บทที่ 34 การฆ่าตัวตายของผู้เป็นพี่!?
ในขณะที่ซูหวานหว่านกำลังขบคิดอะไรบางอย่างในหัว ทำให้ดูเหมือนจะเมินป๋ายเยว่ซินไปด้วย นั่นก็ทำให้อีกฝ่านไม่พอใจในท่าทางของซูหวานหว่านมากจนโวยวายขึ้น “นี่! ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ เหตุใดถึงทำเป็นไม่สนใจข้ากัน!”
“ห๊ะ! เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ซูหวานหว่านที่เพิ่งได้สติถามกลับป๋ายเยว่ซินด้วยความมึนงง อีกฝ่ายเลยพลันส่งสายตาไม่พอใจมาให้ซูหวานหว่าน “เจ้าได้ยินหรือไม่ ข้าบอกว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายกับท่านพี่ฉีอีก อย่าสร้างปัญหาให้!”
“เจ้าเห็นข้าเข้าไปวุ่นวายกลับเขาเมื่อใด?” ซูหวานหว่านสับสนและถามออกไป หากจะให้ว่ากันตามตรงแล้วเป็นฉีเฉิงเฟิงที่สร้างปัญหาให้นาง ไม่ใช่นางหรือที่ต้องแบกเขาทั้งคืน?
“เป็นเจ้าที่เข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายกับเขา! ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าเข้าไปที่ป่าหลังภูเขามาด้วยกัน!”
“เจ้าแน่ใจแล้วเหรอว่าได้ยินมันถูกต้อง? หากมีคนพูดเรื่องแย่ ๆ ของเจ้าทั้ง ๆ ที่ตัวเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเขาพูด เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?” ซูหวานหว่านกลอกตา พยายามพูดอย่างใจเย็นเพื่อให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด เนื่องจากคนตรงหน้าคือ ‘ป๋ายเยว่ซิน’ ลูกสาวของท่านหัวหน้าหมู่บ้าน
“ก็…ก็…” ป๋ายเยว่ซินดูเหมือนจะพูดไม่ออกกับสิ่งที่ซูหวานหว่านพูด นางจึงก้มหน้าลง
ฉีเฉิงเฟิงที่เดินออกมาเพราะได้ยินเสียงโวยวาย เขามองไปที่หญิงสาวทั้งสองสลับกันไปมา ชายหนุ่มมองป๋ายเยว่ซินด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนเบนสายตาไปมองซูหวานหว่าน ฉับพลันแววตาของเขาก็เปลี่ยนไป ฉีเฉิงเฟิงจ้องมองซูหวานหว่านด้วยสายตาอ่อนโยน อีกทั้งมุมปากของเขาดูเหมือนจะยกยิ้มขึ้นนิด ๆ
ป๋ายเยว่ซินที่สังเกตสีหน้าและแววตาของฉีเฉิงเฟิง เช่นนี้จะให้นางกล้าเชื่อได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ชอบซูหวานหว่าน พลันคิดเช่นนั้นแล้วสีหน้าของนางก็ซีดลงก่อนจะหันหลังและวิ่งออกไปเพื่อหนีความจริงตรงหน้า
ซูหวานหว่านชี้มือไปทางป๋ายเยว่ซินที่วิ่งออกไปด้วยความงุนงงก่อนจะหันมาชี้ฉีเฉิงเฟิงและถามว่า “เจ้าไม่ตามนางไปเหรอ?”
“หืม? อะไรนะ?” ฉีเฉิงเฟิงที่ดูเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่ซูหวานหว่านพูด หันมาถามนางพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
ฉีเฉิงเฟิงไม่รู้สึกอันอะไรกับสาวสวยที่มีเสน่ห์เช่นนั้นเลยหรือ? หัวใจของซูหวานหว่านก็รู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อเห็นว่าเรื่องวุ่นวายจบลงแล้ว ซูหวานหว่านก็เดินเข้าประตูไปพร้อมกับตะกร้าใบที่นำมาด้วย นางจัดแจงนำผักป่าที่ปิดด้านบนไว้ออกเผยให้เห็นอาหารจานหนึ่งที่มีทั้งเนื้อและผักที่ครบถ้วนด้วยสารอาหาร “นี่สำหรับคำขอโทษที่ทำให้เจ้าป่วย หากข้าไม่นำเนื้องูให้เจ้ากินเจ้าก็คงจะไม่ต้องไข้ขึ้นแบบนี้”
ซูหวานหว่านพูดจบก็หันไปหยิบหยกขึ้นมาจากตะกร้าเป็นอย่างสุดท้าย เดิมทีนางเพียงแค่ต้องการยืมเครื่องมือจากฉีเฉิงเฟิงเพื่อใช้แกะสลักเพิ่มมูลค่าให้กับหยกก้อนนี้ ทว่าเมื่อนางเหลือบไปเห็นภาพที่ถูกแขวนไว้ในห้องของชายหนุ่ม ความคิดดี ๆ ก็แล่นเข้ามาในหัว
“ฉีเฉิงเฟิงข้ามีกิจการดี ๆ มานำเสนอ เจ้าสนใจหรือไม่?” ซูหวานหว่านพูดพร้อมเอามือแตะกระดาษบนโต๊ะของฉีเฉิงเฟิง คุณภาพของมันนั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว กระดาษฟางคุณภาพดีนี้แผ่นหนึ่งจะต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 5 เหรียญในการซื้อมัน เมื่อเหลือบไปมองข้าง ๆ ก็พบกับกองกระดาษคุณภาพเยี่ยมเช่นนี้ตั้งอยู่เป็นกองสูง
ซูหวานหว่านรู้สึกอิจฉาฉีเฉิงเฟิงเล็กน้อยกับฐานะที่ดูเหมือนคุณชายน้อยผู้ร่ำรวยที่สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างกับเทน้ำให้ไหล สำหรับฉีเฉิงเฟิงแล้วเงิน 1,000 ตำลึงก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายคงใช้หมดภายในปีสองปีเป็นแน่แท้
อย่างไรก็ตาม ภาพวาดของเขาคงจะถูกขายได้ในราคาไม่ใช่น้อย ๆ ซึ่งภาพหนึ่งคงจะไม่ต่ำกว่า 10 ตำลึงเงิน และนั่นหมายความว่าภาพวาดของเขาจะต้องมีคุณภาพและเป็นที่นิยมมากแน่ ๆ
ซูหวานหว่านหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความภูมิใจเล็ก ๆ ที่ฉีเฉิงเฟิงมีความสามารถหลายด้าน
“เจ้าหมายถึงกิจการอันใด?” ฉีเฉิงเฟิงถามพร้อมกับหยิบก้อนหยกขึ้นมาถือและพิจารณามัน “หากให้ข้าเดา ดูเหมือนว่า…เจ้าคงอยากจะให้ข้าเข้าไปในป่าเพื่อหาเจ้าก้อนนี่เพิ่มสินะ?”
ฉีเฉิงเฟิงกล่าวอย่างมั่นใจเมื่อมองสีหน้าของซูหวานหว่าน แน่นอนว่านางจะต้องให้เขาทำอะไรที่ไม่ง่ายสำหรับตัวเขาเองอย่างแน่นอน
“อันที่จริงความคิดนั้นก็ไม่เลวนะ…ทว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ สิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำคือช่วยวาดอะไรบางอย่างให้ข้าได้หรือไม่”
“วาดภาพงั้นหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ข้าจะให้เจ้าช่วยออกแบบและวาดลวดลายเพื่อให้ข้าแกะสลักหยกตามแบบที่เจ้าได้วาดไว้ หากข้าขายของชิ้นนี้ได้ เมื่อคิดเป็น 1 ชิ้นต่อ 10 ส่วน เจ้าจะได้ส่วนแบ่ง 3 ส่วน…ส่วนของข้านั้น 7 ส่วน” ซูหวานหว่านพูดพร้อมกับมองตรงไปที่ชายหนุ่มที่มีท่าทีเฉย ๆ ต่อสิ่งที่นางพูด ซึ่งมันก็ทำให้ซูหวานหว่านกลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่สนใจและไม่ยื่นมือเข้ามาร่วมทำการค้าด้วยกัน
“ได้” ทว่าฉีเฉิงเฟิงกลับตอบตกลง
เมื่อพูดจบเขาก็หยิบก้อนหยกในมือขึ้นมาชูพลางทำท่าพิจารณา
“เราควรดึงส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของหยกชิ้นนี้ออกมาเป็นจุดเด่น เมื่อข้าพิจารณาจากความหนาของมันแล้ว เราสามารถตัดมันแบ่งออกเป็นสองส่วน จากนั้นแค่ทำให้หยกสองส่วนนั้นต่อกันได้เหมือนชิ้นส่วนเครื่องประดับของคู่รัก ซึ่งด้วยวิธีนี้ข้าว่าน่าจะเพิ่มมูลค่าให้กับมันได้มากที่สุด”
“คู่รัก?” ฉีเฉิงเฟิงพูดย้ำพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม เขาเริ่มจะสนใจสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดบ้างแล้ว
“ใช่ ก็เหมือนหยกนี่เป็นคนสองคนที่รักกัน เจ้าก็ลองคิดดูว่าเจ้าสามารถออกแบบมันให้ออกมาเป็นแบบไหนได้บ้าง” ซูหวานหว่านกล่าวด้วยคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจในความสามารถของฉีเฉิงเฟิง
หลังจากที่ทั้งสองถกเถียงและพูดคุยกันอยู่สักพัก ซูหวานหว่านก็ตัดสินใจกลับบ้านไปทั้งอย่างนั้นและทิ้งให้ฉีเฉิงเฟิงงุนงงอยู่เหมือนเดิม
จี้หยกคู่อย่างงั้นหรือ? เขาควรจะออกแบบมันให้เป็นแบบไหนจากคำนิยามว่า ‘คู่รัก’ ที่ซูหวานหว่านทิ้งไว้ให้กัน?
เมื่อเขาปล่อยเวลาให้ผ่านไปชั่วครู่และมั่นใจได้ว่าซูหวานหว่านจะไม่กลับเข้ามาหาแล้ว ชายหนุ่มก็ปิดประตูและเข้าไปนำกล่องใบหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เตียงของเขาออกมาปัดฝุ่นและเปิดออก ข้างในมีหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ที่เนื้อหาเขียนไว้เกี่ยวกับความรักและการแสดงออกของคู่รักตั้งแต่สมัยโบราณกาล
ในระหว่างที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนั่นอยู่ด้วยความสนใจ พลันใดเขาก็ถูกมันบาดเข้าที่มือ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็จัดการจัดสันหนังสือใหม่ พลางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น “สันหนังสือที่ทำมาจากทองคำช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”
ซูหวานหว่านที่กลับมาบ้านแล้วก็ได้แต่ครุ่นคิดว่าจะหาไก่ไปให้พวกหมาป่าจากที่ไหนได้ภายใน 3 วันนี้!
อย่างไรก็ตามซูหวานหว่านไม่สามารถบอกเรื่องเงิน 1,000 ตำลึงนี้กับใครได้
เด็กสาวกังวลอยู่สักพักหนึ่งจนพระอาทิตย์เริ่มตกดินและท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ซึ่งควรจะถึงเวลาที่นางต้องทำอาหารแล้ว เมื่อเดินไปเปิดที่เก็บข้าวดูก็พบว่ามันไม่เหลือข้าวแม้แต่เม็ดเดียว ทันใดนั้นแม่เฒ่าเจียงที่เข้ามาได้จังหวะก็บอกกับนางว่า “เจ้าเอานี่ไปเถิด แล้วไปทำอาหารเย็นกินกันก่อน นี่คงจะพอให้พวกเจ้ากินได้สองสามวัน”
ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ซูหวานหว่านยืมข้าวของแม่เฒ่าเจียงมากิน ทำให้ตอนนี้แม่เฒ่าเจียงมีข้าวเหลืออยู่ไม่มากนัก นางรู้ดีอยู่แล้วว่าข้าวของแม่เฒ่าเจียงเหลือน้อยลงไปทุกที ทำให้นางไม่อยากรบกวนแม่เฒ่าเจียงอีก ทว่าสุดท้ายซูหวานหว่านที่ไม่มีทางเลือกก็ต้องรับมันมาอย่างเลี่ยงไม่ได้… แม่เฒ่าเจียงช่างแสนดีกับครอบครัวนางจริง ๆ
ซูหวานหว่านคิดว่าคืนนี้คงจะต้องแอบให้เจ้าพวกหนูแบ่งข้าวที่ขโมยจากตระกูลซูมาให้แม่เฒ่าเจียงเสียแล้ว นั่นอาจจะเป็นวิธีเดียวที่นางจะสามารถชดเชยให้กับแม่เฒ่าเจียงผู้มีเมตตาคนนี้ได้
เวลาผ่านไปได้ไม่นาน ในห้องครัวก็ได้มีกิจกรรมร่วมกันอย่างอบอุ่น เจิ้นซิวซิวผู้เป็นแม่กำลังถักไหมพรมอยู่ตรงเก้าอี้ฟางที่มุมห้อง ส่วนซูหวานหว่านเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการประกอบอาหารเย็น โดยมีเจ้าน้องสาวคนเล็กช่วยก่อไฟอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นพี่สาวกำลังถือเห็ดหอมและเห็ดหนูอยู่เต็มมือและกำลังจะใส่มันลงไปในหม้อ นางก็ร้องไห้เสียงดังและวิ่งไปหาแม่ทันที
“ท่านแม่ ๆ! แย่แล้ว พี่หวานหว่านกำลังทำอะไรก็ไม่รู้ มาดูเร็วท่านแม่ มาห้ามนางเร็ว!”
ซูหวานหว่านขมวดคิ้วให้กับท่าทีของน้องสาว ก่อนจะเหลือบมองเห็ดในมือ อ่า… ซูเสี่ยวเหยี่ยนคงจะโวยวายเพราะเห็ดพวกนี้ดูสกปรกสินะ
หรือว่าซูเสี่ยวเหยี่ยนจะแค่แกล้งเล่น? ทว่ามันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น นางดูจริงจังและตกใจมากจริง ๆ ซูหวานหว่านคิดพลางมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นว่าดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปจนจวนจะค่ำแล้ว นางจึงได้ตัดสินใจไปตักน้ำในบ่อเพื่อมาล้างมัน
เมื่อนางกำลังก้มลงไปในบ่อและพยายามดึงเอาถังตักน้ำขึ้นมาจากก้นบ่อ ก็ต้องตกใจกับเสียงข้างที่ดังไล่มา “หวานหว่าน!” เสียงนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นอย่างรวดเร็วและจับนางจากทางด้านหลัง ก่อนจะพยายามดึงนางขึ้นมาจนแทบจะเสียการทรงตัว ทำให้หน้าเกือบจะจุ่มไปกับถังน้ำ “เจ้าอย่าคิดสั้นนะ! ทำไมกัน! แม่เฒ่าเจียงให้พวกเรายืมข้าวตั้งส่วนหนึ่งแล้ว นั่นจะทำให้เราพอกินไปสองสามวันเลยทีเดียว ไม่ต้องคิดมากไปนะลูก!”
แม่เจิ้นกล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ในขณะที่ซูหวานหว่านเงยหน้าขึ้นมาจากบ่อน้ำมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างงุนงง ในมือของนางถือถังน้ำไว้ใบหนึ่ง เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ที่มีน้ำตาคลออยู่จึงปล่อยถังน้ำที่ถือด้วยความตกใจและงุนงง …เหตุใดท่านแม่ถึงร้องไห้?
ซูต้าเฉียงผู้เป็นพ่อที่วิ่งตามออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “หวานหว่านลูก! อย่าคิดสั้นไปเลย พ่อจะไม่เอาเงินไปให้กับท่านย่าอีกแล้ว ดะ…เดี๋ยวพ่อจะไปยืมเงินชาวบ้านมาซื้อข้าวกินบ้างก็ได้ พวกเราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป!”
น้องเล็กทั้งสองอย่างซูจิ่นหมิงและซูเสี่ยวเหยี่ยนก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน ทั้งสองช่วยกันดึงชายเสื้อของผู้เป็นพี่ไว้ “ท่านพี่! ทำไมถึงต้องคิดสั้นเช่นนี้ การมีชีวิตอยู่มันไม่ดีหรือ? หากท่านกินไม่อิ่มพวกเราสองคนไม่กินก็ได้ พวกเราจะให้ท่านกินให้พอเท่าที่ท่านต้องการ!”
ซูจิ่นเฉียงที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ได้ยินว่าซูหวานหว่านกำลังคิดสั้น เขาก็พลันทิ้งหนังสือในมือและวิ่งมาด้วยอาการแตกตื่น “ไม่ต้องห่วง!! ขะ..ข้ากำลังจะไปสอบเป็นบัณฑิตในไม่ช้านี้ ต่อไปนี้ข้าจะได้หาเงินมาดูแลครอบครัวของเราเอง”
“โอ๊ย! หยุดก่อน ท่านแม่ ท่านพ่อ หยุดทุกคนเลย!” ซูหวานหว่านโพล่งออกมาอย่างเหลืออด อะไรที่ทำให้ครอบครัวของนางคิดว่านางจะฆ่าตัวตาย?!
“คือข้าไม่ได้จะฆ่าตัวตายและก็ไม่แม้แต่จะคิดด้วย ข้าเพียงแค่จะล้างผักพวกนี้เพื่อเอามาทำอาหารแค่นั้นเอง!” ซูหวานหว่านอธิบาย
ซูเสี่ยวเหยี่ยนไม่เชื่อในสิ่งที่พี่สาวพูดจึงวิ่งไปหยิบเห็ดหอมและเห็ดหูหนูออกมา “เมื่อวานข้าเห็นท่านพี่กลับมาพร้อมกับตะกร้าใบนี้ แต่ทว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยผักป่า ซึ่งข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งวันนี้ ตอนที่ท่านกำลังจะปรุงอาหาร ข้าเพิ่งเห็นว่ามันคือเห็ดพิษ อีกทั้งท่านยังต้องการที่จะให้เรากินมันเข้าไป! ท่านพี่ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?!”