บทที่ 14 สองมาตรฐานแบบสุด ๆ
จนกระทั่งแม่เจิ้นเดินเข้ามา เมื่อนางเห็นถุงผ้าใบใหญ่ที่แม่เจิ้นถืออัดแน่นไปด้วยของจำนวนมาก รอยยิ้มบนใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนก็ชะงักค้าง หญิงสาวเอื้อมมือไปกระชากถุงผ้าใบนั้นเต็มแรงพร้อมทั้งโวยวายออกมาเสียงดัง “นี่พวกเจ้าขโมยเงินท่านน้าของข้ามาซื้อใช่หรือไม่?”
“ไร้สาระ! ใครไปขโมยเงินของน้าเจ้ากัน นางมีเงินให้ขโมยด้วยหรอกรึ? ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ปากของเจ้าที่เน่าเพียงอย่างเดียว แต่จิตใจของเจ้าก็เน่าเหม็นไม่ต่างกัน!” พูดจบซูหวานหว่านก็คว้ามือฮวงอี๋ฮวนมาจับไว้ก่อนจะออกแรงบีบด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทำให้ฮวงอี๋ฮวนกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บ
“ซูหวานหว่านเจ้าทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!” ฮวงอี๋ฮวนร้องโอดครวญ
“เจ็บแขนงั้นหรือ? แล้วอยากเจ็บปากด้วยหรือไม่ ข้าว่าเจ้าระวังคำพูดหน่อยนะ เพราะสิ่งที่เจ้าพูดมาแต่ละคำมีแต่เรื่องไร้สาระและเน่าเฟะ ถึงผมเจ้าจะประดับด้วยดอกไม้มีกลิ่นหอมเพียงใด แต่กลิ่นหอมของดอกไม้ก็ไม่อาจกลบกลิ่นเน่า ๆ จากปากและจิตใจของเจ้าได้เลย!” ซูหวานหว่านไม่รอให้ฮวงอี๋ฮวนได้ตอบโต้ นางถือโอกาสตบไปที่หน้าของฮวงอี๋ฮวนอย่างเต็มแรง
เพี๊ยะ!
ใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนสะบัดไปตามแรงตบของซูหวานหว่าน นางกุมหน้าอย่างความเจ็บปวด สายตาอาฆาตแค้นมองไปที่คนตรงหน้าด้วยท่าทางนิ่งสงบ ทว่าในใจของหญิงสาวเต็มไปด้วยคำด่าทอ
แม้จะมีคำด่ามากมายอยู่ในในใจ ทว่าสิ่งที่ออกจากปากของหญิงสาวมีเพียงคำพูดติด ๆ ขัด ๆ เท่านั้น “จะ…เจ้า กะ…กล้าดียังไงมาตะ…ตบข้า!” ฮวงอี๋ฮวนพยายามควบคุมเสียงของตนไม่ให้สั่น
“แล้วเหตุใดข้าต้องไม่กล้าด้วย เมื่อก่อนเจ้าอาจจะไม่รู้แต่ตอนนี้เจ้าควรจะรู้แล้วนะว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า” ซูหวานหว่านมองไปยังฮวงอี๋ฮวนด้วยสายตารังเกียจก่อนหันไปทิ้งท้ายว่า “ขืนเจ้ายังพูดจาสกปรกออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ข้าไม่ยั้งมือแน่!”
“เจ้า!” ดวงตากลมโตของฮวงอี๋ฮวนจ้องเขม็งไปยังซูหวานหว่านอย่างเคียดแค้น หญิงสาวคาดไม่ถึงว่าซูหวานหว่านจะกล้าลงไม้ลงมือ หนำซ้ำยังพูดจารุนแรงกับตนอีก นี่มันเกินความคาดหมายไปมาก ซูหวานหว่านที่เคยอ่อนแอและไม่สู้คน วันนี้กลับโต้ตอบนาง ตั้งแต่เมื่อเช้าและตอนนี้อีก นิสัยคนเรามันสามารถเปลี่ยนไปได้มากถึงขนาดนี้เลยหรือไร! แปลกเกินไปแล้ว!
ฮวงอี๋ฮวนทั้งเจ็บใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่ซูหวานหว่านทำ จู่ ๆ น้ำตาของนางก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฮวงอี๋ฮวนเอามือปาดน้ำตาลวก ๆ และพยายามกลั้นมันเอาไว้ ทว่ามันก็ยังคงไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“เจ้าร้องไห้งั้นเหรอ? เฮอะ! ร้องเข้าไป” ซูหวานหว่านเย้ย
ผู้ร่วมทางคนอื่นที่เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด เริ่มทนไม่ไหวจึงกล่าวว่า “หวานหว่าน พอเถิด นางร้องไห้แล้วเจ้าไม่เห็นหรือ”
“ใช่ ๆ นางร้องไห้ขนาดนี้แล้วเจ้าจะยังรังแกนางต่ออีกหรือ”
“…”
นี่ข้ากลายเป็นคนที่กลั่นแกล้งฮวงอี๋ฮวนไปแล้วงั้นเหรอ?! บ้าที่สุด!
แล้วนี่มันไม่ใช่สิ่งที่ฮวงอี๋ฮวนเคยทำกับซูหวานหว่านคนเดิมหรืออย่างไร?
หญิงสาวกวาดสายตามองผ่านใบหน้าของผู้คนที่อยู่รายล้อม ก่อนจะนึกได้ถึงชื่อของพวกเขาผ่านความทรงจำที่อยู่ในส่วนลึกของเจ้าของร่างเดิม “ป้าหลี่ ลุงสวี่ ตอนพวกท่านพูดออกมาแบบนั้นพวกท่านเคยนึกถึงข้าหรือไม่? ก่อนหน้านี้นางปฏิบัติกับข้าอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ดี พวกท่านจะบอกว่าไม่รู้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ตอนนางทุบตี ด่าทอข้าสารพัด ตอนนั้นพวกท่านไปอยู่ที่ไหน? เหตุใดไม่มาห้ามนางเหมือนที่พวกท่านห้ามข้าในตอนนี้!”
ทันทีที่ซูหวานหว่านพูดจบ คนที่อยู่ตรงนั้นพลันหน้าเสียขึ้นมา พวกเขาลืมเรื่องที่ฮวงอี๋ฮวนทำกับซูหวานหว่านไปเสียสนิท ทว่าถึงฮวงอี๋ฮวนจะรังแกซูหวานหว่าน แต่มันก็คนละเรื่องกับตอนนี้ที่พวกเขาเห็นกับตา อีกทั้งด้วยความที่พวกเขาเป็นอาวุโส ซูหวานหว่านมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนพวกเขา?
“หวานหว่าน อย่าก้าวร้าวให้มากนัก พวกเราถือเป็นอาวุโสของเจ้า ดังนั้นไม่ว่าพวกข้าพูดอะไรเจ้าจะต้องเชื่อฟังในสิ่งที่พวกเราพูด!”
“ให้ตายเถอะ ผู้อาวุโสงั้นหรือ?” ซูหวานหว่านสบถออกมาเบา ๆ “คำว่าผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร ลองไปถามท่านอาจารย์ของพวกท่านดูซะ เมื่อรู้แล้วก็ช่วยมาบอกข้าทีว่าพวกท่านคู่ควรพอที่จะใช้คำพวกนั้นหรือเปล่า?”
“ตามคำกล่าวที่ว่า เคราพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็ก*[1] หากท่านต้องการให้ข้าเคารพผู้อาวุโส พวกท่านก็ควรจะรักและเมตตาเด็กด้วย แต่ในเมื่อพวกท่านไม่เมตตาข้า… งั้นแล้วข้าจะเคารพพวกท่านไปทำไม!?”
“เจ้าไปเรียนรู้เรื่องผิด ๆ เช่นนี้มาจากที่ใดกัน!” พวกผู้ใหญ่ทั้งหลายกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
แม่เจิ้นที่ยืนนิ่ง ๆ อยู่นานรีบวิ่งมาดึงซูหวานหว่านให้นั่งลงพร้อมทั้งส่งยิ้มไปให้กับผู้คนรอบ ๆ “หวานหว่านยังเด็ก นางยังไม่รู้ความ พวกท่านอย่าถือสานางเลยนะ โปรดอภัยให้นางด้วย…”
ท่าทางของแม่เจิ้นที่แสดงออกมานั้นอ่อนน้อมและถ่อมตนมาก ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนคล้อยตามแต่อย่างใด
ป้าหลี่กลับมองเหยียด “เฮอะ! หากนางเป็นแบบนี้คงไม่มีชายใดมาสู่ขอ! อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน ถึงเอานางขายให้ข้าถูก ๆ ข้าก็ไม่อยากรับมาเป็นลูกสะใภ้หรอก! เสียดายอาหารที่บ้าน!”
“ใช่แล้ว ๆ” ผู้คนรอบ ๆ ต่างเห็นด้วยกับสิ่งที่ป้าหลี่พูด
“…”
นี่พวกเขาเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย!!
ซูหวานหว่านอยากจะเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วกรีดร้องออกมาดัง ๆ หญิงสาวโกรธจนแทบบ้า คนพวกนี้กล้าพูดเรื่องขายลูกสาวออกมาได้อย่างไร! เรื่องผิดขนาดนั้นแต่กลับพูดมาออกมาหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ! จิตใจต่ำช้าที่สุด!
แม่เจิ้นรู้สึกแย่มาก ปกติแล้วคนเหล่านี้เอาแต่นินทานางลับหลัง ทว่าตนก็ไม่ได้สนใจและปล่อยผ่านไป แต่ตอนนี้กลับมาพูดถึงลูกสาวของตนเองต่อหน้า ทั้งยังตีค่าลูกสาวนางเป็นสิ่งของราคาถูก คนพวกนี้ช่างเป็นคน ‘ดี’ จริง ๆ
“ใช่แล้ว…สิ่งที่ท่านพูดมาล้วนถูกหมด หากสตรีนางใดไม่ได้เป็นอย่างที่ใคร ๆ ต้องการ ไม่เรียบร้อย สุภาพ อ่อนหวาน ก็จะไม่สามารถแต่งงานได้ ทั้งยังถูกขายไปเป็นแรงงานทาสราคาถูก ถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่คน และเมื่อพวกนางตายลงก็คงไม่มีใครมาฝังศพให้สินะ…”
“ใช่แล้ว…” ป้าหลี่ตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตระหนักได้ว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ออกมาจากปากของซูหวานหว่าน ป้าหลี่งุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เจ้าเพิ่งคิดได้หรือไง?”
“ตั้งแต่ที่ข้าเห็นท่านและลูกสาวของท่านด่าว่าคนอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคายเมื่อวันก่อน ข้าก็คิดได้แล้วล่ะ!” หญิงสาวยิ้มยียวน สายตาของนางเต็มไปด้วยความขบขัน
“…”
ป้าหลี่เพิ่งเข้าใจความหมายของสิ่งที่ซูหวานหว่านสื่อ นางโกรธจนหน้าสั่น สิ่งที่หญิงสาวพูดหมายความว่าลูกของตนจะกลายเป็นคนด้อยค่าและถูกขายในราคาที่ถูก! คิดได้ดังนั้นป้าหลี่รีบพุ่งตัวเข้าไปหาซูหวานหว่านทันที “นังสารเลว! นังเด็กชั้นต่ำ! ข้าจะตบปากเจ้าให้กินข้าวไม่ได้หลายวันเลยคอยดู!!”
แม่เจิ้นที่เห็นป้าหลี่พุ่งตัวมาก็นำตัวมายืนบังลูกสาวของตน นางจ้องไปที่ป้าหลี่อย่างไม่เกรงกลัว “ท่านพี่หลี่ ถึงแม้ท่านจะโกรธมากแค่ไหนแต่ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ท่านควรพูดถ้อยคำรุนแรงเช่นนี้ออกมาเชียวหรือ!?”
ป้าหลี่เดินเข้ามาจับแขนของแม่เจิ้นและจ้องเขม็งไปยังซูหวานหว่านด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “แม่เจิ้น ถ้าเจ้ากล้าขวางข้าล่ะก็ พวกเจ้าทั้งสองได้โดนเหมือนกันแน่!”
“ก็เอาสิ! หากท่านจะทำร้ายลูกของข้า เราจะได้เห็นดีกัน!” แม่เจิ้นพูดอย่างโกรธจัด นางทนกับคำนินทาว่าร้ายมานานมากพอแล้ว ความรู้สึกคับแค้นใจที่มีต่อผู้คนในหมู่บ้านนี้นั้นสะสมมานานเกินทน หลังจากที่ต่อต้านคนของตระกูลซูก็ทำให้นางรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาก
ในที่สุดท่านแม่ของข้าก็ไม่อยู่เฉยอีกต่อไป ท่านแม่แข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น! ซูหวานหว่านกู่ร้องในใจก่อนจะชี้นิ้วไปทางฮวงอี๋ฮวนที่ยังคงนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม “ดูใบหน้าของนางเอาไว้นะ หากท่านกล้าแตะแม่ข้าแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะทำให้ท่านมีสภาพที่ยิ่งกว่านาง!”
ใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนเริ่มบวมแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเข้ากับดอกไม้ที่เสียบอยู่บนหัว เพราะแรงตบของซูหวานหว่าน
ซูหวานหว่านไม่ได้คิดว่าหน้าของฮวงอี๋ฮวนจะบวมขนาดนั้น เพราะนางได้ยั้งมือตัวเองแล้ว อีกอย่างก็คิดว่าร่างของเด็กอายุ 13 คงไม่มีแรงมากเท่าใด แต่ที่ไหนได้…
ป้าหลี่เหล่มองไปทางฮวงอี๋ฮวนเล็กน้อย และแน่นอนว่านางเองไม่อยากจะมีสภาพเช่นนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของป้าหลี่ นางพูดอะไรไม่ออกและเริ่มทำอะไรไม่ถูก
ลุงสวี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน “อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะนำพาความโชคดีมาให้ กลับมานั่งซะ”
คำพูดของลุงสวี่เป็นเหมือนการเรียกสติของป้าหลี่ให้ตื่นจากภวังค์ นางจับมือของลุงสวี่โดยไม่ตั้งใจและนั่งลงเงียบ ๆ ใบหน้าของชายชราพลันขึ้นสีแดงระเรื่อ จากนั้นป้าหลี่ก็สังเกตเห็น จึงชักมือออกด้วยความเขินอาย ทว่าลุงสวี่แกล้งแตะมือป้าหลี่อย่างไม่ตั้งใจอีกครั้งจากนั้นทั้งคู่กุมมือกันไว้อย่างนั้นโดยไม่สะบัดออกอีกต่อไป
ซูหวานหว่านมองไปเห็นการกระทำของทั้งสองคน และรู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องอะไรระหว่างทั้งสองนั้นเป็นแน่ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ นางเมินหน้าหนีและหันกลับไปพยุงแม่เจิ้นให้นั่งลง
ฮวงอี๋ฮวนที่เดิมทีแล้วต้องการจะให้ป้าหลี่ออกหน้าทว่าทำไม่สำเร็จ ดูเหมือนทั้งลุงสวี่กับป้าหลี่จะดูจะไม่อยากมีปัญหาแล้ว ทำให้ฮวงอี๋ฮวนไม่พอใจและหันไปพูดกับป้าหวังด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“ท่านป้า ทำไมท่านไม่สั่งสอนนางที่นางไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างท่านล่ะ? ท่านควรจะสั่งสอนนางไม่ใช่หรือ? ท่านอยากจะเสียหน้าต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้หรือ!”
***
[1] 尊老爱幼-เคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็ก
การเคารพผู้อาวุโสและรักเมตตาเด็กเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของคนจีน เมื่อหลายพันปีมานี้ผู้คนได้ปฏิบัติตนเคารพผู้อาวุโสจนเป็นมาตรฐานทางสังคม ในยุคจ้านกั๋วเมิ่งจื๊อได้กล่าวไว้ว่า “ต้องเคารพผู้อาวุโสของผู้อื่นเสมอเหมือนผู้อาวุโสของตน ต้องรักและดูแลลูกหลานของผู้อื่นเสมอเหมือนลูกหลานของตน” ในประเทศจีนผู้ที่ละเลยคุณธรรมข้อนี้ ไม่เพียงแต่จะได้รับการตำหนิที่รุนแรงที่สุดจากสังคม ยังอาจจะได้รับการลงโทษตามกฏหมายอีกด้วย