ” เถิงสีส่ายหัว ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ข้าสืบตามรายชื่อที่ศิษย์น้องอวิ๋นให้มา พบว่าคนด้านบนส่วนใหญ่ล้วนมีคนควบคุมอยู่เบื้องหลัง ถึงแม้คนเหล่านั้นจะแตกต่างกัน แต่น่าแปลกที่มีความสัมพันธ์กับสถานที่เดียวกัน”
“ที่ไหน” หยวนเจียงถาม
เถิงสี สีหน้าเปลี่ยนไป “เมืองซิวหลิง”
“อะไรนะ?!” หยวนเจียงตกตะลึง เบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ
“เมืองซิวหลิง?” อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกคุ้นหูเล็กน้อย ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดขึ้น “หนึ่งในเจ็ดเมืองแห่งยมโลก เมืองซิวหลิง?”
“ใช่” เถิงสีพยักหน้า “ระหว่างทั้งเจ็ดเมืองมีแม่น้ำหยินกั้นกลางเอาไว้ นอกจากท่านยมราชแล้ว คนอื่นไม่สามารถเดินทางไปมาเองได้ แต่คนเหล่านั้นกลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองซิวหลิงทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีการติดต่อกันตลอด เมื่อวานข้าหาคนหนึ่งในนั้นเจอ คิดจะอาศัยเขาในการสืบกาเบาะแส แต่ไม่คิดว่าเขาหนีไปได้…”
“เจ้ามีเรื่องกับเขา?” หยวนเจียงปากกระตุก นิสัยของเถิงสีช่างเหมือนกับศิษย์พี่ใหญ่
เถิงสีเกาหัวเบาๆ “ข้ารีบร้อนไปหน่อย ยังดีศิษย์พี่จี้ฉีเตือนให้ข้าหาที่ซ่อนตัวของเขา ทำให้ข้าพบเบาะแสบางอย่าง”
เขารีบหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากข้างตัว เหลือบมองเยี่ยยวนทีหนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีคัดค้าน ถึงได้ยื่นออกมา “สิ่งนี้”
อวิ๋นเจี่ยวรับไปดู ถึงได้พบว่ามันคือกิ่งไม้ขนาดเท้าฝ่ามือ ด้านบนยังมีพลังวิญญาณและพลังปีศาจที่เจือจางแผ่ออกมา
“กิ่งเกิดร่วม!” หยวนเจียงอุทานออกมา อวิ๋นเจี่ยวเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หึ?” ชายแก่ทำหน้าฉงน อะไรคือกิ่งเกิดร่วม
ไซบีเรียนสีก็มีสีหน้างุนงง
“นี่คือส่วนหนึ่งของร่างกายเผ่าพันธุ์ปีศาจไม้” อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย “ ‘ตำราปราบปีศาจ’ บทที่สามย่อหน้าที่หกมีเขียนเอาไว้ เพียงแค่พกกิ่งไม้นี้ติดตัว เช่นนั้นปีศาจตนนั้นจะรับรู้สิ่งที่ผู้พกพาเห็นทั้งหมด คนที่พลังต่ำ หรือจิตไม่เข้มแข็งมากพอ อาจถูกอีกฝ่ายควบคุม แต่ว่า…” เธอหมุนกิ่งไม้บนมือ “ตามหลักแล้วในยมโลกไม่อาจมีเผ่าพันธุ์ปีศาจ อีกทั้งยังปรากฏในร่างจริงด้วย”
ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในยมโลกเป็นเวลานานส่วนใหญ่ล้วนเป็นวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ หากอยู่ในยมโลกนานเกิดไปจะถูกพลังวิญญาณกัดกิน และสลายหายไปเป็นเถ้าถ่าน แต่ว่ากิ่งเกิดร่วมนี้ราวกับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย
“กิ่งเกิดร่วมนี้ไม่เหมือนกับที่พบกันทั่วไป” อวิ๋นเจี่ยวสัมผัสกิ่งไม้ในมือ ก่อนจะพูดอย่างมั่นใจ “พลังปีศาจและพลังวิญญาณในกิ่งไม่ขัดแย้งกัน”
“หมายความว่า…” หยวนเจียงพูดไปได้ครึ่งเดียวก็หยุดลง เขาสบตากับอวิ๋นเจี่ยว จากนั้นเบิกตาโตเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขารีบเสกคาถาก่อนจะตบเข้าที่กิ่งไม้นั้น
นาทีถัดมา กิ่งไม้นั้นลุกไหม้ขึ้นมา อวิ๋นเจี่ยวปล่อยกิ่งไม้ที่สลายเป็นเถ้าถ่านทิ้งไป
“เอ๊ะ? เผาทำไม” ชายแก่ถาม เบาะแสไม่ใช่หรือ
หยวนเจียงสีหน้าดำทะมึน ก่อนจะอธิบาย “สิ่งของพรรณนี้ให้เจ้าหาเจอได้ แสดงว่าต่อให้อยู่ในยมโลกก็ใช้ได้ ในเมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังสามาราถใช้กิ่งเกิดร่วมในการรับรู้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย เช่นนั้นตอนนี้กิ่งไม้นี้อยู่ในมือพวกเรา พวกเจ้าว่าจะเป็นอย่างไร”
เถิงสีและชายแก่ถึงเข้าใจ พวกเขาสูดลมหายใจเข้า “เช่นนั้น…อีกฝ่ายก็…”
“พบพวกเราแล้ว!” หยวนเจียงพูดอย่างมั่นใจ
เถิงสี สีหน้าดำลง มีความรู้สึกเหมือนช่วยให้ยุ่งขึ้น “โทษข้า อาจารย์อา ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร” หากอีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขากำลังหาตัวอยู่ คงจะซ่อนลึกกว่าเดิม
“ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว คงต้องไปหายมราชเมืองซิวหลิง” หยวนเจียงถอนหายใจ เสียดายเมืองซิวหลิงควบคุมวิญญาณโลกปีศาจเป็นหลัก ความสัมพันธ์กับโลกสวรรค์แตกต่างกับเมืองโยวหลิง คงจะคุยได้ไม่ง่าย อีกฝ่ายจะยอมให้เข้าเมืองหรือไม่ยังไม่แน่ เขาครุ่นคิดก่อนจะหันไปพูดกับไป๋อวี้ “ศิษย์หลานไป๋ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเมืองโยวหลิง เจ้าเป็นเจ้าเมืองใหม่หลิง ให้เจ้าออกหน้าเจรจากับยมราชเมืองซิวหลิงจะดีกว่า”
“ฮะ ข้า?” ชายแก่มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยความเคยชิน
“ข้าไปด้วย!” อวิ๋นเจี่ยวพูด เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องจัดการ
“พวกเราแจ้งศิษย์พี่จี้ฉีก่อนหรือไม่” เถิงสีเสนอขึ้น “จากโลกมนุษย์ไม่อาจไปยังเมืองซิวหลิงได้โดยตรง อีกทั้งแต่ละเมืองยังมีแม่น้ำหยินขวางกั้นเอาไว้ นอกจากอาจารย์อาหยวนแล้ว พวกเราไม่มีใครสามารถข้ามไปได้ ศิษย์พี่น่าจะมีวิธี…”
“ไม่ต้อง!” เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น
ทั้งสี่คนผงะไป ก่อนจะหันไปมองต้นเสียง เห็นคนที่กำลังกินขนมไม่ออกเสียงยกมือขึ้นกวาดบนท้องฟ้าทีหนึ่ง ทันใดนั้นมิติบริเวณรอบด้านบิดเบี้ยวไป ก่อนจะแยกออกเป็นหลุมกว่าง พลังวิญญาณจำนวนมากลอยออกมาจากด้านใน เห็นเพียงแต่วิญญาณลอยไปลอยมา อีกทั้งยังสามารถมองเห็นตัวหนังสือเขียนว่า “ซิวหลิง” บนป้ายหิน
หยวนเจียง: “…”
เถิงสี: “…”
ไป๋อวี้: “…”
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
ไม่พูดไม่จาก็เปิดประตูเชื่อมโลก อาจารย์ปู่ วันหลังบอกกันก่อนได้หรือไม่
“ไปเถอะ!” เยี่ยยวนหันกลับไปมองศิษย์หลานทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปยังปากหลุม
อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้เคยชินกับเหตุการณ์ หลังจากที่พวกเขาตั้งสติได้ จึงรีบสาวเท้าเดินตามเข้าไป ไซบีเรียนสีก็เช่นกัน ผงะไปเล็กน้อยแต่ก็เดินตามเข้าไป กลับเป็นหยวนเจียงที่นิ่งอึ้ง
เดี๋ยว!
อาจารย์จะไปยมโลก!
นึกถึงเมื่อหลายหมื่นปีก่อนที่อาจารย์ไปโลกสวรรค์ จากนั้น…
เขาตัวสั่นเทา ก่อนจะตามขึ้นไป “อาจารย์ อย่า!”
(゚Д゚≡゚Д゚)