“ฉีเฉิงเฟิง นั่นท่านจะไปที่ใด?”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น ฉีเฉิงเฟิงหันไปมองตามเสียงเรียก แต่เมื่อลองมองดูใกล้ ๆ ก็พบว่านั่นคือเสียงของซูเสี่ยวเหยียน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับซูหวานหว่านแต่ก็ไม่ได้เหมือนทั้งหมดสักทีเดียว
เขารู้สึกรังเกียจและขยะแขยงหญิงนางนี้เสียเหลือเกิน ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาว่า “ซูเสี่ยวเหยียน เจ้าไม่ใช่ผีหรอกรึ เหตุใดถึงออกมากลางวันแสก ๆ เช่นนี้ได้?”
“ข้าเคยบอกว่าตนเองเป็นผีงั้นเหรอ? ท่านช่างน่าขันดีเสียจริง ข้าเพียงอยากจะเล่นอะไรสนุก ๆ เท่านั้น” ซูเสี่ยวเหยียนกระตุกยิ้ม
ซูเสี่ยวเหยียนในตอนนี้ดูไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย ใบหน้าของเด็กสาววัยสิบปีดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หากไม่ได้รู้จักนางหรือรู้อายุนางมาก่อน มองครั้งแรกเขาก็คิดว่านางเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่ง!
เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงยืนนิ่งเงียบไม่พูดคำใด ซูเสี่ยวเหยียนจึงเอนกายพิงกรอบประตูพร้อมทั้งยกมือขึ้นลูบไล้หน้าอกของฉีเฉิงเฟิงอย่างเชื่องช้า “ฉีเฉิงเฟิง ดูท่าแล้วท่านคงไม่ได้รักพี่ข้ามากขนาดนั้น เหตุใดท่านถึงไม่เสี่ยงชีวิตลงไปช่วยชีวิตนางล่ะ หรือว่า…”
ซูเสี่ยวเหยียนยกมือขึ้นจับคางของฉีเฉิงเฟิง ทว่าชายหนุ่มคว้าข้อมือนางไว้ได้เสียก่อน เขาออกแรงบีบลงไปที่ข้อมือของนางอย่างแรง ทำให้เด็กสาวยิ้มออกมาและมองไปที่มือของฉีเฉิงเฟิง ทั้งยังรู้สึกมีความสุขมาก “หรือว่า…คนที่ท่านรักมาตลอดคือข้า ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่จับมือข้าแน่นจนไม่ยอมปล่อยมือเช่นนี้”
“เฮอะ!” ฉีเฉิงเฟิงพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างเย็นชา สะบัดข้อมือนางทิ้ง เขาอยากจะเอ่ยคำว่ารังเกียจแต่ทำได้เพียงปิดปากเงียบ ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกไป หากแต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไกล ซูเสี่ยวเหยียนก็กระโดดขึ้นหลังของฉีเฉิงเฟิงอย่างรวดเร็ว การกระทำของนางทำให้เขารู้สึกตกใจ จนทนไม่ไหวกระชากมือของนางออกจากหน้าอกตนเอง พร้อมทั้งบีบข้อมือนางอย่างแรงอีกครั้ง
ซูเสี่ยวเหยียนรู้สึกกลัวกับท่าทางต่อต้านของฉีเฉิงเฟิง แต่นางก็ไม่อยากยอมแพ้ เด็กสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ร้องไห้ออกมาและพูดว่า “ฮึก ฮือ ฮือ…! ฉีเฉิงเฟิง! ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไรกัน! ท่านอย่าทำแบบนี้เลย ข้าข้อร้องล่ะ…”
เขาทำอะไร? ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกงุนงง ซูเสี่ยวเหยียนจึงส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง “อ๊ะ อ๊ะ” ครานี้ฉีเฉิงเฟิงไม่รอช้าเหวี่ยงนางลงบนพื้น จนนางส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
เมื่อได้ยินเสียงร้องของลูกสาวตนเอง แม่เจิ้นก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อมาถึงก็ซูเสี่ยวเหยี่ยนก็นอนอยู่บนพื้นเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยให้เห็นหน้าอกขาวของนางแล้ว เด็กสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านแม่! ข้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ฉีเฉิงเฟิงทำกับข้าเช่นนี้ข้าจะมีหน้าแต่งงานออกเรือนได้อย่างไร!”
ร่างกายของฉีเฉิงเฟิงสั่นเทิ้มด้วยความรังเกียจ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น “น่ารังเกียจ!”
ซูเสี่ยวเหยียนตีหน้าไร้เดียงสาและร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง พร้อมกับกอดแม่เจิ้นเอาไว้
ฉีเฉิงเฟิงมองไปยังสองแม่ลูกคู่นี้ แล้วก็พบว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกินไป ในตอนที่ซูเสี่ยวเหยียนปรากฏตัวขึ้น แม่เจิ้นไม่ได้มีท่าทีที่ตื่นตระหนกอะไรแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าทั้งสองได้วางแผนเอาไว้แล้ว!
“ช่างเป็นคู่แม่ลูกที่ดีเลิศเสียจริง ๆ!” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวเยาะเย้ย และกำลังจะเดินจากไป หากแต่ถูกซูต้าเฉียงเข้ามาขวางเอาไว้ “ฉีเฉิงเฟิง! เจ้าได้ล่วงเกินลูกสาวของข้าแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าต้องแต่งงานกับนาง!”
“แบบนี้เขาเรียกว่าล่วงเกินรึ?” ฉีเฉิงเฟิงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ข้าจะบอกอะไรพวกท่านให้นะ เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของนางนั้นเกิดจากการที่ข้าโยนตัวนางลงพื้นต่างหาก!”
“เจ้าล่วงเกินข้าอย่างเดียวไม่พอ ยังกระทำการโหดร้ายเช่นนี้อีก! อีกทั้งยังไม่ทำบนเตียง!” ซูเสี่ยวเหยียนเอ่ยออกมาอย่างน่าสงสาร
สิ่งที่นางเอ่ยออกมาทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าฉีเฉิงเฟิงได้ล่วงเกินซูเสี่ยวเหยียนจริง ๆ ซูต้าเฉียงโกรธจัดจนวิ่งเข้าไปในบ้าน เขาหยิบมีดทำครัวออกมาเล่มนึงเพื่อนำมันมาสู้กับฉีเฉิงเฟิง แต่กลับถูกแม่เจิ้นห้ามเอาไว้ ชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นก็คิดว่านี่เป็นเรื่องตลกมาก “พวกท่านทั้งสองช่างน่าขันจริง ๆ! ร่างกายผอมแห้งเช่นนั้นคิดว่าข้าอยากจะสัมผัสตัวนางหรืออย่างไร?”
ฉีเฉิงเฟิงหัวเราะออกมาดังลั่น เขามองไปที่แม่เจิ้นพร้อมเอ่ยประชดประชัน “ข้าได้ตกลงที่จะแต่งงานมาเป็นเขยตระกูลท่าน แต่คนที่ข้าจะแต่งงานด้วยคือซูหวานหว่านไม่ใช่ซูเสี่ยวเหยียน! ทว่าซูหวานหว่านได้ตายไปแล้ว ดังนั้นข้ากับพวกท่านไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ต่อไปในอนาคต… สุดแล้วแต่เวรแต่กรรมพวกท่านแล้วกัน!”
พูดจบฉีเฉิงเฟิงก็เดินตรงออกไปทางประตูบ้าน ซูต้าเฉียงไม่แม้แต่จะปริถามอะไรออกมา ส่วนแม่เจิ้นมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงพร้อมกับตะโกนไล่หลัง “ฉีเฉิงเฟิง! เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเจ้านั้นแต่งงานเข้าบ้านตระกูลซูแล้ว? เพราะฉะนั้นเจ้าก็ถือว่าเป็นลูกของข้าครึ่งหนึ่ง! ข้าผิดตรงไหนที่หาหญิงอื่นมาให้? เจ้าไม่ตอบตกลง! ทั้งยังคิดจะไปอยู่ที่อื่น? เจ้าเชื่อไหมว่าข้านั้นกล้าฟ้องร้องให้ทางการมาจับเจ้าได้!”
“เฮอะ” ฝีเท้าของฉีเฉิงเฟิงหยุดชะงัก ชายหนุ่มหันตัวกลับมาช้า ๆ ทำให้แม่เจิ้นที่เดินตามเกือบจะชนเข้ากลับเขา ไม่นานลำคอของแม่เจิ้นก็ถูกฉีเฉิงเฟิงกอบกุมเอาไว้ ชายหนุ่มออกแรงบีบจนนางเริ่มหายใจไม่ออก
แม่เจิ้นตกอยู่ในอาการตกใจ พยายามแกะมือของฉีเฉิงเฟิงที่บีบคอตนเองออก แต่ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“แต่งเข้าบ้านงั้นรึ? ข้ายังไม่ได้ร่างหนังสือสัญญาด้วยซ้ำ เช่นนั้นข้าจะถือว่าเป็นลูกของท่านได้อย่างไร ท่านอย่านำคำพูดเหล่านั้นของผู้อาวุโสมาพูดกับข้าเลย ข้ารู้สึกว่ามันน่าสมเพชมาก!”
พูดจบฉีเฉิงเฟิงก็ปล่อยมือออกจากลำคอของแม่เจิ้น ทำให้นางกลับมาหายใจได้อีกครั้ง เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังเดินจากไป นางก็ไม่กล้าที่จะไล่ตามอีก ทำได้เพียงยืนมองอยู่ที่หน้าประตูบ้านพร้อมกับสบถคำด่าออกมา
“ท่านแม่! พวกเราเข้าไปในห้องนอนของพี่สาวกันเถอะ เผื่อมีอะไรสนุก ๆ ให้เราได้ทำ” ซูเสี่ยวเหยียนตะโกนเรียกแม่เจิ้นให้กลับมาในบ้าน
ซูต้าเฉียงเดินตามสองแม่ลูกเข้าไปในห้อง พวกเขาช่วยกันค้นหาของแต่ก็เจอแค่ปิ่นปักผมเพียงไม่กี่ชิ้นและเสื้อผ้าเก่า ๆ ของซูหวานหว่านไม่กี่ตัวเท่านั้น ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นกล่องใบหนึ่งจึงคิดว่าซูหวานหว่านเก็บของมีค่าเอาไว้ในกล่องใบนี้ แต่เมื่อเปิดออกก็พบว่าเป็นแค่ปิ่นปักผมที่นางชอบมากเท่านั้น!
“ให้ตายเถอะ!” ซูเสี่ยวเหยียนสบถออกมา นางโยนปิ่นปักผมเหล่านั้นลงบนพื้นและใช้เท้าเหยียบมันซ้ำ เมื่อแม่เจิ้นเริ่มมองหาของบนเตียงนางก็เอ่ยขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านไม่ได้เป็นคนบอกเองหรือว่าท่านพี่สวมชุดแต่งงานราคาหมื่นตำลึง ช่วยนำออกมาให้ข้าดูหน่อยเถอะ”
“เฮ้อ! ข้าก็กำลังมองหาอยู่ ข้าอยากเอามันออกมาให้เจ้าดูแต่ว่าตอนนี้ยังหามันไม่เจอเลย!” แม่เจิ้นทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างเหนื่อยหน่าย ทั้งดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมาว่า “นางเป็นปีศาจ หรือชุดแต่งงานบนตัวของนางไม่ใช่ของจริง?”
“จะเป็นปีศาจได้อย่างไรกัน?” ซูเสี่ยวเหยียนพึมพำออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันปรากฏขึ้น พลางคิดในใจว่า ‘นังซูหวานหว่าน ทุกคนต่างข้ามมิติมา เหตุใดถึงไม่เหลือของดีเอาไว้ให้บ้าง ข้ารู้นานแล้วว่าเจ้าซ่อนชุดแต่งงานเอาไว้ ข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมาแก้แค้นเจ้า!’
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของฉีเฉิงเฟิง นางก็กัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
….
ชายหนุ่มเดินมาถึงจุดที่ชาวบ้านจับซูหวานหว่านถ่วงน้ำ เขาพยายามหาอยู่นานแต่ก็ยังไม่พบเจอสิ่งใด
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ และทำได้เพียงเดินไปตามกระแสน้ำตามที่ซูหวานหวานบอกเอาไว้
ไม่ว่าเขาจะเดินไปไกลเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าแม่น้ำสายนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด และยังไม่พบร่องรอยซูหวานหว่านเลย
ฉีเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าเขาเดินมานานแค่ไหน ทว่าตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน รองเท้าที่ใส่เดินมานานเริ่มขาด กระทั่งเดินไปสักพักก็พบร่างของหญิงสาวในชุดสีชมพูนอนอยู่บนฝั่ง ทำให้รีบวิ่งเข้าไปดูอย่างตกใจ
ฉีเฉิงเฟิงพลิกใบหน้าของนางกลับมาและมองเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่าเป็นซูหวานหว่าน!
หากแต่ตอนนี้นางนอนแน่นิ่ง ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจของเขา ชายหนุ่มรีบสำรวจชีพจรของนาง ….พบว่าซูหวานหว่านไม่หายใจแล้ว!