วันรุ่งขึ้น หลินหลันไปจวนเผยเพื่อฝังเข็มให้เผยฮูหยินตามที่ได้บอกกล่าวไว้ และบังเอิญพบเจอเฉินจื่ออวี้ที่กำลังเดินออกมาจากด้านในพอดิบพอดี
“พี่สะใภ้…พี่สะใภ้นี่เป็นหมอเทวดาชัดๆ! ข้าได้หยินฮูหยินกล่าวว่าเมื่อวานอาการปวดศีรษะข้างเดียวทุเลาลงไปมากแล้ว” เฉินจื่ออวี้ยกสองมือขึ้นคารวะพลางหัวเราะร่า
หลินหลันนึกประเด็นปัญหาที่ได้พูดคุยกับหลี่หมิงอวินเมื่อวานขึ้นมาได้ จึงอดมิได้ที่จะอมยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าไปเยี่ยมเผยฮูหยินมาแล้วหรือ”
เฉินจื่ออวี้กล่าว “เปล่าๆ ฮูหยินกำลังพักผ่อน จึงมิอยากไปรบกวน”
“อุตส่าห์มาแล้วทั่งที ไยถึงมิเข้าไปเยี่ยมหน่อยล่ะ! ไปเจอะเจอเผยเสี่ยวเจี่ยะสักหน่อยก็ดีนี่!” หลินหลันกล่าวภายใต้รอยยิ้มเจือแววหยอกล้อ
เฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างจริงจัง “เผยเสี่ยวเจี่ยะต้องดูแลคนป่วย จึงมิสะดวกเข้าไปรบกวนเช่นกัน พี่สะใภ้ท่านเชิญด้านในเถิด ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีก ขอตัวก่อนละ ไว้วันหน้าวันหลังเรียนเชิญพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อแล้วกัน”
เฉินจื่ออวี้วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ดูแลบ้านที่ออกมาส่งเฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างมีมรรยาท “ท่านหมอหลินเชิญด้านในขอรับ ฮูหยินของตระกูลเรากำลังรอท่านหมอหลินอยู่เลยขอรับ”
หลินหลันเอ่ยถามระหว่างเดินไปเรื่อยๆ “คุณชายเฉินมาเยี่ยมเยียนบ่อยหรือเจ้าคะ”
ผู้ดูแลบ้านกล่าวตอบ “เมื่อก่อนคุณชายเฉินก็มาบ่อยอยู่ขอรับ หลังฮูหยินล้มป่วย เขาก็มาทุกวันเรื่อยเลยขอรับ! ซึ่งท่านหมอหลินก็ได้รับการแนะนำโดยคุณชายเฉินนี่แหละขอรับ”
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ มิน่าล่ะ เฉินจื่ออวี้พบเจอนางถึงได้ดูเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ ที่แท้เป็นการเพิ่มหน้าเพิ่มตาให้เขานี่เอง
หลังฝังเข็มให้เผยฮูหยินเป็นที่เรียบร้อย สีหน้าของเผยฮูหยินจึงดูมีสีสันมากขึ้นมาอีกหน่อย นางเอ่ยเรียกสาวใช้ช่วยประคองลุกนั่งแล้วกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ แล้วยังทำให้เจ้าสิ้นเปลืองอีก ข้าเกรงใจยิ่งนัก”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินอย่ากล่าวเสมือนเป็นคนอื่นคนไกลเลยเจ้าค่ะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของในร้านยาเราที่มีอยู่แล้ว วันหน้าวันหลังขาดเหลืออันใด ส่งคนไปบอกกล่าวก็เป็นพอเจ้าค่ะ”
เผยฮูหยินเผยรอยยิ้ม “มองมิออกเลยจริงๆ เจ้าอายุยังเยาว์นักแต่กลับมีทักษะการรักษาถึงระดับนี้ เมื่อวานหลังฝังเข็มไปแล้ว อาการปวดศีรษะข้างเดียวของข้าก็ดีขึ้นมากอย่างรวดเร็ว เห็นผลไวกว่าดื่มยาด้วยซ้ำ”
“ถึงอย่างไรก็ยังต้องดื่มยาด้วยเจ้าค่ะ รักษาสองวิธีไปพร้อมๆ กัน อีกอย่างคือฮูหยินต้องรักษาสุขภาพจิตของตนเองให้ดีๆ เข้าไว้ ไม่นานนักก็จะหายดีเจ้าค่ะ” หลินหลันนำเข็มเงินยื่นให้หยินหลิ่วเก็บเข้าที่
“บนโลกใบนี้ มีเรื่องไม่สมดั่งปรารถนามากมายยิ่งนัก จะให้มีความสุขขึ้นมาได้อย่างไรกัน!” เผยฮูหยินกล่าวอย่างอ่อนใจ
หลินหลันยิ้มอ่อนหวาน “ก็เพราะเรื่องราวมากมายมิเป็นดั่งปรารถนา ถึงต้องรักและทะนุถนอมตนเองให้มากเข้าไว้เจ้าค่ะ ความสุขก็เป็นแค่วันวันหนึ่ง ความทุกข์ก็เช่นกัน แล้วไยมิตั้งหน้าตั้งตามีความสุขไปล่ะเจ้าคะ”
เผยจื่อชิ่งซึ่งอยู่ด้านข้างรู้สึกประทับใจขึ้นมาเล็กน้อย “ประโยคนี้กล่าวได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน เห็นทีว่าหลี่ฮูหยินคงเป็นผู้ที่ใจกว้างผู้หนึ่งนะเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวเชิงติดตลก “มิถึงขั้นใจกว้างหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่บางครั้งมิเก็บเอามาใส่ใจก็เท่านั้นเอง”
เผยฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “นิสัยอย่างเจ้านี่ ข้าชื่นชอบจริงๆ หมิงอวินโชคดีเหลือเกินที่ได้ภรรยาอย่างเจ้า”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อฮูหยินมิรังเกียจหลินหลัน เช่นนั้นวันหน้าวันหลังหลินหลันจะมาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านบ่อยๆ นะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ดีเสียยิ่งกระไร เจ้าพูดแล้วอย่าคืนคำเชียวล่ะ” เผยฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หลินหลันยังมีเรื่องที่ต้องจัดการภายในร้าน จึงพูดคุยเป็นเพื่อนเผยฮูหยินอีกสักพักก่อนจะขอตัวลากลับ เผยฮูหยินยืนกรานต้องการให้เผยจื่อชิ่งออกไปส่งหลินหลันแทนนาง
เผยจื่อชิ่งกล่าวระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินออกไปพร้อมกัน “ท่านแม่ข้ามิได้ถูกชะตาใครสักคนง่ายๆ วันหลังเจ้าคงต้องมาบ่อยๆ เสียแล้ว”
หลินหลันมองดูใบหน้าด้านข้างของเผยจื่อชิ่งซึ่งดูงดงามประดุจภาพวาด พร้อมกับคำถามมากมายภายในใจที่ผุดขึ้นมา ครั้งงานฉลองที่จวนจิ้งปั๋วโหว์ เผยจื่อชิ่งเคยมีเจตนาทำให้นางเผชิญความลำบากใจ แม้ว่ามันจะจบลงไปแล้ว ทว่าด้วยสัญชาตญาณของสตรี สิ่งที่เผยจื่อชิ่งปฏิบัติต่อนางครานั้นให้ความรู้สึกราวกับตั้งตนเป็นศัตรู หรือจะว่าจ้องหาเรื่องก็ย่อมได้! ว่ากันว่าเผยจื่อชิ่งเป็นสตรีที่มีความสามารถและทะนงตนอย่างสูง ซึ่งสตรีผู้มีวิสัยทัศน์สูงเช่นนี้คงมีเพียงผู้ชายที่ยอดเยี่ยมเช่นหมิงอวินเท่านั้นที่จะเข้าตานาง ที่เผยจื่อชิ่งไม่ยอมเปิดใจรับเฉินจื่ออวี้ เป็นเพราะหมิงอวินหรือไม่นะ
“แน่นอนอยู่แล้ว เผยฮูหยินเป็นผู้อ่อนโยนน่าเคารพนับถือและเป็นมิตรอย่างมาก หมิงอวินก็เคยกล่าวว่าเผยฮูหยินเป็นกันเองอย่างมากเช่นกัน”
เมื่อกล่างถึงหมิงอวิน ขนตายาวของเผยจื่อชิ่งสั่นไหวเล็กน้อย ตามด้วยรอยยิ้มราวกับจนปัญญา “เมื่อก่อนคุณชายหลี่และคุณชายเฉินมาที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง”
ประเด็นนี้หมิงอวินก็เคยบอกกล่าวไว้เช่นกัน เผยฮูหยินแม้มิได้มีวิชาความรู้ประดุจครูบาอาจารย์ ทว่าก็เคยสอนความรู้ต่างๆ ให้หมิงอวินไปมิน้อยเช่นกัน “เมื่อครู่ที่ข้ามาถึง บังเอิญเจอะเจอคุณชายเฉินด้วยละ”
เผยจื่อชิ่งทำเพียงฉีกยิ้มเรียบเฉยโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ
หลินหลันเงียบงันไปชั่วขณะ “ตามจริง พวกเราในฐานะสตรี เป็นการดีหากได้พบเจอความรักที่เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย และได้มีความสุขไปกับมัน ทว่าน่าเสียดายที่มันมิใช่เรื่องง่ายอย่างที่พูด มิสู้หาใครสักคนที่รักชอบตัวเราด้วยใจจริง ใช้ชีวิตด้วยกันไปอย่างเรียบง่ายสงบสุขก็เป็นความสุขชนิดหนึ่งเช่นกัน หรือไม่แน่อาจมีปาฏิหาริย์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็เป็นได้”
เผยจื่อชิ่งชายตาขึ้นซึ่งเผยให้เห็นความตกใจชั่ววูบ ก่อนฉีกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “นั่นสินะ เสมือนเจ้ากับคุณชายหลี่ที่รักใคร่ซึ่งกันและกันปานนี้ ได้พบเจอแม้มิได้ร้องขอ เจ้าคงมีความสุขอย่างมาก”
หลินหลันไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด นางกล่าวอย่างอ่อนหวาน “เจ้าเองก็สามารถมีความสุขอย่างมากได้เช่นกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะยินยอมหรือไม่”
เผยจื่อชิ่งเผยรอยยิ้มราวกับเหยียดหยันตนเองและภูมิใจในตัวเองในเวลาเดียวกัน “ยามใดที่ข้าพบเจอความสุขของตนเอง จะต้องมิน้อยหน้าไปกว่าเจ้าแน่นอน”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม หลินหลันเข้าใจดี ไม่ว่าเผยจื่อชิ่งเคยชอบหลี่หมิงอวินมาก่อนหรือไม่ นางจะไม่มีทางกลายเป็นศัตรูของนางไปได้ สตรีที่มีจิตใจสูงศักดิ์ทะนงตนและมีความสามารถโดดเด่นกว่าผู้อื่นเฉกเช่นนาง ย่อมไม่ยินยอมลดตัวไปแย่งสามีของผู้อื่นอย่างแน่นอน ได้แต่หวังว่า เผยจื่อชิ่งและเฉินจื่ออวี้จะได้ล่มหัวจมท้ายด้วยกันโดยเร็วไว เมื่อถึงยามนั้น เผยจื่อชิ่งยังต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้! แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
หลินหลันกลับถึงร้าน เห็นผู้ร่วมงานจำนวนสองสามคนกำลังแกะป้ายหลินจี้ โดยมีหลี่หมิงอวินคอยสั่งการอยู่ด้านล่าง
“หมิงอวิน นี่จะทำอันใดหรือ มันก็ดีๆ อยู่แล้วไยต้องแกะป้ายลงมาด้วย” หลินหลันรีบเข้าไปเอ่ยซักถาม
หลี่หมิงอวินเดินเข้ามาจูงมือนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขใจ “มา รีบมาดูอะไรนี่”
เหวินซานกำลังแกะแผ่นป้ายออกมา ซึ่งปรากฏอักขระปิดทองสองสามตัวอยู่เบื้องหน้า… “หุยชุนถาง?”
หลินหลันงุนงง “เจ้าต้องการเปลี่ยนเอาหุยชุนถางนี่ขึ้นไปหรือ ทว่าหลินจี้เพิ่งแขวนไปได้ไม่กี่วันเองนี่ อีกทั้งชื่อนี้เจ้าเป็นคนตั้งเองแท้ๆ เหตุใดถึงเปลี่ยนใจไวขนาดนี้หรือ”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มอันยากที่จะคาดเดาได้ “เจ้าเดาสิว่าแผ่นป้ายนี้ผู้ใดเป็นคนมอบให้”
“ผู้ใดหรือ องค์ชายสี่? หรือว่าเป็นองค์รัชทายาท?” หลินหลันหันหน้าไปมองป้ายแผ่นนั้นพลางครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเห็นเข้ากับอักษรคำว่า ‘พระราชทานโดยฮ่องเต้’ ในป้าย ทันใดนั้นนางจึงยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจพร้อมกับหันขวับไปมองหมิงอวินอย่างเหลือเชื่อ “นี่…นี่คือรางวัลจากฮ่องเต้?”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ฮ่องเต้ทรงเล็งเห็นว่าเจ้ามีน้ำใจงามและมีเมตตา ดังนั้นจึงพระราชทานป้ายทองคำให้กับหลินจี้ โดยแทนด้วยชื่อหุยชุนถาง”
คนภายในร้านล้วนเข้ามาห้อมล้อม ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ห้ากระโดดกอดกันด้วยความรู้สึกทั้งดีใจและตื่นเต้น
“เยี่ยมยอดไปเลย ป้ายร้านพระราชทาน นี่คงเป็นสัญญาณความรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่! ศิษย์น้อง เจ้าจะได้เป็นเศรษฐีแล้ว” ศิษย์พี่ห้าโม่จื่อโหยวกล่าวด้วยความดีอกดีใจ
ศิษย์พี่รองชูหัวนิ้วโป้งมือให้ “ศิษย์น้อง เจ้าเก่งกาจมาก ภายภาคหน้าเจ้าก็คือหมอเทวดาหลินแล้วละ”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “เช่นนั้นภายภาคหน้าข้าก็คือสาวใช้ของหมอเทวดาหลินสินะ”
ทุกคนพากันส่งเสียงหัวเราะร่าด้วยความดีใจถ้วนหน้า
“นี่…นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ข้าแค่บริจาคยาไปเพียงเก้าพันเม็ดเท่านั้นเองนี่!” หลินหลันยังคงไม่อยากเชื่อ ป้ายทองคำพระราชทานนี่เป็นเกียรติยศที่หาสิ่งใดเทียบทานมิได้ เท่าที่นางรู้มา กระทั่งเต๋อเหรินถางยังมิเคยได้รับเกียรติประเภทนี้เลย หากหลินจี้แขวนป้ายนี้ขึ้นไป ทั่วทั้งเมืองหลวงนี่ ยังจะมีผู้ใดกล้าแข่งขันด้วยอีกหรือ! หลินหลันปลื้มปริ่มใจจนอยากร้องไห้ ตอนแรกคิดว่าต้องการการแสวงหาชื่อเสียงและได้รับผลกำไรในเวลาเดียวกัน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับชื่อเสียงมาเร็วเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นการมาอย่างไม่คาดคิดและดุเดือดมากทีเดียวเชียว
หลี่หมิงอวินหัวเราะร่า “ดีใจสินะ! ไปกัน ไปนำป้ายขึ้นแขวนด้วยกันเถอะ”