บทที่ 27 โดนลอบฆ่า
คนอายุมากอย่างแม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูจะไปวิ่งทันซูหวานหว่านได้อย่างไรกัน…
แม่เฒ่าเจี๋ยและพ่อเฒ่าซูที่วิ่งตามซูหวานหว่านอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็คลาดสายตาจากเด็กสาว แต่ก็ไม่วายตะโกนด่าตามหลังเพราะเห็นหลังไว ๆ ของหลานสาววิ่งหายไปทางด้านหลังภูเขา
“เจ้าคิดว่าวิ่งเข้าไปในป่าแล้วจะหลบพ้นอย่างงั้นหรือ ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญนะ ถึงเจ้าเข้าไปในป่าก็ไม่รอดหรอก ในนั้นมีสัตว์ป่าดุร้ายมากมาย ข้าขอให้เจ้าโดนพวกมันจับกิน!! เจ้าไม่มีทางรอดกลับมาแน่!!” แม่เฒ่าเจี๋ยที่ฟันหน้าหักกระเท่เร่ ทำให้นางควบคุมน้ำลายตัวเองไม่ค่อยได้ น้ำลายจึงสาดกระเด็นไปทั่วหน้าพ่อเฒ่าซู กลิ่นน้ำลายเหม็นคละคลุ้งทำให้ชายชราลืมเรื่องของซูหวานหว่านไปเสียหมด เริ่มมีปากเสียงแม่เฒ่าเจี๋ยอีกครั้ง
ซูหวานหว่านที่เดินหลบไปยังด้านหลัง ได้ยินเสียงตะโกนด่าไล่หลังมาก็รู้สึกหน่ายใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเดินไปได้สักพักซูหวานหว่านก็พบกับต้นไม้ที่แห้งตายต้นหนึ่ง บนต้นของมันมีเห็ดขึ้นเต็มไปหมด เห็นดังนั้นนางจึงรีบเก็บมันลงในตะกร้า พลันใดนางก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างเลื้อยผ่านหน้าไป
คงไม่ใช่เสียงของงูหรอกนะ
ขนบนร่างกายของซูหวานหว่านลุกตั้งชัน หญ้าเบื้องหน้าของนางสั่นไหวจากนั้นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายงูก็โผล่หัวออกมา
นั่นมันงูสามเหลี่ยม!!
งูพิษร้ายแรงอันตรายถึงชีวิต!
งูชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี ซูหวานหว่านตัดสินใจวางตะกร้าลงและเดินเข้าไปหางูตัวนั้นช้า ๆ ก่อนมองไปยังมือเล็ก ๆ ของตนเองด้วยความสงสัย
ซูหวานหว่านรู้สึกว่าตัวนางเองอ่อนแอเกินกว่าจะจับงูสามเหลี่ยมที่มีขนาดตัวเกือบเท่าแขนของนางได้ด้วยตัวเอง
ทันใดนั้นงูตัวก็พุ่งเข้าใส่หน้าของซูหวานหว่าน คิดว่านางจะสามารถหนีไปได้หรือไม่
แน่นอนว่าไม่ทันแล้วน่ะสิ!
แล้วนางทำอย่างไร? ก็ต้องจับงูตัวนั้นให้ได้ก่อนที่มันจะฉกนางเข้า
นางเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วและจับเข้าที่บริเวณลำคอของงูตัวนั้นได้ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่หน้าของตน เด็กสาวดึงเคียวที่นางพกมาด้วยฟาดลงไปที่หัวงู ทำให้มันดิ้นอย่างแรงเริ่มรัดแขนของซูหวานหว่านแน่นจนเส้นเลือดที่แขนนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน
แรงบีบจากมือของซูหวานหว่านค่อย ๆ คลายลง พลันใดงูตัวนั้นก็อ้าปากขึ้นเผยให้เห็นคมเคี้ยวเรียวเล็ก ซูหว่านหวานเห็นเช่นจึงใช้เคียวฟันเข้ากลางลำตัวของงู จนลำตัวของงูสามเหลี่ยมขาดออกเป็นสองท่อน เลือดสีแดงสดสาดกระเด็นไปทั่ว
ปากของงูพ่นพิษออกมาไม่หยุด ซูหวานหว่านจึงเอาตะกร้ามาขวางเอาไว้
ซูหวานหว่านมองเห็ดในตะกร้าที่ถูกสาดไปด้วยพิษของงู จึงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ ทว่าอีกใจหนึ่งซูหวานหว่านก็รู้สึกยินดีที่มันตาย เพราะนางสามารถใช้ประโยชน์จากงูตัวนี้ได้อีกเยอะ
ยิ่งงูตัวนี้ยิ่งมีพิษมากเท่าไร ถุงน้ำดีของมันก็จะยิ่งมีคุณภาพเยี่ยมยอดเท่านั้น
ซูหวานหว่านชำแหละถุงน้ำดีของงูออกมาก่อนจะนำเข้าปากและกลืนลงไป ความคาวของมันกระจายอยู่ทั่วทั้งปากของเธอ
ส่วนเนื้องูนั้นนับเป็นยาชูกำลังชั้นดี เด็กสาวเริ่มมีความคิดอยากจะนำเนื้องูทั้งหมดกลับไปกินที่บ้าน ทว่านางกลัวว่าแม่เจิ้นและคนอื่น ๆ จะสงสัยว่าเด็กสาวอย่างซูหวานหว่านแบกงูพิษที่หนักหลายชั่ง กลับมาบ้านด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นนางคงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาของชาวบ้านในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอนเลย!
“เฮ้อ!” ซูหวานหว่านถอนหายใจอย่างเสียดาย เนื้องูนี่มันก็เปรียบเหมือนเนื้อส่วนซี่โครงดี ๆ นี่เอง ช่างน่าเศร้าที่นางไม่สามารถแบกมันกลับไปกินได้จริง ๆ และคงต้องทิ้งมันไว้อย่างนี้
เมื่อได้ยินเสียงนกร้องซูหวานหว่านจึงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองท้องฟ้าอย่างครุ่นคิด คงไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้ชิ้นส่วนของงูเหลือทิ้งอยู่แบบนี้ ซูหวานหว่านตัดสินใจหยิบงูใส่ในตะกร้าและเริ่มมองหาแหล่งน้ำ
เมื่อเดินไปสักพักก็พบเข้ากับแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง นางจึงลงมือลอกหนังงูออก ล้างเนื้อของมันให้สะอาด จากนั้นก็ตั้งกองฟืนจุดไฟ
ในเวลาไม่นาน กลิ่นหอมฉุยของเนื้องูย่างก็ได้ปกคลุมทั่วบริเวณ ซูหวานหว่านย่างเนื้องูอย่างมีความสุข อีกทั้งเครื่องเทศที่นางพบในป่ายิ่งทำให้เนื้องูยิ่งมีกลิ่นหอมเย้ายวนและน่ากินมากขึ้นไปอีก
หลังจากย่างเสร็จซูหวานหว่านก็นั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะทิ้งเนื้องูบางส่วนที่กินไม่หมดไว้ตรงนั้น เตรียมตัวออกเดินทางหาของป่าต่อไป
จุดประสงค์ที่แท้จริงที่นางเข้ามาในป่าหลังภูเขาคือการเข้ามาขุดหาผักป่าเท่านั้น เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าป่าด้านหลังภูเขานั้นเป็นที่ที่ไม่มีชาวบ้านคนไหนอยากจะย่างกรายเข้ามา และด้วยความที่ไม่มีใครเข้ามาจึงทำให้ของป่าแถวนี้เป็นของที่หายากและมีราคาสูง หากมีคนเข้ามาที่นี่เขาอาจจะพบกับของหายากจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว!
หลังจากหาผักอยู่ครู่ใหญ่จนนางลืมเวลา พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าไปทีละนิด ๆ ฤดูใบไม้ผลิรวมกับละอองน้ำที่เย็นชื้นจากป่าทึบทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกหนาวจนตัวสั่น เมื่อนั้นเงยหน้าขึ้นก็พบว่านี่มันจวนจะค่ำแล้ว
เด็กสาวควรจะกลับบ้านไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ นางสังเกตเห็นว่ามีร่องรอยคล้ายกับรอยเท้าคนปรากฏใกล้ ๆ กับร่องรอยที่นางทำไว้กันหลงทาง
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก…?
เส้นทางที่นางเลือกใช้เป็นการลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ทั้งยังคดเคี้ยวจนน่าเวียนหัว พูดตามตรงหากเป็นคนทั่วไปเขาจะไม่เดินมาเส้นทางนี้แน่ ๆ
เป็นใครกันที่ตามนางมา?
ซูหวานหว่านขมวดคิ้วและเดินตามรอยเท่านั้นไปเรื่อย ๆ
นางค่อย ๆ เดินตามรอยเท้าไป สายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ เด็กสาวเดินผ่านต้นไม้ใหญ่หลายต่อหลายต้น พลันใดก็มีเงาดำกระโดดลงมาจากต้นไม้ พร้อมกับแสงเงาวับจากโลหะสะท้อนเข้าตาของนาง เมื่อได้สติอีกครั้งก็มีดาบจ่ออยู่ที่คอนางแล้ว
“เจ้าเคยเห็นชายหนุ่มในชุดสีดำหรือไม่?” บุคคลลึกลับในชุดคลุมสีดำถามนางด้วยเสียงราบเรียบ น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกเหมือนกับน้ำแข็งในช่วงฤดูกาลอันหนาวเหน็บ
ฟังจากน้ำเสียงของชายในผ้าคลุมดำแล้ว อีกฝ่ายต้องไม่ใช่คนในพื้นที่นี้แน่ ๆ อีกทั้งไม่น่าจะใช้ชาวบ้านธรรมดา ๆ ด้วย
เขามาจากที่ใดกัน?
ซูหวานหว่านนึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครในหมู่บ้านของนางที่มีค่าจนทำให้คนแบบนี้ตามหา เพื่อฆ่าคนคนนั้นทิ้ง
ด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ท่าทางที่เด็ดเดี่ยวและดุดันของเขา ทำให้นางเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นนักฆ่าหรือไม่ก็ผู้ลอบสังหารแน่ ๆ นางจึงถามออกมาอย่างใจเย็นและระมัดระวัง
“ท่านช่วยบอกอะไรที่มันระบุตัวเขาให้มากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ หากท่านบอกเพียงแค่นั้นเกรงว่าข้าจะนึกไม่ออก”
หลังจากซูหวานหว่านพูดจบชายในชุดดำก็กดดาบลงบนคอของซูหวานหว่าน ทำให้ที่คอของนางมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย
ซูหวานหว่านมั่นใจเลยว่าตนเองคิดถูก หากว่านางตอบว่าไม่รู้อะไรเลยเขาอาจจะลงมือฆ่านางในทันทีก็เป็นได้
“ชายผู้นั้นมีอายุประมาณ 16-17 ปี เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามมีท่าทีที่สง่า เจ้าพอจะนึกออกหรือยัง”
ชายชุดดำจ้องมองไปยังซูหวานหว่านอย่างใจเย็น
“ขอข้าคิดก่อนนะ…” ในขณะที่นางกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ใบหน้าของฉีเฉิงเฟิงก็ปรากฏขึ้นในหัว และที่สำคัญสำเนียงของฉีเฉิงเฟิงค่อนข้างคล้ายกับคนพวกนี้เสียด้วย!
ซูหวานหว่านขมวดคิ้วอีกครั้งและพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ชายผู้นั้นมีดวงตาเปล่งประกายดุจดวงดาว เส้นผมดำกริบเหมือนหมึก ผิวขาวนวลสวยเหมือนกระเบื้องใช่หรือไม่”
“ใช่…” ชายในผ้าคลุมดำพยักหน้ารับ แล้วจ้องไปยังซูหวานหว่านด้วยสายตาคาดคั้น “เขาอยู่ที่ใด”
“เขาเหรอ? เขาอยู่ที่หมู่บ้านอื่นหรือเปล่า เหตุใดท่านถึงมาหาเขาที่หมู่บ้านของเรา” ซูหวานหว่านยิ้มอย่างใสซื่อ “หากว่าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ท่านคงหมายถึงหวางเอ้อร์โกว่จือที่มาจากหมู่บ้านข้าง ๆ สินะ ข้าว่าเขาหล่อและงดงามมากเลย หญิงสาวในหมู่บ้านของข้าชอบพอเขาเป็นจำนวนมากเลยล่ะ!”
แต่หวางเอ้อร์โก่วจือไม่ใช่คนที่ชายชุดดำตามหา!
ชื่อนี้เป็นชื่อที่คนใช้กันเยอะ เขาจะเป็นคนชั้นสูงที่พวกเขาตามหาได้อย่างไร?
ชายชุดดำง้างดาบขึ้นก่อนจะฟันไปที่ต้นไม้ด้านหลังซูหวานหว่าน
ซูหวานหว่านก็อาศัยจังหวะที่ชายชุดดำเผลอปีนขึ้นต้นไม้ด้วยความรวดเร็ว
“เจ้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะฆ่าข้าได้หรอก!” ซูหวานหว่านที่ฉีกยิ้มส่งให้อีกฝ่าย นางแขวนตะกร้าไว้ที่กิ่งไม้ก่อนจะห้อยตัวลงมาจากต้นไม้พร้อมเคียวในมือ
“เจ้า! ตายซะเถอะ!” ชายชุดดำตวาดพร้อมกับพุ่งตัวเข้าใส่ซูหวานหว่าน เขาไม่รอช้าฟันดาบไปทางซูหวานหว่านอีกหน พวกเขาทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันขึ้นมา กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ชายชุดดำก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
ชายชุดดำตกตะลึงในความสามารถของซูหวานหว่านเป็นอย่างมาก นางสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยเคียวแค่ด้ามเดียว นี่มันระดับนักฆ่ามืออาชีพเลยนี่!
“จะ..เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายชุดดำถามขึ้นความโกรธแค้น เขารู้สึกเศร้าที่ต้องมาแพ้ให้กับเด็กสาว!
เขาเพียงได้รับคำสั่งให้มาฆ่า ก็เลยคิดว่ามันง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก ทว่าใครจะไปรู้ว่าจะได้มาพบกับคนที่มีฝีมือร้ายกาจ!!
แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ!
“ข้าก็เป็นป้าเจ้าไง!” พูดจบซูหวานหว่านก็ง้างเคียวขึ้นหวังฟันไปที่หลังของชายชุดดำ
ทว่าด้วยไม่อยากจะทิ้งสิ่งที่จะเอาไว้ฝึกซ้อมความสามารถของตนเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงโยนเคียวในมือทิ้งไป และหันมาใช้กำปั้นทุบไปที่หลังของเขาแทน หากไม่ทำเช่นนี้ชายชุดดำคนนี้ก็จะตายเร็วไปหน่อย
ชายชุดดำเห็นซูหวานหว่านขว้างอาวุธทิ้ง เขาก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“นังบ้า! อย่ามาขอความเมตตาจากข้าทีหลังก็แล้วกัน! คราวนี้เจ้าได้ตายจริง ๆ แน่” ชายชุดดำโมโหจนตัวสั่น การที่นางทิ้งอาวุธนั่นเท่ากับว่านางกำลังดูถูกเขา
มันจะมากเกินไปแล้ว!!