ตอนที่ 44 ของขวัญแทนใจ?
เมื่อพูดจบซูหวานหว่านก็ได้จับจิ้งจอกตัวน้อยที่ดูเหมือนจะเหนื่อยที่สุดออกมา และโยนจิ้งจอกตัวน้อยที่ได้พักผ่อนเต็มที่แล้วกลับเข้าไปใหม่
จิ้งจอกน้อยทั้งสามได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเพื่อเอาชนะจิ้งจอกตัวเมีย เมื่อระยะเวลาผ่านไปครู่หนึ่งพวกจิ้งจอกตัวน้อยก็กลายเป็นฝั่งได้เปรียบ
ซูหวานหว่านถึงกับถอนหายใจออกมา “หากข้าสามารถใส่สัตว์ตัวเล็กลงไปได้ทั้ง 4 ตัว มันจะไม่ลำบากเช่นนี้เลย ข้าจะปล่อยให้พวกมันรุมทุบตีเจ้าด้วยกันทั้งหมด!”
“หญิงเลวทราม! เจ้าจะต้องไม่ตายดี!” จิ้งจอกตัวเมียตะโกนลั่น และไม่ทันได้ระวังตัวจึงถูกกัดไปที่ขา ทำให้มันมีเลือดออกมาและค่อย ๆ หมดแรงไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าบ้าน ท่านสามารถเอาชนะจิ้งจอกตัวเมียใจดำไร้ยางอายได้สำเร็จ ได้คำชื่นชมเป็นคะแนน 10 แต้ม ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการอัพเกรดพื้นที่ในมิติฟาร์มให้ขยายกว้างขึ้นได้”
ณ เวลานี้ ซูหวานหว่านสามารถทำในสิ่งที่นางต้องการได้แล้ว นั่นคือนางสามารถอัพเกรดพื้นที่ในมิติฟาร์มให้สำหรับสัตว์ทั้ง 4 ตัวได้แล้ว จิ้งจอกน้อย 3 ตัวและจิ้งจอกตัวเมีย 1 ตัว ทั้งหมด 4 ตัวสามารถเข้าไปอยู่ในมิติฟาร์มได้แล้ว!!
พลันใดแสงสว่างในมิติฟาร์มก็สว่างขึ้นและเกิดความอบอุ่นขึ้นมา ก่อนเป็นจิตวิญญาณที่ได้กล่าวออกมาว่า “ยินดีกับเจ้าบ้านด้วย ในตอนนี้ท่านสามารถที่จะปลูกพืชในมิติฟาร์มนี้ได้ปีละสองครั้งแล้ว”
ซูหวานหว่านยักไหล่และลอบดูเหตุการณ์ครู่หนึ่ง จากนั้นนางได้จุดคบเพลิงไฟและมองดูที่เส้นทาง เพื่อมุ่งตรงกลับบ้าน หากตัวเองกลับถึงบ้านกลางดึกจะต้องหาคำแก้ตัวดี ๆ เอาไว้ นางจึงรีบนำจิ้งจอกตัวเมียผู้อ่อนแอออกมาแล้วถือเอาไว้ในมือ
แม่เจิ้นกำลังรอลูกสาวอย่างร้อนรน พอเห็นซูหวานหว่านกลับมา นางก็ดีใจจนร้องไห้ออกมาอย่างมีความสุข พลางชี้ไปที่จิ้งจอกตัวเมียที่ซูหวานหว่านถืออยู่พร้อมกับพูดว่า “นี่คือจิ้งจอกรึ?”
“ข้าเอากลับมาให้คนที่บ้านกินเนื้อของมันเพื่อบำรุงร่างกาย หากไม่เป็นเพราะข้าไล่ล่าจิ้งจอกตัวนี้อยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าคงกลับบ้านเร็วกว่านี้แน่!” ซูหวานหว่านพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
จิ้งจอกตัวเมียถึงกับทนไม่ไหวและอ้อนวอนร้องขอความเมตตา “อย่าฆ่าข้าเลย! ได้โปรด!”
ทว่าซูต้าเฉียงกลับรู้สึกสงสารขึ้นมา “พวกเราไม่กินเนื้อจิ้งจอกเช่นนี้หรอก! มันแพงมากเอาไปขายดีกว่า”
แม่เจิ้นเห็นด้วย จิ้งจอกตัวเมียเห็นแสงริบหรี่ของชีวิตจึงพูดว่า “ผู้หญิงที่น่ารังเกียจอย่างเจ้า ควรเชื่อฟังพ่อแม่นะ!”
ซูหวานหว่านจ้องไปที่จิ้งจอกและโยนมันลงไปที่พื้นทันที ทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดมากจนอยากจะกรีดร้องออกมา “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะพาน้องชายเข้าไปในเมืองด้วย เพื่อเอามันไปขายแลกเงินมา”
ซูจิ่นเฉียงตกใจ “เหตุใดเจ้าไม่พาข้าไปด้วย? ข้าสามารถช่วยเจ้ายกของได้ดีกว่าน้องชายนะ!”
“ท่านพี่ ท่านต้องไปสอบนะ! ท่านจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม หากพรุ่งนี้ข้าขายแลกเงินมาแล้ว จะส่งให้ท่านไปเรียนหนังสือกับอาจารย์” ซูหวานหว่านกล่าวออกมา เมื่อเห็นร่องรอยความปรารถนาในดวงตาของน้องชาย นางจึงพูดเสริมออกมาว่า “น้องชายก็ต้องไปเรียนด้วย น้องสาวก็ต้องไปด้วย ไปเรียนหนังสือกันเยอะ ๆ มันมีประโยชน์แก่ตัวเรา”
“ไม่ ข้าจะไม่ไปเรียนหนังสือ ข้าจะไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัว!” ซูจิ่นหมิงส่ายหัว ซูเสี่ยวเหยียนก็พูดออกมาอย่างเห็นด้วย
ซูหวานหว่านจึงพูดออกมาอีกครั้ง “ไม่ พวกเจ้าต้องไปเรียนหนังสือ!”
ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันไปมา พลันใดนั้นแม่เฒ่าเจียงก็เดินเข้ามาและเห็นด้วยกับคำพูดของซูหวานหว่าน ทว่าแม่เจิ้นกลับแสดงท่าทีลังเลและพูดออกมาว่า “จิ่นหมิงและจิ่นเฉียงจะเรียนหนังสือข้าไม่ว่าอะไร ทว่าเจ้าเสี่ยวเหยียน เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง รู้เรื่องคุณธรรมสามข้อหรือสี่ข้อแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว…”
คำพูดนี้มันคืออะไร!
ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “ท่านแม่! ใครเป็นคนคิดคำพูดนี้ออกมา? ไม่ใช่คนรวยหรอกหรือ! หากถ้าลองคิดดูแล้ว คนรวยคนไหนที่จะไม่ส่งให้พวกลูก ๆ ของพวกเขาไปเรียนหนังสือ พวกเขาพูดเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาต้องการขยายช่องว่างและทำให้สถานะของพวกเขานั้นดูดีมีเกียรติ!”
คำพูดของซูหวานพุ่งกระทบตรงใจของแม่เจิ้นอย่างรุนแรง ซึ่งตัวนางก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ซูหวานหว่านได้บอกให้ทุกคนไปพักผ่อน ทันใดนั้นแม่เจิ้นก็พูดกับซูหวานหว่านขึ้นมาว่า “หวานหว่าน งั้นเจ้าก็ต้องไปเรียนหนังสือด้วย!”
ถึงแม้ว่าจะบอกว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ทว่านางก็เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนที่สูงมากเป็นอันดับต้น ๆ เสียก็แค่ไม่มีเอกสารยืนยันติดตัวมาด้วยก็แค่นั้น!
ซูหวานหว่านตกตะลึง พยายามหาคำอธิบายที่ดีในการปฏิเสธไป “ท่านแม่ ข้าพบวิธีการหาเงินได้แล้ว และข้าจะต้องทำให้ครอบครัวของพวกเรามีฐานะที่ร่ำรวยขึ้น! เมื่อข้ามีเงินเยอะแล้ว ข้าจะไปเรียนหนังสืออีกครั้ง”
เมื่อทุกคนได้ยินก็ถึงกับปาดน้ำตา ซูหวานหว่านจึงบอกให้ทุกคนเข้านอน หลังจากหลับไปซูหวานหว่านก็ตื่นขึ้นแต่เช้า นางวิ่งไปคุยกับหลี่ฉือโทวเกี่ยวกับการเช่าเกวียนเข้าไปในเมือง หลี่ฉือโทวดึงหูตัวเองทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด และยังสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิดไปหรือเปล่า
“อะไรนะ? เจ้าจะเช่าเกวียนไป?”
หากเช่าเกวียนทั้งเล่มจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก! อย่างต่ำก็ประมาณ 30 เหรียญได้!
ซูหวานหว่านพยักหน้า หยิบเหรียญทองแดง 20 เหรียญออกมาและจ่ายเงินมัดจำไว้เสียก่อน “นี่คือเงินมัดจำ ส่วนที่เหลือจะจ่ายให้ท่านตอนกลับมา”
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ ตระกูลซูจึงมีการพัฒนา มีเงินมากมายเพิ่มขึ้น หลี่ฉือโทวไม่กล้าที่จะถามไปออกตรง ๆ เลยรีบขึ้นเกวียนแล้วไปที่บ้านของนาง
สักพักพวกเขาก็พากันยกของขึ้นมาบนเกวียน แล้วพาซูจิ่นหมิงไปด้วย แม่เจิ้นเห็นว่ายังมีถุงใหญ่อยู่ในบ้าน นางจึงรีบวิ่งออกมาพร้อมกับถือมัน “หวานหว่าน! แล้วอันนี้ล่ะ!”
ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว “ไม่ต้องเอาไป”
หากนำของไปมากเกินไป อาจจะทำให้ราคาถูกลงไปอีก ถึงแม้ว่าจะทำข้อตกลงกันแล้วก็ตาม ไม่รู้ว่าร้านอาหารนั้นจะรอไหวหรือไม่ บางทีพวกเขาอาจซื้อจากคนอื่นแล้วก็เป็นได้!
แม่เจิ้นดูเหมือนจะไม่เข้าใจเท่าไร ดังนั้นนางจึงอธิบายให้ฟังว่า “ท่านแม่ ท่านนำไปมากเกินไปแล้ว คนอื่นเขาจะคิดได้ว่าสิ่งนี้หาได้ง่าย ๆ แล้วผู้คนก็จะพากันขึ้นไปที่ภูเขาเพื่อไปเก็บมันมา ก่อนที่จะนำไปขายให้คนอื่น…หากเป็นเช่นนี้พวกเราจะทำอย่างไร?”
ฉีเฉิงเฟิงที่เดินผ่านมาได้ยินตกตะลึงไปชั่วขณะ หัวใจของเขาถูกทำให้ตกตะลึงอีกครั้ง สาวบ้านนอกคนนี้มองการณ์ไกลเช่นนี้เลยหรือ?
ซูหวานหว่านหันกลับมาและเห็นฉีเฉิงเฟิงยืนอยู่ ในมือของเขาได้ถือจี้หยกที่ใช้เวลาทำถึงครึ่งเดือนเอาไว้ โดยมีคำว่า ‘หว่าน’ สลักเอาไว้อยู่
ฉีเฉิงเฟิงได้มอบมันให้กับซูหวานหว่าน เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเล็กน้อยของนาง ภายในใจของเขาก็ดูตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง “มีชิ้นส่วนของหยกหักไปชิ้นหนึ่ง และไม่สามารถเอามาทำต่อกันได้ ดังนั้นข้าเลยทำเป็นจี้มอบให้กับเจ้าแทน หยกจะได้ไม่ต้องสูญเสียไปเปล่า ๆ”
อะไรนะ?!
ซูหวานหว่านถึงกับถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก นางคิดว่าฉีเฉิงเฟิงจะมอบของแทนใจให้กับนางเสียอีก!
เด็กสาวตื่นตระหนก ด้วยกำลังสงสัยว่าตัวเองควรจะปฏิเสธไปหรือตอบรับกลับไปดี?
คาดไม่ถึงเลยว่ามันเป็นหยกที่แตกจากการแกะสลัก เลยเอามาทำเป็นจี้หยกให้กับนาง
ร่องรอยของการผิดหวังได้ฉายชัดจากดวงตาของซูหวานหว่าน จากนั้นนางก็ปล่อยวางความรู้สึกเสียใจนั้น พร้อมกับพูดว่า “คราวหน้าเจ้าก็ควรระวังให้มากกว่านี้”
“อืม” ฉีเฉิงเฟิงตอบรับเบา ๆ แล้วเดินออกไป
เมื่อได้นอนพักผ่อนเต็มที่ แม่เฒ่าซูก็ตื่นแต่เช้าและตรงมาเรียกซูต้าเฉียงมาช่วยงาน ทว่าเมื่อได้เห็นเหตุการณ์เมื่อกี้เข้า นางก็รีบเปิดปากกรีดร้องออกมาว่า “พ่อหนุ่มฉีชอบซูหวานหว่านเหรอ! สรรค์!”
แม่เฒ่าซูพูดเสียงดัง เมื่อคนอื่นได้ยินก็รีบเข้ามาดูด้วยความตื่นเต้น ถึงตอนนี้จะมีคนอยู่ไม่เยอะทว่าสถานการณ์ก็ครึกครื้นพอตัวทีเดียว
ซูหวานหว่านไม่สนใจอะไรกับผู้เป็นย่า นางวิ่งเข้าไปนำจิ้งจอกตัวเมียออกมาแล้วใส่เอาไว้ในห่อผ้าเพื่อที่จะนำไปขึ้นเกวียน
ส่วนฉีเฉิงเฟิงก็ถูกพวกชาวบ้านลากเพื่อไปถามว่า “คุณชายฉี เจ้าชอบซูหวานหว่านจริง ๆ งั้นหรือ?”
ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้พูดอะไร ทว่ามีหญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของเขาจ้องมองมาและถามว่า “คุณชายฉี เมื่อครู่ท่านไปหาซูหวานหว่านด้วยเหตุใดหรือ?”
“ให้ของ” ฉีเฉิงเฟิงได้ทิ้งระเบิดคำพูดออกมาและเดินจากไป โดยทิ้งกลุ่มคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นเอาไว้เบื้องหลัง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฉีเฉิงเฟิงถึงมี ‘เรื่องรักใคร่’ เข้ามาเกี่ยวข้องจนได้
ณ เวลานี้ หลี่ฉือโทวบังคับเกวียนเดินทางถึงในเมือง แต่ด้วยใช้เวลานานถึงหนึ่งชั่วยาม ซูหวานหว่านและซูจิ่นหมิงจึงสั่งให้เขารีบตรงไปที่ร้านอาหารเจวียเซ่อทันที และเมื่อพวกเขาผ่านร้านอาหารไท่อัน ก็ต้องพบว่าภายในร้านมีคนน้อยมาก ทว่าเด็กในร้านกลับยังคงทำท่าทางหยิ่งผยองอยู่เช่นเดิม
เมื่อเห็นเกวียนเล่มนี้ พวกเขาก็รีบเอามือข้างหนึ่งปิดจมูกแล้วพูดว่า “รีบไปเสีย มันเหม็นมาก! มันอาจทำให้กิจการร้านอาหารของข้าพลอยสกปรกได้!”
ทัศนคติของร้านอาหารไท่อันนั้นแย่มาก!