บทที่ 19 ทุ่งหญ้าพืชพันธุ์ที่ถูกพัดโหม
“ไม่เลย” ซูต้าเฉียงตอบพร้อมกับส่ายหัว ชายวัยกลางคนเซเล็กน้อยจนเกือบจะสะดุดหินล้มลง เขาจ้องมองไปยังผู้เป็นภรรยาด้วยแววตาโศกเศร้า “ข้า..ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานที่พวกเจ้าออกไป ตอนที่ข้ากลับไปบ้าน ข้าก็ไม่เจอข้าวสักเม็ด อาจจะมีเศษผักเหลือจากที่เด็ก ๆ เก็บมาเมื่อวาน พอข้าไปหาท่านแม่ของเพื่อขออะไรกิน พวกเขาก็ไล่ข้าออกมา…”
ซูต้าเฉียงคิดย้อนไปตอนที่เข้าไปหาท่านแม่เพื่อขออาหาร และพบว่าบนโต๊ะอาหารมีไก่ตัวใหญ่วางอยู่ด้วย! ซูต้าเฉียงรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เมื่อแม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูเห็นหน้าซูต้าเฉียง พวกเขาจึงรีบซ่อนไก่ตัวนั้น อีกทั้งยังบอกว่าในบ้านของพวกเขาก็ไม่มีอาหารเหลือเลยเช่นกัน พวกเขาปฏิเสธซูต้าเฉียงซ้ำยังขับไล่ออกไปทั้ง ๆ ที่คราบความมันจากอาหารยังเลอะอยู่ที่ปากของพวกเขา ยิ่งคิดซูต้าเฉียงก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง…
ในที่สุดทั้งสามคน พ่อ แม่ ลูก ก็เดินทางมาถึงเรือนพักพิงของแม่เฒ่าเจียง พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหญิงชราผู้อยู่มาก่อน อันเป็นการต้อนรับที่ไม่เคยได้รับจากคนตระกูลซู
หลังจากเข้ามาด้านในบ้าน แม่เจิ้นก็เริ่มทยอยหยิบของที่ซื้อมาออกจากถุงผ้า ซูต้าเฉียงมองข้าวของเหล่านั้นอย่างรู้สึกผิด เขาคิดว่านั่นต้องเป็นของที่มาจากเงินที่นำปิ่นปักผมไปจำนำ พลันความรู้ผิดก่อตัวขึ้นในหัวใจของซูต้าเฉียง เขาอยากจะต่อยหน้าตัวเองหลาย ๆ ครั้งให้สาสมกับสิ่งที่ตนเองกระทำลงไป! เมื่อคิดได้แบบนั้นเขาก็ตบเข้าที่หน้าตัวเองหลายที “ข้าไม่น่าทำแบบนั้นเลย หากเมื่อวานข้านำปิ่นปักผมไปให้ท่านแม่ล่ะก็ ครอบครัวเราต้องอดตายแน่ ๆ”
ซูหวานหว่านมองภาพตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ฉับพลันแววตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา นางเคาะรูหนูที่อยูตรงมุมห้องสองสามทีพร้อมทั้งนำขนมปังกรอบให้มันเล็กน้อย พลางยิ้มให้กับความคิดของตน
คนที่จะหิวจนทรมานต้องไม่ใช่ครอบครัวนาง แต่เป็นพวกนั้นต่างหาก!
นางจะก่อความวุ่นวายให้ตระกูลซูเอง!
ณ เวลาเดียวกันในที่บ้านตระกูลซู
แม่เฒ่าเจี๋ยกำลังเดินเข้าบ้านมาพร้อมทั้งดุด่าผู้เป็นสามีด้วยท่าทางเอาเรื่อง สองสามีภรรยาตอบโต้ด่าทอกันไปมาอย่างรุนแรง
“การกระทำของเจ้ามันทำให้ข้าอับอาย!!” พ่อเฒ่าซูกล่าวอย่างเหลืออด
“ท่านว่าอย่างไรนะ! มานึกอายอะไรตอนนี้? ไม่ละอายบ้างหรือตอนที่สั่งให้ข้าทำ?” แม่เฒ่าเจี๋ยด่าทอผู้เป็นสามีอย่างเดือดดาลทั้งยังทุบเข้าที่หลังของเขาเต็มแรง
ชายชราที่กระแอมกระไออย่างรุนแรงจึงกล่าวตอบไป “เจ้านี่ช่างก้าวร้าวขึ้นทุกวัน แถมกล้าตีข้าอีก! คิดว่าข้าไม่กล้าหย่ากับเจ้าอย่างงั้นเหรอ?”
“เจ้า!” แม่เฒ่าเจี๋ยตกอยู่ในความเงียบ อายุของนางในตอนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว หากหย่าร้างกันไป นางก็ไม่มีที่ไหนให้ไปแล้ว! ถึงแม้ว่าในใจจะคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ แต่หญิงชราก็ไม่กล้าแสดงอาการหรือท่าทางโมโหต่อผู้เป็นสามี จึงตัดสินใจเดินฟึดฟัดหมายไปหยิบไก่ที่เคยนำไปซ่อนจากสายตาลูกชายกลับมากิน แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า ไก่ของนางหายไป!
“ไอ้เฒ่า! ท่านกล้ากินไก่พวกนี้ลับหลังข้างั้นหรือ! ท่านไม่คิดจะเหลือไว้ให้ข้าสักชิ้นเลยหรืออย่างไร!! หลายปีมานี้ ข้าเสียเวลาเหลือเกินที่มาใช้ชีวิตอยู่กับท่าน!” แม่เฒ่าเจี๋ยที่โอดควรญด้วยความโมโห นางพาลใส่สามีจนชายชราแทบจะทนไม่ไหว พ่อเฒ่าซูตัดสินใจจะเดินออกจากตรงนั้นทันที
ทว่าชายชราก็ยังหันกลับมาเดินตรงไปหาแม่เฒ่าเจี๋ยอย่างรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดล้มและตะโกนใส่ภรรยาด้วยความโมโห “นังสารเลว เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าไก่นั่นเจ้าเป็นคนซ่อนมันไว้เอง ข้าจะไปกินมันลับหลังเจ้าได้อย่างไร! เจ้ายังไม่ได้หามันดี ๆ ด้วยซ้ำ!”
“ท่านตาบอดหรืออย่างไรกันถึงได้มองไม่เห็นว่ามันหายไป!” แม่เฒ่าเจี๋ยตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้น “ข้าได้มันมาจากเงินที่ต้าเฉียงให้ แต่เจ้าที่ไม่ได้ทำอะไรเลยกลับกินมันหมดเพียงคนเดียว!”
“ไร้สาระ!! ข้าไม่ได้เป็นคนกินมัน!” พ่อเฒ่าซูเองตะโกนออกมาอย่างฉุนโกรธ นังสารเลวนี่กล้าที่จะใส่ร้ายเขางั้นเหรอ?
สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยความสงสัย ในเมื่อพวกเขาทั้งสองไม่ได้กิน แล้วใครเล่าที่เป็นคนกิน…
นับตั้งแต่ที่ภรรยาของเขานำมันไปซ่อน พวกเขาก็ไม่ได้แตะต้องสิ่งนี้อีกเลย แล้วใครกันที่เป็นคนกินไก่ที่เหลือ ทั้งสองคนถกเถียงเรื่องไร้สาระนี่กันไปอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งแม่เฒ่าเจี๋ยเชื่อสามี และคิดหาต้นตอความจริงเกี่ยวกับสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้น
เสียงทะเลาะของสองสามีภรรยาดังเข้ามาถึงในห้องของฮวงชุ่นเจิน นางที่กำลังกินไก่อยู่อย่างเอร็ดอร่อยชะงักกึก
ฮวงชุ่นเจินกลับมาที่บ้านก่อนผู้ใด เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นจานไก่วางไว้บนโต๊ะจึงคิดว่าทั้งสองคนใจดีแบ่งปันอาหารทิ้งไว้ให้
ว่าแล้วฮวงชุ่นเจินรีบยัดไก่ชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เมื่อนางกินไปจนเกือบจะหมด ความสงสัยพลันปรากฏขึ้นในใจ
หรือว่า…ไก่นี่จะเป็นของแม่เฒ่าเจี๋ย หากแม่เฒ่าเจี๋ยไม่ได้อยากให้นางกินไก่นี่ แล้วมันมาอยู่บนโต๊ะในห้องของนางได้อย่างไรกัน?
ในขณะที่ฮวงชุ่นเจินกำลังจะจัดการกับหลักฐาน ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมทั้งร่างของแม่เฒ่าเจี๋ยที่พุ่งพรวดเข้ามา
แม่เฒ่าเจี๋ยที่เตะประตูเข้าไปในห้องของฮวงชุ่นเจินได้กลิ่นไก่ลอยอบอวลอยู่เต็มห้องไปหมด ชามไก่ในมือของลูกสะใภ้ถือเป็นหลักฐานอันแน่นหนา หญิงอ้วนตรงหน้าถือชามไก่ไว้ในมือ ถึงแม้ว่าจะซ่อนมันแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
“เฮอะ!! นังสารเลวนี่เองสินะที่กล้าขโมยอาหารจากห้องของข้า!” แม่เฒ่าเจี๋ยร้องโวยวาย หญิงชราตบฮวงชุ่นเจินจนล้มลงไปนั่งมึนอยู่บนพื้น
“ไม่ใช่นะท่านแม่ ข้าไม่เคยมีความคิดจะรื้อค้นห้องของท่านด้วยซ้ำ! อีกอย่างหากข้ามีของดี ๆ ยังไงข้าก็แบ่งให้ท่านอยู่แล้ว” ฮวงชุ่นเจินตอบกลับไปทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกงงงวย
“เจ้ากล้ามากที่โกหกข้า! ดูชามกระเบื้องตรงหน้าเจ้าเสีย มันเป็นของข้าแต่ตอนนี้มันอยู่ในห้องของเจ้า!! แหกตาดูเสีย” แม่เฒ่าเจี๋ยตบฮวงชุ่นเจินอีกครั้ง
นังสาวเลวนี่กล้าที่จะโกหกข้าอย่างงั้นหรือ!!
“กินอร่อยมากเลยใช่ไหม! คายมันออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” แม่เฒ่าเจี๋ยวิ่งเข้าไปบีบปากของฮวงชุ่นเจินให้อ้าออก เผยให้เห็นเศษไก่ที่ยังคงติดอยู่ตามซอกฟัน เป็นหลักฐานมัดตัวได้ว่าฮวงชุ่นเจินตั้งใจจะโกหกนาง พลันใดนั้นแม่เฒ่าเจี๋ยก็ปล่อยมัดลุ่น ๆ ใส่ฟันหน้าของฮวงชุ่นเจินอย่างเต็มแรง จนทำให้ฟันหน้าของหญิงอ้วนเอียงและมีเลือดออก
“ท่านแม่! ไม่ใช่ข้าจริง ๆ!! ตั้งแต่ข้ากลับมาก็เห็นชามใบนี้ตั้งอยู่บนโต๊ะของข้าแล้ว!! ข้าเลยคิดว่าท่านตั้งใจนำมาให้ข้า!!” ฮวงชุ่นเจินตะโกนพร้อมน้ำตาไหลพราก ทั้งสองฉุดกระชากลากถูกันอยู่อย่างนั้น แต่เพราะแม่นางฮวงยังสาวกว่าจึงมากไปด้วยแรงกาย นางผลักแม่เฒ่าเจี๋ยอย่างแรง จนหญิงชรากระเด็นเซชนเข้าที่มุมโต๊ะเข้าอย่างจัง!
“นังสารเลวนี่มันกล้า!!…” แม่เฒ่าเจี๋ยตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด ก่อนจะล้มลงสำลักของเหลวสีดำอะไรบอกอย่างออกมาจากคอและเป็นลมหมดสติไป
“ทะ..ท่านแม่! เกิดอะไรขึ้น! ท่านเป็นอะไรไป!!” ฮวงชุ่นเจินตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก ขณะที่พ่อเฒ่าซูเดินเข้ามาเนื่องจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ภาพตรงหน้าทำให้ชายชราหยิบไม้เท้าของเขาขึ้นมา และฟาดเข้าไปที่หลังฮวงชุ่นเจินอย่างเต็มแรง “เจ้ากล้าทำร้ายแม่สามีของเจ้า! นังลูกสะใภ้นอกคอก! ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
ผิวหนังบอบบางเพราะไม่ได้เติบโตมาด้วยความลำบากของฮวงชุ่นเจินไม่สามารถทนต่อแรงทุบตีที่ชายชราฟาดลงมาได้ นางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พยายามจะคลานหนี ทว่าพ่อเฒ่าซูผู้โหดเหี้ยมก็จับเท้าอ้วน ๆ ของนางและพูดกึ่งตะโกนใส่ด้วยความโมโหว่า “ถ้าหากเจ้าคิดที่จะหนีล่ะก็ ข้าจะให้ลูกชายของข้าหย่ากับเจ้า!!”
“ทะ..ท่านพ่อ! ข้าไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ!!” ฮวงชุ่นเจินร้องไห้โวยวายด้วยความเจ็บปวด จังหวะนั้นเองฮวงชุ่นเจินก็เหลือบไปเห็นรอยฟันเล็ก ๆ บนกระดูกไก่ชิ้นหนึ่ง ทำให้นางชะงักงันก่อนรีบพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ…มันเป็นหนู มันเป็นพวกหนูที่นำไก่จานนี้มาให้ข้า!!” ฮวงชุ่นเจินพูดอย่างลนลาน ถึงแม้หญิงสาวจะคิดถูกเรื่องที่พวกหนูเป็นคนนำจานไก่มาวางไว้ ทว่านั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะหนูนำจานไก่มาไว้ในห้องนางจริงแต่คนสั่งให้พวกหนูทำคือ…ซูหวานหว่าน!
“โถ่เอ่ย!! เจ้ากล้าที่จะพูดจาไร้สาระใส่ข้าอย่างงั้นหรือ!!” พ่อเฒ่าซูยังคงทุบตีนางอย่างรุนแรงต่อไป ชายชรายืนอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบ “มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกหนูจะยกอาหารมาถึงห้องเจ้า แถมยังมาวางไว้บนโต้ะให้เสร็จสรรพ! เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!!”
หากไม่ใช่เพราะพวกหนูที่นำอาหารจานนี้เข้ามาในห้อง แล้วมันคือสิ่งใดกัน? เมื่อวานนี้ไม่มีใครสักคนที่อยู่บ้าน ครอบครัวของน้องรองก็ไม่อยู่บ้าน สามีของนางก็ออกไปทำงานข้างนอก แล้วลูก ๆ ของนางก็ไปเรียนกันหมด ฮวงชุ่นเจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและสักพักดวงตาก็เบิกกว้าง “หรือว่าจะเป็นซูต้าเฉียง! เขาไปที่ห้องของท่านเพื่อขออาหาร หลังจากที่โดนไล่ออกมาจึงรู้สึกคับแค้นใจ เลยอาศัยช่วงเวลาที่พวกท่านไม่อยู่กลับมาขโมยไก่และกลัวว่าจะโดนพวกท่านจะจับได้ จึงนำมันมาไว้ที่ห้องของข้า!!”
ถ้าซูหวานหว่านอยู่ด้วยในตอนนี้ เด็กสาวคงจะปรบมืองาม ๆ ให้กับความคิดของฮวงชุ่นเจินที่คิดออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้
“หืม..?” พ่อเฒ่าซูชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของฮวงชุ่นเจินเมื่อครู่ นัยต์ตาของเขาฉายแววสับสนราวกับกำลังคิดอะไรบ้างอย่าง ก่อนจะส่ายหัวและกล่าวออกมาด้วยความโมโห “นิสัยแบบนั้นจะกล้าขโมยของได้อย่างไร!”
“ซูต้าเฉียงน่ะเชื่อฟังคำสั่งนังแม่เจิ้นแทนที่จะเชื่อฟังพวกท่าน มีหรือที่เขาจะไม่กล้าทำ!” ฮวงชุ่นเจินพูดใส่ไฟต่อไม่หยุด
เมื่อพ่อเฒ่าซูลองพิจารณาตามคำพูดของฮวงชุ่นเจินดี ๆ แล้ว เขาก็พบว่านั่นเป็นคำพูดที่มีเหตุผลมากทีเดียวที่ต้าเฉียงจะเป็นคนทำเรื่องพวกนี้
แม่เฒ่าเจี๋ยที่นอนกองอยู่ที่พื้นร้องโอดครวญให้เขาและฮวงชุ่นเจินไปตามหมอแต่ชายชราหาสนใจไม่ เนื่องจากท้องของเขาส่งเสียงดังประท้วงด้วยความหิวโหย เมื่อมาคิดดูดี ๆ แล้ว ชายชราเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อเช้า “ไปทำอาหารให้ข้าก่อนแล้วค่อยไปตามหมอทีหลัง”
“ได้เลยท่านพ่อ สะใภ้คนนี้รู้ดีว่าควรทำอะไร” ฮวงชุ่นเจินยืนขึ้นด้วยอาการสั่นเทา ร่างกายอ้วนท้วมเจ็บเหมือนโดนฉีกเป็นชิ้น ๆ ทำให้ยากนักที่จะทรงตัวให้ยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มลง แต่แม้ร่างกายจะบอบช้ำจนยืนแทบไม่ไหว ทว่าหากไม่ทำตามคำสั่งของชายชราตรงหน้า นางก็คงถูกทุบตีจนเดินไม่ได้เป็นแน่ จึงได้แต่เดินไปยังห้องครัวด้วยความยากลำบาก โดยมีชายแก่มองตามด้วยความโมโหหิว