ตอนที่ 52 กลับตาลปัตร
ครานี้เป็นซูหวานหว่านที่ตอบกลับไป นางไม่ลืมที่จะหยิบของขึ้นมาและพูดว่า “เมื่อครู่เด็กในร้านบอกข้าแล้วว่าผู้ดูแลร้านไม่อยู่”
“จริงหรือ?” ชายหนุ่มในชุดขาวถึงกับจ้องไปที่เด็กในร้านทันที แล้วพูดขึ้นมาว่า “แล้วเจ้าไม่รู้เรื่องเลยหรือว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง?”
เมื่อสิ้นเสียงของชายหนุ่ม เด็กในร้านถึงกับตัวสั่นและรีบวิ่งเข้าไปเรียกผู้ดูแลร้านที่นอนอยู่ทันที
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับโน้มตัวเคารพชายหนุ่มชุดขาว “คุณชายช่างบังเอิญจริง ๆ ที่ท่านได้แวะเวียนมาที่ร้านของเรา!”
“เรื่องบังเอิญ” ชายหนุ่มมองไปที่ชายวัยกลางคนและใช้คำพูดแฝงความหมายที่ลึกซึ้งตอบกลับไป “มันคงเป็นเรื่องบังเอิญมากทีเดียว เมื่อข้ามาหา เจ้าก็ออกมาต้อนรับข้า ทั้งยังเมินเฉยต่อแขกผู้มีเกียรติของข้าอีก”
เหตุนี้ทำให้ผู้ดูแลร้านถึงกับเหงื่อตก เขาได้มองไปที่สตรีผู้สูงศักดิ์ที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่ และจู่ ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูปร่างท้วมก็ผลักซูหวานหว่านออกมา เขาจึงเอ่ยถามออกมาว่า “แม่นาง ท่านต้องการสิ่งใดหรือ?”
สีหน้าของชายหนุ่มชุดขาวพลันเปลี่ยนไปทันใด เขาหันไปมองซูหวานหว่านพร้อมกับกล่าวคำขอโทษออกมา “ข้าต้องขออภัยด้วยแม่นาง พอดีว่าสุนัขรับใช้ของข้ามีตาหามีแววไม่”
ผู้ดูแลร้านได้ยินแบบนั้นก็ตกใจขึ้นมา
ใครจะรู้ว่าผู้หญิงที่สวมใส่ผ้าเนื้อหยาบธรรมดา แท้จริงแล้วจะเป็นแขกผู้มีเกียรติของคุณชาย!
เขาเคยได้ยินมาว่าผู้ดูแลร้านอาหารเจวียเซ่อคนเก่าถูกไล่เพราะทำร้ายเด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เขาจึงพูดออกมาอย่างประจบประแจงพลางยิ้มออกมา “แม่นาง ข้าต้องขอโทษท่านด้วย! ที่ข้ามีตาแต่ไร้แวว”
“คงจะมีตาแต่ไร้แววจริง ๆ นั่นแหละ” ซูหวานหว่านถึงกับพูดตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
และไม่นานนัก สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป ซูหวานหว่านหยิบจี้หยกคู่ขึ้นมาให้เขาดูแล้วเอ่ยว่า “มีแขกในร้านท่านหนึ่งบอกว่าข้าเป็นคนขโมยจี้หยกจากร้านของท่านไป ท่านดูสิ ว่านี่เป็นจี้หยกของร้านท่านหรือไม่?”
ผู้ดูแลร้านถึงกับก้มศีรษะดูด้วยสายตาของตนเอง จี้หยกทรงกลมใสคู่หนึ่งวางอยู่ในมือของซูหวานหว่าน กลุ่มตัวอักษรสีแดง ๆ ที่บนจี้หยกถูกแกะสลักเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยกลอนคู่ เมื่ออ่านพร้อมกันก็พบว่าพวกมันเป็นจี้หยกคู่ ทักษะของคนที่แกะจี้หยกชิ้นนี้เป็นคนที่เก่งและฉลาดมาก สามารถใช้หยกแกะสลักออกมาอย่างชาญฉลาด แทนที่จะแกะสลักหยกเป็นลวดลายต่าง ๆ ธรรมดา ๆ ทว่ากลับแกะสลักหยกด้วยตัวอักษรสี่คำเพื่ออธิบายว่าจี้หยกนี้เป็นจี้หยกแบบคู่แสดงให้เห็นถึงศิลปะอันชาญฉลาด
“คือว่า…” ผู้ดูแลร้านถึงกับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
จี้หยกชิ้นนี้…ไม่ใช่เพียงจี้หยกที่เป็นคู่กันอย่างเดียว ทว่าจี้หยกอันนี้นับเป็นเครื่องประดับชั้นยอดที่จะมอบให้กับคนรัก และที่ร้านของพวกเขาก็ไม่มีจี้หยกเช่นนี้เลย!
มันจะเป็นของที่ร้านเขาได้อย่างไรกัน!
ชายวัยกลางถึงกับส่ายหัวและกำลังจะเอ่ยขึ้น ขณะเดียวกันชายหนุ่มชุดขาวจ้องไปที่ผู้ดูแลร้าน ทำให้ผู้ดูแลร้านหุบปากลงทันที ชายหนุ่มเดาเจตนาของซูหวานหว่านออกว่านางต้องการอะไร เขาพูดถามออกมาว่า “แม่นาง เจ้าต้องการจะขายมันใช่หรือไม่?”
“ข้าต้องการขายมัน” ซูหวานหว่านพยักหน้า “ข้าเชื่อว่าเจ้าก็คงจะเข้าใจความหมายของตัวอักษรที่อยู่ในจี้หยกอันนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะถึงเทศกาลชีซี*[1] แน่นอนว่ามันสามารถขายได้ในราคาที่สูงมากแน่ ๆ เมื่อถึงวันนั้น”
“อืม แล้วเจ้าต้องการขายเท่าใดกัน?” ชายหนุ่มชุดขาวถามออกมา พลางหยิบจี้หยกในมือของซูหวานหว่านขึ้นมาดู ยิ่งมองยิ่งถูกใจ จี้หยกชิ้นนี้สามารถขายได้ราคาถึง 500 ตำลึงในวันเทศกาลชีซี
“เจ้าต้องการซื้อเท่าใดพูดมาได้เลย ข้าเชื่อเจ้าจะไม่โกหกข้า”
“100 ตำลึงเป็นไง?” ชายหนุ่มชุดขาวพูดและมองไปที่ผู้ดูแลร้านเพื่อบอกเป็นนัย ๆ ว่าให้ผู้ดูแลร้านไปเอาเงินมา
ซูหวานหว่านรู้สึกว่าราคา 100 ตำลึงนั้นก็ไม่เลวเลย นางพยักหน้าตอบตกลงเมื่อรู้สึกพอใจกับราคา ก่อนเด็กสาวจะหยิบถุงผ้าออกมา พร้อมแอบหยิบจี้หยกคู่อื่น ๆ ออกมาจากมิติฟาร์มของตัวเองอย่างลับ ๆ “ข้ามีอีก 8 คู่หากเจ้าต้องการ ข้าสามารถยกให้เจ้าได้หนึ่งคู่”
“ไม่จำเป็นหรอก” ชายหนุ่มชุดขาวพูดกับซูหวานหว่าน เขาไม่ได้ต้องการจี้หยกคู่ และพูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าเพียงต้องการให้เจ้ามอบจี้หยกเพียงชิ้นเดียวให้แก่ข้าเท่านั้นเอง”
ให้หนึ่งชิ้น?
มันจะทำได้อย่างไรกัน?
มันเป็นจี้หยกคู่! หากให้แค่อันเดียวจี้หยกที่เหลือจะทำอย่างไร? ขายต่อให้คนอื่นก็มิได้? และนางก็ไม่อยากเก็บไว้กับตัวเองด้วย หรือว่าเขาจะเข้าใจผิดไป?
ซูหวานหว่านรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ชายหนุ่มชุดขาวชี้ไปที่จี้หยกรูปพระจันทร์ที่เอวของซูหวานหว่าน แล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้าขออันนี้อีกอันเป็นอย่างไร?”
“เส้นนี้มันมีเพียงชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว ข้าทำผิดพลาดเลยนำมาใส่เอง” ซูหวานหว่านตอบออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จี้หยกคู่อื่น ๆ ที่อยู่ในมือของนางสวยงามกว่าอันที่นางห้อยเอาไว้เองตั้งมากมาย เหตุใดเขาถึงอยากได้เส้นนี้กัน?
พลันใดนั้นซูหวานหว่านก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงได้พูดว่า “เจ้าชอบอันนี้หรือ? ข้าสามารถให้เจ้าได้นะ”
“?”
มอบจี้หยกของตัวเองให้แก่เขาอย่างงั้นหรือ? ย่อมได้
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเขาเข้าใจความหมายของจี้หยกหรือไม่ ซึ่งถึงรู้หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญนัก ด้วยนางตั้งใจจะให้
ชายชุดขาวถึงกับพยักหน้า ซูหวานหว่านรีบยื่นจี้หยกของนางให้ไป จากนั้นเด็กในในร้านก็นำเงินออกมา และคิดคำนวณราคาแล้วจ่ายเงินให้กับซูหวานหว่าน
นางขายจี้หยกและได้เงินจำนวนมากกลับไปมากมายเลยทีเดียว เด็กสาวกำลังจะไปยังร้านแลกเงินเพื่อนำเงินไปฝาก แต่แล้วซูหวานหว่านก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังผู้คนที่กำลังมามุงดูอยู่ ตัวนางเองก็เกือบจะลืมเรื่องก่อนหน้าไปเสียสนิท แล้วจู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา
“ใครเป็นคนไปแจ้งพลลาดตระเวน?”
“…”
ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีใครปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมา
สาวใช้จึงได้ชี้ไปที่เจ้านายของตัวเองแล้วพูดออกมาว่า “เจ้านายของข้าขอให้ข้าไปแจ้งพลลาดตระเวน! เพราะว่านังผู้หญิงยากจนคนนี้ขโมยจี้หยกของร้านไป ทั้งยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นขโมย เจ้านายของข้าเลยสั่งให้ข้าไปแจ้งความช่วยจัดการปัญหาเรื่องนี้เจ้าค่ะ!”
เพี๊ยะ! พลันใดนั้นนางก็โดนตบเข้าไปที่ใบหน้า “คุณหนู! ที่ข้าพูดมามันไม่ถูกต้องอย่างงั้นหรือเจ้าคะ!”
ซูหวานหว่านขายจี้หยกได้เงินไปถึง 800 ตำลึง! แน่นอนว่าเงินจำนวน 800 ตำลึงมันมากกว่าเงินของครอบครัวนางที่เก็บออมเอาไว้เสียอีก! มันคงจะโง่เกินไปหากนางยังจะพูดใส่ร้ายซูหวานหว่านต่อไป!
“ข้าขออภัยด้วย มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดกันเองเท่านั้นเจ้าค่ะ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างขมขื่น พลางเหลือบมองซูหวานหว่านด้วยความรู้สึกผิดที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ซูหวานหว่านถึงกับยิ้มเยาะออกมา นางเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
นางลืมไปเลยว่าแม่นางผู้นี้พูดจาดูถูกนางขนาดไหน ขอให้สาวใช้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่…นับว่าผู้หญิงนี้ทำกับนางเกินไปจริง ๆ
นางจะต้องกู้หน้าของตัวเองที่เสียไปกลับคืนมาให้ได้!
“เจ้าแน่ใจหรือว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด?” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาอีกทั้งยังมองไปผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาอันเย็นชา
หญิงสาวตกใจและส่ายหัวไปมา ทว่าก็รีบพยักหน้ารับไปอย่างรวดเร็วด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมออกมา “แม่นาง พี่สาวคนนี้ก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เจ้าก็ยกโทษให้นางเถิดนะ”
อะไรนะ? แล้วที่นางถูกคนอื่นพูดจาดูถูกก่อนก็ควรจะให้อภัยงั้นหรือ?
ซูหวานหว่านจุดยิ้มมุมปาก ก่อนหน้าคนเหล่านี้ไม่เห็นจะพูดเช่นนี้เลยสักประโยค ทว่าตอนนี้เหตุใดจึงต้องมาพูดจาเกลี้ยกล่อมแทนผู้หญิงคนนั้นด้วย ช่างเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี!
เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งเข้ามายังไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขามองหญิงสาวที่ดูดีสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงและเด็กสาวที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาพื้น ๆ ที่เต็มไปด้วยรอยเย็บปะเป็นจำนวนมาก
เขาจึงเดินไปหยุดที่ด้านข้างของสตรีคนที่ใส่เสื้อผ้าดี ๆ แล้วพูดออกมาด้วยความเคารพ “แม่นาง นางผู้นั้นได้ขู่อะไรเจ้าอย่างงั้นหรือ? เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าพูดออกมา ภายในร้านทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันหมด! เจ้าสามารถเล่ามันมาได้เลย! เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าถูกทำร้ายโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน!”
“…”
พวกนางจะพูดเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร? ในตอนนี้นางต้องเอาใจซูหวานหว่าน!
หญิงสาวเผยรอยยิ้มขมขื่น “แม่นางซู ข้าเข้าใจผิดไปเองจริง ๆ! ได้โปรดอย่าถือสาเอาเรื่องข้าเลย! สงสัยสายตาของข้าจะไม่มีแวว มองอะไรไม่ชัดเจน จึงเข้าใจท่านผิดไป เพียงแค่นี้ข้าก็ได้รับบทลงโทษเยอะแล้ว”
ทำมาเป็นพูดจาประจบสอพลอราวกับหมาที่กำลังเลียแข้งเลียขาคนเป็นนาย!
ซูหวานหว่านมองหน้าผู้หญิงผู้นั้นอย่างเหยียดหยาม “ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าหยิ่งผยองใส่ข้า เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงกล่าวคำขอโทษออกมาง่ายดายนัก? อีกอย่างข้าก็มิได้เป็นคนที่เริ่มก่อนด้วยซ้ำ ทว่าเจ้ากลับพูดจาเช่นนั้นใส่ข้าก่อน ข้าก็จะทำเช่นนั้นกับเจ้า”
หากมิใช่เพราะว่าร้านหยู่เซิงเยียนเป็นร้านที่ชายหนุ่มในชุดขาวผู้นี้ดูแลอยู่ ซูหวานหว่านคงจะลงไม้ลงมือสั่งสอนคนพวกนี้ไปแล้ว
หญิงสาวยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว แค่ท่านยกโทษให้ข้า”
เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกมึนงง เหตุใดสตรีผู้สูงศักดิ์ผู้นี้จะต้องพูดจาประจบสอพลอเด็กสาวชาวนายากจนด้วย?
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวร่ำรวยผู้นี้ถูกซูหวานหว่านข่มขู่!
ทางด้านเจ้าหน้าที่ เมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านกำลังจะเดินออกจากประตูร้านออกไป จึงรีบตะโกนขัดออกมา “แม่นาง! เจ้ายังจะต้องไปกับข้าเพื่อร่วมมือในการสอบสวนเรื่องนี้”
[1]เทศกาลชีซี คือ วันแห่งความรักของจีน