หัวใจของฉีเฉิงเฟิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย ชายหนุ่มดึงร่างหญิงสาวมากอดเอาไว้ แล้วกระโดดลงไปทางหน้าต่างทันที!
ฉีเฉิงเฟิงออกแรงกระโดดพร้อมทั้งกอดซูหวานหว่านเอาไว้แน่น ทั้งสองกระโดดลงไปบนแผ่นไม้ที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำ มันคือหน้าต่างที่ซูหวานหว่านเป็นคนถีบมันเมื่อครู่!
เหล่าฝูงชนต่างไม่รู้เรื่องคิดว่าพวกเขากำลังแสดงกายกรรม ทุกคนที่เห็นภาพนั้นต่างตกตะลึง ปรบมือชื่นชมกันไม่หยุด
คุณชายเจียโผล่หน้าออกไปมองก็โกรธจนไม่อาจทนไหว ตะโกนออกมาด้วยโทสะ “ใครก็ได้! จับพวกเขาเอาไว้!”
แต่เป็นเพราะเขานั้นร้อนรนจนเกินไป ทำให้ร่างกายที่ยังยืนไม่มั่นคงถูกคนด้านหลังเบียดเสียดเข้ามาด้วยความอยากดูเหตุการณ์จนตกลงไปนอกหน้าต่าง!
ในตอนนั้นเอง คุณชายเจียก็ตกลงน้ำจากชั้นสามของเรือ จากความสูงที่ตกลงมาทำให้น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว!
ฉีเฉิงเฟิงหมุนกายปกป้องซูหวานหว่านเอาไว้ ไม่ให้น้ำสาดกระเซ็นโดนนาง ผู้คนภายในเรือรีบร้อนกระวนกระวายช่วยคุณชายเจีย ชายหนุ่มจึงฉวยโอกาสนี้พาซูหวานหว่านหนีไปทันที!
ผู้คนมองภาพตรงหน้าด้วยความมึนงงง เดิมทีตระกูลเจียต้องการให้พวกเขาไล่ตามไป แต่เมื่อเห็นความว่องไวของทั้งสองก็เกิดอาการขี้ขลาดขึ้นมา พวกเขาแสร้งทำเป็นตามทั้งสองไปหากแต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น
เมื่อทั้งสองมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ฉีเฉิงเฟิงก็ปล่อยซูหวานหว่านออกจากอ้อมกอด รีบวิ่งเข้าไปในฝูงชนและค่อย ๆ หายตัวไปท่ามกลางผู้คนมากมาย
ในตอนนั้นเอง เด็กสาวในอาภรณ์สีชมพูยืนกำมือแน่นอยู่ภายในห้อง หากซูหวานหว่านอยู่ที่นี่ก็จะต้องจำได้ทันทีว่านางคือซูเสี่ยวเหยียน!
ซูเสี่ยวเหยียนรู้สึกโกรธและไม่พอใจอย่างมาก นางคิดในใจ ‘ได้! เป่ยฉวนเฟิงหลิว ในเมื่อเจ้าและฉีเฉิงเฟิงมายังเมืองโจวแล้ว! มาดูกันว่าข้าจะทำให้เจ้าตายได้อย่างไร!’
ซูหวานหว่านรู้สึกร้อนวูบบริเวณด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเพียงฝูงชนที่เดินขวักไขว่ราวกับสายน้ำหลั่งไหล เมื่อคิดดูแล้วนางคงจะคิดมากไปเอง ตอนนี้นางยังมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำ หญิงสาวหยิบจดหมายของคุณชายถังออกมาจากแขนเสื้อ มองดูแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง และรีบมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารของคุณชายถังทันที
“ซาลาเปา! ซาลาเปาไส้แน่น ๆ!”
“โจ๊ก! กินอร่อยไม่ร้อนปาก! หนึ่งเหรียญกินโจ๊กได้หนึ่งถ้วย!”
“….”
การวางแผนผังเมืองของเมืองโจวนั้นเข็มงวดมาก ถนนฝั่งตะวันตกขายอาหาร หากมองไปก็จะพบกับโรงน้ำชา โรงเตี๊ยม ร้านบะหมี่ ร้านอาหารกระจายตัวอยู่รอบ ๆ เสียงผู้คนตะโกนเรียกลูกค้า คึกคักเสียจริง ๆ!
ซูหวานหว่านเดินอยู่ครู่ใหญ่ก็มาถึงร้านเจวียเซ่อ ร้านแห่งนี้เล็กกว่าร้านในเมืองเล็กน้อย ตกแต่งอย่างมีชีวิตชีวา แต่ไม่ค่อยมีผู้คน ฝั่งตรงข้ามมีร้านหงเหมินทีเปิดขึ้นอย่างใหญ่โต เพียงแค่ได้ยินชื่อหญิงสาวก็รู้ได้ว่าเป็นสองพี่น้องตระกูลสือ
ร้านหงเหมินมีลูกค้าพลุกพล่าน แตกต่างจากร้านเจวียเซ่อที่ค่อนข้างเงียบเหงา หากเทียบกันแล้วมันดูค่อนข้างเย็นยะเยือก
ซูหวานหว่านยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไป พลันได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมา “คุณชายถัง! ตอนนี้ท่านไม่มีความสามารถของซูหวานหว่านแล้ว ท่านทำมันไม่ได้อีกแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่มอบร้านเจวียเซ่อนี้ให้กับข้า?”
เมื่อซูหวานหว่านมองเข้ามาก็พบกับหญิงสาวในชุดสีเขียวอยู่ภายในห้องโถง นางคือสือเป๋ยเอ๋อ! หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงตัดสินใจถอดผ้าคลุมออก และนำมันไปคลุมให้กับฉีเฉิงเฟิงเพื่อป้องกันไม่ให้สือเป๋ยเอ๋ออยากได้เขาอีก!
สือเป๋ยเอ๋อยังไม่สังเกตเห็นซูหวานหว่านที่อยู่ในร่างของเป่ยฉวน นางยังคงมีท่าทางหยิ่งผยอง “วันนี้ข้ากำลังอารมณ์ดี! หากข้าซื้อร้านของเจ้าด้วยเงินหนึ่้งร้อยตำลึง เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หนึ่งร้อยตำลึง? สือเป๋ยเอ๋อจะมากเกินไปแล้ว! หนึ่งร้อยตำลึงยังซื้อที่ดินตรงนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ! อย่างมากก็จ่ายค่าเช่าได้เพียงแค่สองเดือน! ซูหวานหว่านหัวเราะอย่างเย็นชา หยิบพัดออกมาเคาะไปที่ประตู “เฮ้ แม่นางผู้นี้ วันนี้เจ้ากินขึ้นฉ่ายมาหรือ?”
“เจ้า…” จู่ ๆ มีคนกล่าววาจาประชดประชันใส่ สือเป้ยเอ๋อรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก หญิงสาวจ้องมองไปยังคนมาใหม่ และก็พบกับชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าขาว ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วคมเข้ม ใบหน้าที่หากผู้ใดได้เห็นต้องหลงเสน่ห์เขาได้อย่างง่ายดาย สือเป๋ยเอ๋อตกตะลึงเล็กน้อย หญิงสาวรีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “คุณชายท่านนี้…ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่งั้นหรือ?”
“ข้าบอกว่าวันนี้เจ้ากินขึ้นฉ่ายมาใช่หรือไม่ ปากของเจ้าถึงเหม็นนัก!” พูดจบซูหวานหว่านก็เดินไปหยุดข้างคุณชายถัง และหยิบจดหมายออกมา “คุณชายถัง ข้าเป็นผู้ดูแลคนใหม่ที่ท่านเชิญมา…เป่ยฉวนเฟิงหลิว!”
อะไรนะ? คุณชายท่านนี้เป็นผู้ดูแลร้านคนใหม่ที่คุณชายถังจ้างมางั้นหรือ? หากมองด้วยตาเปล่าเขายังอายุน้อยมาก ไม่น่าจะมีความสามารถอะไร สือเป๋ยเอ๋อจึงเอ่ยเสนอขึ้นมาว่า “คุณชายเป่ยฉวน เขาจ่ายท่านเท่าไร ข้าจะให้มากกว่าเขาเป็นสองเท่า ให้ท่านเป็นผู้ดูแลร้านหงเหมินดีหรือไม่?”
“หื้อ?” ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มอย่างเย็นชา “คุณชายถังแบ่งรายได้กันคนละครึ่งกับข้า หากเจ้าอยากให้ข้าไปเป็นผู้ดูแลร้านของเจ้า เจ้าก็ต้องยกร้านหงเหมินให้เป็นของข้า เจ้า…ยินยอมหรือไม่?”
นางจะไปตอบตกลงได้อย่างไร! สือเป้ยเอ๋อรีบลุกขึ้นยืนแล้วตบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ “คุณชาย ท่านกำลังพูดไร้สาระอันใด? ข้าสามารถให้เงินท่านได้ถึงยี่สิบตำลึงต่อเดือน! และมันก็ไม่ได้แย่ ข้ายังสามารถให้ที่พักและอาหารการกินให้แก่ท่าน แต่เรื่องร้านข้าไม่สามารถให้ท่านได้จริง ๆ!”
ยี่สิบตำลึงนั้นก็มากที่สุดแล้ว! การจะหาเงินได้ยี่สิบตำลึงต่อเดือนนั้นยากมาก! ซูหวานหว่านควรจะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่? สือเป้ยเอ๋อกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบของนาง
หลังจากนั้นก็ได้ยินคุณชายถังเอ่ยว่า “นั่นไม่ไร้สาระ ข้าแบ่งกำไรให้เขาครึ่งต่อครึ่ง”
ซูหวานหว่านกระตุกยิ้ม และพูดออกมาอย่างใจเย็น “สิ่งที่คุณชายถังพูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริง แม่นาง หากเจ้ามอบร้านอาหารให้แก่ข้าไม่ได้ ข้าก็คงจะไม่บังคับเจ้า รอจนร้านของเจ้าปิดลงเมื่อใด ข้าจะเป็นคนซื้อมันเอง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
ซูหวานหว่านสาปแช่งอีกฝ่ายในใจ สือเป่ยเอ๋อโกรธจัด เขาจ้องมองซูหวานหว่านอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินจากไปด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่จะไปนางได้พูดว่า “ข้าจะบอกอะไรท่านอย่าง! ข้าจะทำให้ท่านมาขอร้องข้าให้จงได้!”
ใครกันแน่ที่จะขอร้องใคร!
ซูหวานหว่านยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนจะถามเกี่ยวกับร้านของคุณชายถัง ชายหนุ่มจึงตอบว่า “ที่นี่เทียบไม่ได้กับในเมือง ซื้อพริกไม่ได้ ช่วงนี้ก็ห้ามซื้อขายหมู ร้านของพวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากนายอำเภอเพื่อนำเนื้อดี ๆ มาจากที่อื่นและใช้ในการประกอบอาหาร ข้าได้ยินมาว่านางเริ่มทำอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนรวยในเมืองนี้”
“อาหารเพื่อสุขภาพ?” ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว คุณชายถังก็พูดออกมาอย่างไม่รีบร้อน “สิ่งนั้นคือหม้อไฟ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ข้าได้ยินมาว่ามันอร่อยยิ่ง แต่ร้านของเราไม่สามารถเลียนแบบได้ เพราะเราเข้าไปในร้านอาหารของพวกเขาไม่ได้ จึงไม่สามารถลองอาหารจากร้านนั้นได้”
หม้อไฟ? แค่ได้ยินชื่อกลิ่นของมันก็ลอยมา แต่นางก็ยังรู้สึกว่ามีบางสิ่งหายไป นางคิดว่าสิ่งนี้ต้องเป็นสิ่งที่ซูเสี่ยวเหยียนคิดมันขึ้นมา แต่ซูหวานหว่านยังรู้สึกว่ารสชาติของมันยังไม่ใช่ จึงส่ายหัวและพูดว่า “อาหารของพวกเขา…เฮอะ ไม่น่าแปลกใจเลย”
พูดจบซูหวานหว่านเอ่ยขอยืมหมึก กระดาษ และพู่กัน หญิงสาวเริ่มวาดภาพและส่งมันให้กับคุณชายถัง “นำภาพร่างนี้ไปให้ช่างตีเหล็กทำมันขึ้นมา แล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้อีกทีในอีกสองสามวัน ตอนนี้เรายังไม่ต้องเปิดร้าน”
“ได้” คุณชายถังตอบตกลง ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกได้ว่าเป่ยฉวนเฟิงหลิวนั้นดูคุ้นเคยอย่างมากจนอดถามออกมาไม่ได้ว่า “เจ้าคือซูหวานหว่าน?”
“อืม” ซูหวานหว่านตอบรับ แต่ทันใดนั้นซูเสี่ยวเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณประตู! นางเดินเข้ามาด้วยร่างกายสั่นสะท้านและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “เจ้าคือซูหวานหว่านจริง ๆ งั้นรึ?”