หากนางไม่ทำเช่นนี้ คนอื่นจะหยิ่งผยองลำพองใจมากขึ้น! พวกเขากำลังใส่ร้ายป้ายสีทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหาย!
ดวงตาของซูหวานหว่านพลันแข็งกระด้างขึ้นมา นางจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ตนเองเคยสวมใส่ในวันที่ถูกจับขังเอาไว้ในกรงหมู “พวกเขาทำลงมือกระทำเราก่อน แม้แต่คิดว่าข้าตายแล้วก็ยังมาทำให้ชื่อเสียงของข้าต้องพังพินาศ! ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จ! และแน่นอนว่าข้าจะไม่ปล่อยเรื่องที่ข้ายังมีชีวิตอยู่แพร่งพรายออกไปแน่!”
กล่าวจบซูหวานหว่านก็ส่งสัญญาณให้ฉีเฉิงเฟิงเงียบลง หญิงสาวก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าวและลงกลอนประตูให้แน่นหนาอีกครั้ง ทำให้กลุ่มนักบวชไม่สามารถเข้ามาได้ พวกเขาทำได้เพียงถีบไปที่ประตูบ้าน
แม่เจิ้นและซูเสี่ยวเหยียนที่ยืนอยู่นอกประตู เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ซูเสี่ยวเหยียนก็กระซิบบอก “ท่านอาจารย์ ใช้เวลาตะโกนร้องเพียงหนึ่งก้านธูปก็พอเจ้าค่ะ แน่นอนว่าจะต้องมีคนเดินมาดูตามเสียงตะโกนอย่างแน่นอน จากนั้นพวกเราก็จะไปที่ร้านอาหารเจวียเซ่อเพื่อเรียกร้อง พรุ่งนี้ชื่อเสียงของซูหวานหว่านจะต้องพังพินาศ! หากร้านอาหารเจวียเซ่อเสื่อมเสียชื่อเสียงไปเมื่อใด เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะตอบแทนท่านมากมาย และทำให้ท่านไปได้ไกลกว่านี้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนักบวชก็รู้สึกเป็นสุขมาก พวกเขาเริ่มส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง ส่วนซูเสี่ยวเหยียนที่รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนก็พาแม่เจิ้นไปนอนที่โรงเตี๊ยม
เมื่อนักบวชเห็นว่าสองคนแม่ลูกเดินจากไป ทันใดนั้นก็มีลมหนาวพัดผ่าน ตะเกียงไฟพลันดับลง ร่างกายของนักบวชคนนั้นสั่นสะท้านหากแต่ยังพึมพำออกมาอย่างกล้าหาญ “ซูหวานหว่าน! วิญญาณชั่วร้าย! เจ้าเป็นคนเลวทรามมาตลอดชั่วชีวิต เจ้าตายคนเดียวยังไม่พอยังทำให้เด็กที่อยู่ในครรภ์ของเจ้าตายไปด้วย ตอนนี้เจ้าคงจะต้องตกนรกหมกไหม้ หากเจ้าได้พบชายผู้ที่เป็นพ่อของเด็กในท้อง เจ้าถึงจะช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ เจ้าสามารถบอกได้หรือไม่ว่าใครคือพ่อของเด็ก ถึงเวลานั้นข้าจึงจะสามารถช่วยเจ้าได้…”
กล้ามาทำลายชื่อเสียงของนางอย่างงั้นหรือ?
ซูหวานหว่านที่ยืนฟังอยู่ในบ้านเผยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา หญิงสาวเปิดประตูออกไปในช่วงเวลาเดียวกับมีสายลมพัดผ่าน ทำให้เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดและประตูก็ถูกเปิดออก นักบวชที่เห็นว่าประตูเปิดออกมาก็พากันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ จากที่ยืนท่องคาถาอยู่ก็หยุดลงทันที!
“ท่านอาจารย์… ลม… ข้าหนาว…” ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา เมื่อมองไปทางประตูก็พบกับซูหวานหว่านยืนอยู่
เขาหันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่าเป็นซูหวานหว่านจริง ๆ จึงรีบเอาผ้ามาคลุมศีรษะของตนเองเอาไว้ และตะโกนออกมาว่า “อ๊าก! ซู…ซูหวานหว่าน!”
“ซูหวานหว่านอะไรกัน! นางไม่ใช่ตายไปแล้วรึ? เจ้าจะกลัวอะไร! พวกเรารู้กันดีอยู่แล้วว่ามันไม่มีผี ทั้งหมดเราโกหกขึ้นก็เพื่อที่จะหาเงินจากเรื่องไร้สาระพวกนี้เท่านั้น!” หัวหน้านักบวชเอ่ยออกมา แต่นักบวชคนนั้นยังคงยืนตัวสั่นชี้ไปที่ประตู หัวหน้านักบวชมองไปก็เห็นผู้หญิงสวมชุดสีชมพูยืนอยู่ที่ประตูด้วยร่างกายเปียกโชก ร่างกายของนางสั่นสะท้านด้วยความหนาว มีผมยาวปกคลุมใบหน้า ใบหน้าของนางบวมเป่ง เมื่อสะท้อนแสงจันทร์ก็เห็นว่าเป็นใบหน้าของซูหวานหว่านที่ซีดเซียวไร้สีเลือด!
“นี่… มันเป็นไปไม่ได้!” หัวหน้านักบวชเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นเล็กน้อย ขาของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเขาเห็นเท้าของซูหวานหว่านลอยอยู่ในอากาศ ความกลัวในใจของเขาก็ไม่สามารถที่ควบคุมได้อีกต่อไป แต่เขาก็แสร้งทำเป็นพูดออกมาว่า “ซูหวานหว่าน…เจ้า…ในเมื่อเจ้าตายไปแล้ว อย่าหลอกหลอนกันเลย! ข้าเป็นนักบวช เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถสะกดวิญญาณเจ้าได้!”
เมื่อนักบวชคนนั้นกล่าวจบก็พบฉีเฉิงเฟิงเดินออกมาจากประตู!
สายตาของฉีเฉิงเฟิงที่มองมาราวกับพวกเขาเป็นคนโง่เขลา ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่? ภรรยาของข้าถูกพวกเจ้าฆ่าตายไปนานแล้ว”
หลังจากนั้นเขาก็หมุนกายเดินกลับเข้าบ้านและปิดประตูลงเสียงดัง ‘ปัง!’
ฉีเฉิงเฟิงแสดงได้สมจริงเสียเหลือเกิน! เมื่อได้ยินดังนั้นเหล่านักบวชก็เกิดความกลัวขึ้นมา เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงจึงคิดว่านางไม่มีวันทำร้ายชายหนุ่มอย่างแน่นอน หากพวกเขาเอาตัวไปติดอยู่กับฉีเฉิงเฟิงพวกเขาจะต้องปลอดภัย ดังนั้นพวกเขาจึงตะโกนขึ้น “คุณชายฉี ช่วยด้วย!”
ในลานบ้านมีเพียงเสียงฝีเท้าของฉีเฉิงเฟิงที่ดังขึ้น หลังจากนั้นไม่นานก็เงียบลง!
เหล่านักบวชเริ่มรู้สึกหมดหวัง ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “พวกเจ้าทำให้พวกข้าต้องแยกจากกัน…ในเมื่อพวกเจ้ามาเพื่อสะกดวิญญาณของข้าก็ลงมือเสียสิ! แสดงมันให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าหรือข้าจะตายก่อนกัน!”
พูดจบซูหวานหว่านก็อ้าปากของตัวเอง และแลบลิ้นสีแดงยาวออกมา
น้ำลายของนางหยดลงตามลิ้น ส่งกลิ่นของน้ำและหญ้าใต้น้ำลึกออกมา มันผสมกับกลิ่นเหม็นเน่าเล็กน้อยทำให้ดูเหมือนว่าเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่แท้จริง!
ซูหวานหว่านต้องการฆ่าพวกเขา เช่นนี้แล้วยิ่งทำให้เหล่านักบวชรู้สึกหวาดกลัว ตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แค่คิดว่าฆ่าซูหวานหว่านได้ก็เพียงพอแล้ว แต่ใครจะไปรู้…
ซูหวานหว่านลอยตัวเข้ามาใกล้ ทำให้พวกเขารีบคุกเข่าลงทันทีและก้มหัวด้วยความร้อนรน “ซูหวานหว่าน! มันไม่ใช่ความผิดของข้านะ! มันเป็นความผิดของชาวบ้านหน้าโง่พวกนั้นที่ฆ่าเจ้า! เจ้าไปฆ่าพวกมันซะ! ปล่อยข้าไปเถอะ!”
เมื่อใกล้ถึงคราวตายของตนเอง ยังกล้าที่จะบอกว่าตนเองไม่ผิดอีก! ไร้ยางอายเสียจริง ๆ! ซูหวานหว่านยิ้มเย้ยหยันออกมา นางใช้พลังจากมิติฟาร์มของนางลอยตัวขึ้นไปอยู่บนศีรษะของนักบวชและทันใดนั้นก็เหยียบศีรษะของเขา ทำให้เขารีบตะโกนออกมาว่า “อ๊ะ! อ๊ะ! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้เลย! ต่อไปนี้ข้าจะไม่มารบกวนเจ้านั้นอีกต่อไปแล้ว!”
พวกเขาพลันวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“เฮอะ!” ซูหวานหว่านส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา นางก้าวเข้าไปในเงามืดและปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านักบวชอีกครั้ง! ทำให้กลุ่มนักบวชก็รีบคุกเข่าลงอีกครั้งด้วยความตกใจ!
“ได้โปรดปล่อยพวกข้าไปเถอะ ข้านั้นจะจุดธูปและส่งน้ำชาให้เจ้าทุกวัน!”
“เฮอะ” ซูหวานหว่านหัวเราะเยาะออกมาและถามว่า “เจ้าบอกว่าข้าท้องอย่างงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไรรึ?”
“ไม่ ไม่ ไม่!” ในที่สุดนักบวชก็เข้าใจความหมายทันทีว่าซูหวานหว่านไม่ต้องการให้เขาพูดเช่นนี้จึงยังไล่ตามเขามา เขารีบพูดออกมาทันทีว่า “เจ้านั้นไม่ได้ท้อง! ยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่!”
พูดจบเขาก็ตบปากของตัวเองเล็กน้อย “มันเป็นความผิดของข้าเอง! ข้านั้นไม่ควรปล่อยข่าวลือ!”
“เจ้าจะต้องไปพูดความจริงให้ทุกคนรู้ และอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างชัดเจน ถ้าไม่อย่างงั้น…” ซูหวานหว่านพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย น้ำที่หยดจากลิ้นของนางตกลงไปบนหน้าผากของนักบวช และนักบวชเองก็กลัวจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเคารพเชื่อฟังและพูดออกมาว่า “ใช่แล้ว! ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นซูหวานหว่านก็กระโดดไปยืนหน้านักบวชอีกคน หญิงสาวยกเท้าเหยียบลงบนหัวเขา สัมผัสเย็นยะเยือกทำให้นักบวชตกใจ และเขาเริ่มเล่าสิ่งที่ซูหวานหว่านต้องการอยากรู้ออกมา “ซูหวานหว่าน! อย่ามายุ่งกับข้าอีกเลยนะ น้องสาวของเจ้าเป็นคนวางแผนเรื่องพวกนี้! พ่อ แม่ และพี่ชายของเจ้าต่างรู้เรื่องนี้ดี! ถ้าพ่อและแม่ของเจ้าไม่สั่งให้ทำ มีหรือที่ข้านั้นจะลงมือทำได้? และเจ้าก็ไม่ต้องมาตายแบบนี้!”
“โอ้?” ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว ข้อสงสัยของนางได้รับการยืนยันแล้ว หัวใจของนางพลันเย็นวาบ นางได้มองไปที่นักบวชพร้อมกับหยิบน้ำเย็นในมิติฟาร์มออกมาแล้วเทลงใส่หัวของเขา ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความหนาวเหน็บทันทีแต่ก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงพูดออกมา!
ซูหวานหว่านก็ได้พูดออกมาว่า “ข้าไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด! ข้าจะเชื่อก็ต่อเมื่อเจ้าลงมือทำมัน! ถ้าพรุ่งนี้เจ้าไม่ลบข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ของข้าให้หายไป ข้านั้นจะกลับมาหาเจ้า…”
พูดจบก็นำน้ำเย็นออกมาจากมิติฟาร์มอีกครั้งและสาดลงไป จากนั้นก็พาตัวเองเข้าไปในมิติฟาร์มทันที
เหล่านักบวชไม่สงสัยสิ่งใดอีกต่อไป พวกเขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นและวิ่งกลับไปที่โรงเตี๊ยมทันที!
ซูหวานหว่านออกมาจากมิติฟาร์มและรีบกลับเข้าไปพักที่ห้องพักของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านไม่เป็นไร ฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกโล่งใจและโอบกอดภรรยาของเขา จากนั้นก็พากันเข้านอน
เช้าวันรุ่งขึ้น
หญิงสาวตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารเช้า นางเก็บของแล้วใส่หน้ากากดังเดิม จากนั้นนางก็กลายเป็นเป่ยฉวนทันที!
เมื่อเดินออกจากห้องนางก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังขึ้นอยู่ด้านนอกบ้าน
ซูหวานหว่านเปิดประตูลานบ้านออกไป และพบว่ามีชายคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ดูเหมือนจะเป็นนักบวชเมื่อคืนนี้!
เป่ยฉวนเฟิงหลิวกำลังจะเดินผ่านไป และทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน “เขาถูกเป่ยฉวนเฟิงหลิวฆ่า!”
ทันทีที่เสียงนั้นจบลง ก็มีใครบางคนปาผักใส่เขาทันที!