นี่มันสุนัขเฝ้าบ้านประเภทไหนกัน! มีตาหามีแววไม่!
พวกเขาเพียงไม่มีเทียบเชิญเท่านั้น เหตุใดต้องใช้น้ำเสียงและกิริยาเช่นนี้กับพวกเขาด้วย!
มันจะมากเกินไปแล้วนะ!
ซูหวานหว่านลอบมองชายคนนั้นอย่างเงียบ ๆ
ชายคนนั้นจ้องมองไปที่ซูหวานหว่านแล้วเอ่ย “มืดค่ำปานนี้ยังสวมผ้าคลุมหน้า เจ้าต้องมีหน้าตาอัปลักษณ์แน่ ๆ”
เมื่อพูดจบก็เหลือบมองเสื้อผ้าของซูหวานหว่านด้วยท่าทางรังเกียจ “แต่งกายก็ดูซอมซ่อ! สวมใส่แต่เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ยังมีหน้ากล้ามาที่แห่งนี้อีก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้างในมีสิ่งของที่มีค่าขนาดไหน! แน่นอนว่าหากข้าพูดออกมาเจ้าคงไม่มีปัญญาแม้แต่เศษเสี้ยวจะประมูลมัน!”
พลันใดก็มีชายสูงร่างใหญ่เดินออกมา “พวกเขาสองคนใช่หรือไม่?”
“ใช่! รีบจับพวกมันสองคนโยนออกไปเดี๋ยวนี้ อีกสักพักแขกก็จะมากันแล้ว! อย่าให้พวกมันสองคนมาทำให้การประมูลของที่นี่ต่ำลงเลย” ชายคนนั้นจ้องมองทั้งสองด้วยสีหน้ารังเกียจ
เมื่อคนเหล่านั้นเดินเข้ามาเพื่อจับ ซูหวานหว่านจึงหยิบเอาตราไม้เล็ก ๆ ออกมาจากมิติฟาร์มอย่างใจเย็นและส่งให้พวกเขาดู หญิงสาวจ้องมองดวงตาชายคนนั้นและพูดออกมาว่า “ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่มีเทียบเชิญ หากแต่เป็นตราไม้อันนี้สามารถทำให้เราเข้าไปข้างในได้หรือไม่?”
“พวกเจ้าคิดว่ากำลังเล่นตลกหรืออย่างไร? พวกเจ้าไม่มีเทียบเชิญ! จะออกไปดี ๆ หรืออยากถูกลากตัวไป!” ชายผู้คนนั้นตะโกนออกมา
เพียะ!
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมเดินที่ออกมาจากด้านหลังประตู เมื่อเห็นตราไม้เล็ก ๆ ในมือของซูหวานหว่านเขาก็ตบหน้าของชายคนนั้นทันที
มันคือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง! ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงตราไม้เล็ก ๆ ทว่ามันทำมาจากไม้กฤษณามีอายุถึงร้อยปีเลยทีเดียว! เมื่อเห็นตราไม้นี้ก็แสดงว่าเจ้าของป้ายจะต้องเป็นผู้รากมากดีมีฐานะร่ำรวยเงินทอง!
“เจ้านี่มันมีตาหามีแววไม่? ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” ชายวัยกลางคนตะโกนออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มให้ซูหวานหว่านพร้อมกับพูดประจบอย่างเอาใจ “คุณหนู คุณชายเชิญเข้าไปข้างในเถิด”
คนเฝ้าประตูกำลังจะพูดบางอย่าง ทว่าถูกชายวัยกลางคนถลึงตาใส่ เขาจึงเงียบสงบปากสงบคำทันที
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาข้างใน ก็พบว่าภายในห้องมีขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กเกินไป มีโต๊ะสำหรับตั้งประมูลเอาไว้ อีกด้านเป็นเก้าอี้สำหรับนั่งและทางด้านหน้าก็มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่
ชายวัยกลางคนกำลังมองหาที่นั่งให้กับพวกเขาทั้งสองในบริเวณที่ใกล้แท่นประมูลที่สุด แต่ว่าซูหวานหว่านไม่ต้องการเช่นนั้น และพาฉีเฉิงเฟิงไปนั่งตรงมุมมุมหนึ่ง
ชายวัยกลางคนมีท่าทางสุภาพและกลัวว่าการต้อนรับจะไม่เหมาะสม เขาจึงให้คนรับใช้นำชามาวางไว้ให้ แล้วยังนำขนมมาวางเอาไว้สองสามจาน เขายังคงยืนอยู่และไม่ได้ออกไปไหนจนกว่าบนโต๊ะจะไม่มีที่วางอาหารแล้วเขาจึงขอตัวออกไป
ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงนั่งกินขนมไปพลางนั่งรอเวลาประมูล
หลังจากผ่านเวลาไปสักพักก็มีผู้คนจำนวนประมาณ 30 คนได้เข้ามานั่งรวมตัวกันอยู่ข้างในนี้ ทุกคนต่างเป็นพ่อค้าในเมือง
ซูหวานหว่านกับฉีเฉิงเฟิงได้นั่งอยู่ที่ด้านหลัง เพียงครู่หนึ่งถังฟู่ก็เดินเข้ามานั่งแถวด้านหน้าพร้อมกับจิบชาและมีหญิงสาวสวยนั่งเอาใจอยู่ด้านข้าง ท่าทางของเขาดูมีความสุขมากทีเดียว
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาเปิดประมูล นางสงสัยนักว่าเขาจะยังมีความสุขมากกว่านี้หรือไม่! เมื่อคิดได้แบบนี้ซูหวานหว่านก็หัวเราะออกมา
การประมูลเริ่มต้นขึ้น สิ่งของประมูลชิ้นแรกคือโสมที่มีอายุ 40 ปี ซูหวานหว่านไม่ได้สนใจมันนัก ต่อมานางพบว่าการประมูลเหล่านี้น่าทึ่งมาก ทั้งยังมีคนนำลูกเสือมาประมูลอีกด้วย!
ซูหวานหว่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เมื่อการประมูลดำเนินมาถึงการประมูลของร้านอาหารไท่อัน ในที่สุดถังฟู่ก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปบนแท่น เขากำลังขึ้นไปเปิดประมูลขายร้านอาหารของตนเอง!
ยังมีหน้ามาทำแบบนี้อยู่อีกหรือ? คิดว่าคนอื่นเขาจะแย่งประมูลร้านของตัวเองอย่างงั้นเหรอ?
ซูหวานหว่านหัวเราะเยาะภายในใจ และรอให้ถังฟู่บอกราคา ซึ่งราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 1,000 ตำลึง และทั้งห้องก็เงียบสงบทันที
ถังฟู่ถึงกับขมวดคิ้วมองหาผู้อุปถัมภ์สองคนของเขา ทว่าหาอย่างไรก็หาไม่เจอ! ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินว่ามีคนสองคนถูกสั่งห้ามเข้ามาข้างในโดยวางตัวว่าเป็นคนรวย ใบหน้าของเขาก็พลันซีดลงทันที
ถังฟู่ขมวดคิ้วแน่น “เริ่มประมูลในราคา 1,000 ตำลึง ข้าคิดว่ามันเป็นราคาที่ต่ำมากตอนที่ข้าสร้างร้านอาหารไท่อัน ข้าได้ใช้เงินไปถึง 1,500 ตำลึง ซื้อทั้งของประดับตกแต่งร้าน ประตู โต๊ะ และอีกหลายอย่างรวมกันเป็นเงินจำนวนเยอะมาก ตอนนี้ที่ข้าเอามาเปิดประมูลในราคา 1,000 ก็เพราะว่าข้าต้องการใช้เงินด่วนมากในตอนนี้”
ทุกคนยังคงมีท่าทางเฉยเมย
แล้วก็มีคนคนหนึ่งยิ้มอย่างดูถูก “คุณชายถัง ร้านอาหารไท่อันตอนนี้มีแต่ชื่อเสียงย่ำแย่ หากเราซื้อมันไปคงจะไม่ดีแน่และอีกอย่างใกล้ ๆ ก็ยังมีร้านอาหารเจวียเซ่อที่กำลังดังมากอยู่ในตอนนี้ตั้งอยู่ข้าง ๆ อีกด้วย!”
“พวกเจ้าซื้อร้านไป ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดร้านอาหาร พวกเจ้าสามารถเอาไปเปิดร้านค้าอย่างอื่นได้!” ถังฟู่พูดออกมาด้วยความกังวล
“เจ้าคิดว่าพวกเราจะเปิดขายอะไรได้อีก? แน่นอนว่าเปิดร้านอาหารไม่ได้ หากเปิดร้านขายผ้าแน่นอนว่ามันจะต้องขาดทุน! กำไรจากร้านขายผ้านั้นไม่เยอะ ต่อให้เปิดร้านขายผ้าเป็นเวลาร้อยปีก็ไม่สามารถเก็บเงินถึง 2,000 ตำลึงได้”
“ใช่แล้ว! เหตุใดเราจะต้องใช้เงิน 1,000 ตำลึงเพื่อไปซื้อร้านที่กำลังจะเจ๊งแบบนี้!”
“…”
เมื่อได้ยินทุกคนพูดออกมาแบบนั้นใบหน้าของเขาพลันซีดลง
ร้านอาหารไท่อันที่เขาใช้ความอุตสาหะสร้างเนื้อสร้างตัวตั้งร้านมาได้จนถึงขนาดนี้ จะกลายมาเป็นร้านที่เจ๋งได้อย่างไรกัน?
ถังฟู่กัดฟันพูดว่า “หากเงิน 1,000 ตำลึงไม่เหมาะสม ข้าจะให้ทุกคนลองเสนอราคาประมูลออกมาแล้วมาต่อรองกันอีกที”
ทันทีที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ถังฟู่ก็รู้สึกเสียใจเมื่อได้ยินราคาที่ทุกคนต่อรองออกมา!
“ข้าคิดว่า 800 ตำลึงก็ยังค่อนข้างแพง เจ้าสามารถขายในราคา 700 ตำลึงให้กับข้าได้!”
“โอ้! ผู้ดูแลหลิว เจ้าไม่ได้เป็นคนพูดเองหรอกหรือว่าเจ้านั้นต้องการเปิดโรงเตี๊ยมเมื่อสองสามวันก่อน? เงิน 700 ตำลึงมันแพงเกินไป ใช้เวลาถึง 50 ปี ถ้าหาเงินกลับมาไม่ได้คือสูญเปล่าเลยนะ!”
“หากเป็นอย่างนั้นข้าก็จะไม่ต่อรองล่ะ! งั้นข้าให้เจ้า 500 ตำลึง! หากได้ราคานี้ข้าจะตอบตกลงวันนี้ทันที!” ผู้ดูแลหลิวกล่าว
“500 แพงเกินไป! เจ้าอาจจะเอาเงินไปจมก็ได้นะ!” ชายคนนั้นก็พูดโน้มน้าวอีกครั้ง
งานประมูลที่ใดเขาต่อรองลดราคาขนาดนี้กัน? นี่มันคงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ใช่ไหม!?
ถังฟู่อยากจะเข้าไปชกหน้าชายคนนั้นมาก เขาต้องการได้ยินราคาที่สูงกว่านี้ แต่ก็ยังไม่มีใครเอ่ยขึ้นมาและดูเหมือนว่าจะมีเพียงผู้ดูแลหลิวเท่านั้นที่สนใจร้านอาหารของเขา
ถังฟู่งงไปสักพัก เขาได้ส่งคำเชิญให้หลายคนที่คิดจะซื้อร้านมาที่นี่ แต่ว่าเหตุใดตอนนี้ถึงไม่มีใครอยากที่จะซื้อมันเลย
เขายังไม่รู้ว่าทุกคนที่อยากซื้อร้านอาหารของเขานั้นได้รับคำเชิญจากซูหวานหว่าน ให้พวกเขาถอดใจจากการประมูลหรือลดราคาประมูลให้ต่ำลง และหากทำสำเร็จนางจะส่งพริกไปให้พวกเขา 3-4 ชั่งเป็นการตอบแทน
แน่นอนว่าพริกนั้นไม่มีขายที่อื่นและมีเฉพาะที่ร้านอาหารเจวียเซ่อเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกวันที่จะไปกินอาหารที่ร้านเจวียเซ่อ แต่หากมีพริกอยู่ในมือแน่นอนว่าจะสามารถกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน ภายใต้การยั่วยวนของเครื่องปรุงนี้ คนเหล่านั้นจึงไม่แข่งกันประมูลราคาและช่วยซูหวานหว่านลดราคาการประมูลลงแทน
ณ ตอนนี้ผู้ดูแลหลิวได้ต่อราคาลงมาถึง 200 ตำลึงไปแล้ว ส่งผลให้ถังฟู่โกรธจัด “หาก 200 ตำลึงข้าไม่ขาย! อย่างน้อยต้อง 300 ตำลึงขึ้นไป!”
พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกเสียใจอีกครั้ง และอยากจะตบหัวตัวเองเสียจริง
หากเขาขายในราคา 300 ตำลึง เขาก็จะต้องแบ่งเงิน 20 ส่วนจากทั้งหมดให้กับพวกนักต้มตุ๋นที่ตลาดมืด!
แล้วเขาจะเหลือเงินเท่าใดกัน? ไม่คุ้มค่ากับที่ขายไปเลย!
เมื่อเขาคิดจะกลับคำพูดนี้ ก็มีคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเฉยเมย “หาก 300 ตำลึงข้าจะซื้อทันที”
ถังฟู่รู้สึกเสียใจอย่างมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรตลาดมืดนี้มีกฎเกณฑ์ของตัวเองอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลับคำพูดของตนเองได้ มันทำให้เขารู้สึกเสียดายขึ้นมาและทำได้เพียงหวังเล็กน้อยว่าจะสามารถเพิ่มราคาได้มากกว่านี้อีก จึงพูดออกมาว่า “มีใครให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่! มีใครอยากที่จะเสนอราคาบ้างไหม?”
ในห้องโถงพลันเงียบลงทันที!
ถังฟู่รู้สึกไม่ดีและถามออกมาอีกครั้งทว่าก็ยังไม่มีใครสนใจ
สุดท้ายร้านนี้จะต้องขายในราคา 300 ตำลึง!
มันเหมือนยกร้านให้คนอื่นไปเปล่า ๆ เลย!
ถังฟู่โกรธมากโดยลืมนึกกฎของตลาดมืด เขาพูดออกมาด้วยโทสะแน่นอก “ข้าจะไม่ขายมันแล้ว!”
“เจ้าจะไม่ขาย? งั้นข้าก็ช่วยไม่ได้” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาและเมื่อเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ใบหน้าของถังฟู่ก็พลันเปลี่ยนสี
ในที่สุดเขาก็สังเกตได้ว่าคนที่ประมูลซื้อร้านอาหารไท่อันของเขาคือซูหวานหว่าน!
ด้วยความเกลียดชังที่เขามีต่อซูหวานหว่าน เขาจึงยิ่งไม่อยากขายให้นางขึ้นไปกันใหญ่! ถังฟู่พูดออกมาทันที “ข้าไม่ขาย!”