นางคือซูหวานหว่านจริง ๆ!
แต่ว่านางจะยอมรับไม่ได้!
และไม่สามารถทำให้ซูเสี่ยวเหยียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางได้!
ซูหวานหว่านขบคิดอย่างหนัก หญิงสาวลูบคางของตนเองไปมาก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบกระจกออกมา นางส่องกระจกเล็กน้อยและกล่าวว่า “อะไรกันข้าเหมือนศิษย์น้องถึงเพียงนั้นเลยหรือ เช่นนั้นเจ้าจึงเอาแต่จ้องมองข้าไม่หยุด หรือว่าเจ้าเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาของข้าแล้วเลยใช้ข้ออ้างนี้เพื่อใกล้ชิดกับข้า?”
“ใครจะไปชอบเจ้ากัน!” การหลงตัวเองเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ซูหวานหว่าน! แล้วเมื่อครู่เขายอมรับไปเพื่ออะไรกัน ซูเสี่ยวเหยียนจ้องมองซูหวานหว่านอยู่ครู่หนึง ‘เป่ยฉวนเฟิงหลิว’ มีรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติมากกว่าซูหวานหว่านมากมาย ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้ ความสงสัยของซูเสี่ยวเหยียนค่อย ๆ จางหายไป
ซูเสี่ยวเหยียนไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเพื่อให้ดูสูงเหมือนชายหนุ่ม ซูหวานหว่านต้องเสริมรองเท้าให้สูงเพียงไหน!
เมื่อเห็นซูเสี่ยวเหยียนยังไม่จากไป ซูหวานหว่านจึงพูดว่า “ว่าอย่างไร? เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ไป เจ้าอยากอยู่กินข้าวที่นี่อย่างงั้นหรือ?”
พูดจบซูหวานหว่านก็ปรบมือ “ใครก็ได้ มาแนะนำอาหารของร้านเราให้แม่นางซูทีเถอะ!”
เด็กภายในร้านรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นว่าสตรีนางนั้นเป็นซูเสี่ยวเหยียน สีหน้าของเขาก็ค่อนข้างหนักใจ “คุณชายเป่ยฉวน นี่คือผู้ดูแลร้านหงเหมินที่อยู่ตรงข้ามร้านเรา! ข้าจะไม่รับใช้นาง!”
ซูเสี่ยวเหยียนพูดอย่างโกรธเคือง “ต่อให้เจ้ารับใช้ข้า ข้าก็จะไม่กิน!” เมื่อครู่ตอนกลับมาได้ยินเรื่องของซูหวานหว่าน จึงหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ซูหวานหว่าน นางจึงจะไปแล้ว!
แต่ซูหวานหว่านแกล้งยื่นขาออกมา ทำให้ซูเสี่ยวเหยียนสะดุดจนเกือบล้มลง
ซูหวานหว่านหัวเราะ “อะไรกัน ซูเสี่ยวเหยียน เหตุใดเจ้าจึงต้องรีบร้อนด้วย? เขาเพียงไม่ปรนนิบัติเจ้า คุณชายคนนี้จะปรนนิบัติเจ้าเอง”
พูดจบซูหวานหว่านก็หยิบหนังสือออกมาจากแขนเสื้อ เมื่อเห็นชื่อหนังสือซูเสี่ยวเหยียนก็เบิกตากว้าง หนังสือเล่นนั้นชื่อว่า ‘อาหารจีนสามพันชนิด’
“เจ้ามีหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร!” ซูเสี่ยวเหยียนถามออกมาอย่างรวดเร็ว พลันนึกขึ้นมาได้ “นี่มันของพี่สาวข้าที่ทิ้งเอาไว้งั้นหรือ?”
แววตาของซูเสี่ยวเหยียนเปล่งประกายเล็กน้อย ถ้าหากว่านางได้หนังสือเล่มนี้มา นางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารอีกต่อไป! การจะเปิดร้านอาหารทั่วทั้งเมืองจะไม่ใช่ความฝัน! เมื่อคิดถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ยื่นมือออกมา “คุณชายเป่ยฉวน ของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่พี่สาวของข้าทิ้งเอาไว้ให้ โปรดคืนมันให้แก่ข้าด้วย”
ซูเสี่ยวเหยียนช่างไร้ยางอายเสียจริง ๆ! นางเพียงนำมันออกมาให้ซูเสี่ยวเหยียนเห็น ซึ่งทำให้นางตกใจเล็กน้อย ใครจะไปคิดว่านางจะอยากได้มัน!
แววตาของซูหวานหว่านทอแสงเปล่งประกาย นางยกหนังสือขึ้นสูง “เจ้าอยากได้มันรึ? เสนอราคามาเสีย หากข้าพอใจ ข้าจะยกให้เจ้า”
“…”
เป่ยฉวนเฟิงหลิวมันชักจะมากเกินไปแล้วนะ! นี่มันเป็นของของพี่สาวนางแต่เขากลับนำมันมาขาย ซูเสี่ยวเหยียนโกรธจนไม่อาจทนไหว แต่ว่าหนังสือเล่มนั้นก็ดึงดูดความสนใจนางเช่นกัน นางกัดฟันกรอด “หนึ่งตำลึง! ข้าต้องการมัน!”
หนึ่งตำลึง? ซูหวานหว่านได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นรึ? มีสูตรอาหารมากมายอยู่ในนี้ หากเอาไปขายคงได้ถึงพันตำลึงเป็นอย่างต่ำ เจ้าให้ข้าเพียงหนึ่งตำลึง อย่างน้อยเจ้าต้องให้ข้าสองพันตำลึง!”
สองพันตำลึง? นางไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นเสียหน่อย! แต่…หากนางพลาดสิ่งนี้ไปนางก็จะไม่มีร้านเป็นของตนเอง! ซูเสี่ยวเหยียนเกิดอาการร้อนใจขึ้นมา หันไปบอกกับเด็กรับใช้ที่ตามตนมาว่า “ไปเชิญคุณหนูสือมาหาข้าที”
ซูเสี่ยวเหยียนต้องการเรียกสือเป๋ยเอ๋อให้มาซื้อมันแทนนาง ถึงสือเป๋ยเอ๋อจะทำอาหารไม่เป็น แต่ตนเองยังต้องพึ่งพานาง ซูเสี่ยวเหยียนคิดสิ่งนี้เอาไว้เรียบร้อย ไม่นานนักสือเป๋ยเอ๋อก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อได้ยินว่านางต้องการเงินสองพันตำลึง จึงตบหน้าอีกฝ่าย “นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ พี่ชายของข้าให้เจ้าเป็นผู้ดูแลร้านนั่นก็มากเกินพอแล้ว เจ้ายังต้องการเงินสองพันตำลึงอีกรึ!”
ซูเสี่ยวเหยียนยกมือปิดบังใบหน้า และก็พบว่ามีผู้คนจำนวนมากกำลังมุ่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ใบหน้าของนางหมองลงทันใด ในใจของนางรู้สึกโกรธเคืองแต่ก็ยังคงก้มหน้าลงพูดกับสือเป๋ยเอ๋อว่าหนังสือเล่นนั้นมีความสำคัญเกี่ยวกับสูตรอาหาร
ซูหวานหว่านนั่งลงอย่างนิ่งเฉย ข้างกายมีคุณชายถังและฉีเฉิงเฟิงกำลังนั่งกินเมล็ดแตงโมอบแห้ง ท่าทางของพวกเขาทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
จนกระเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป สือเป๋ยเอ๋อก็เอ่ยยินยอมและบอกให้คนรับใช้ไปนำเงิน และพูดขึ้นมาว่า “ข้าจะซื้อหนังสือเล่มนั้น เมื่อมีมันแล้ว ข้าก็มีบางสิ่งอยากให้เจ้าทำ จูเหยียนเก็บของของเจ้าแล้วออกไปซะ!”
“คุณหนูสือ! ท่าน!” ซูเสี่ยวเหยียนทั้งตกใจและโกรธเคือง หากแต่ทำได้เพียงพูดอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูสือ จูเหยียนคนนี้สาบานว่าจะตามใจท่านทุกอย่าง ข้าเต็มใจที่จะเป็นคนรับใช้ของท่านเจ้าค่ะ”
แปะ แปะ แปะ
ซูหวานหว่านวางเมล็ดแตงโมในมือลง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ช่างเป็นคู่นายบ่าวที่น่าอิจฉาเสียจริง ๆ”
หากแต่ประโยคนั้นของนางแฝงไปด้วยความประชดประชัน และสือเป๋ยเอ๋อก็ฟังไม่เข้าใจ คิดว่าอีกฝ่ายกำลังชมตนเอง จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย นางเชิดหน้าขึ้น สายตาหยิ่งผยองของนางทำให้ซูเสี่ยวเหยียนรู้สึกเกลียดนางมากยิ่งขึ้น
คนรับใช้ของนางได้นำเงินมาแล้วสองพันตำลึง เมื่อเปิดถุงเงินออกก็เห็นเงาสะท้อนสีเงินเปล่งออกมา ดวงตาของซูหวานหว่านเปล่งประกาย เรียกให้คนนำเงินเอาไปเก็บไว้ในห้อง จากนั้นก็ยื่นหนังสือให้สือเป๋ยเอ๋อ “นี่คือหนังสือเล่มนั้น พวกเจ้าเอาไปเถอะ! ข้าก็ดูมันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”
เขาน่ะเหรออ่านไม่เข้าใจ? สือเป๋ยเอ๋อคิดว่า ‘เป่ยฉวนเฟิงหลิวคงไม่รู้หนังสือ แต่เมื่อนางเปิดหนังสือเล่มนั้นก็พบเพียงตัวอักษรแปลก ๆ!’
ดูเหมือนว่า…จะเป็นรูปสัตว์!
ใบหน้าของซูเสี่ยวเหยียนพลันเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่านี่ถูกเขียนขึ้นด้วยตัวอักษรแบบเจี๋ยกู่เหวิน*[1] นางเองก็อ่านไม่เข้าใจเหมือนกัน!
สือเป๋ยเอ๋อหันไปมองซูเสี่ยวเหยียน และก็รู้ว่านางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จึงตบหน้านางไปอีกหนึ่งครั้ง “เจ้าอธิบายให้ข้าฟังเดียวนี้! นี่คือสูตรอะไรของเจ้า!”
ซูเสี่ยวเหยียนก้มหน้าลงไม่เอ่ยคำใด ยิ่งทำให้สือเป๋ยเอ๋อโกรธกว่าเดิม นางอยากให้คนไปนำเงินคืนมา แต่ก็พบว่าด้านหน้าประตูร้านมีผู้คนอยู่จำนวนมาก ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องเงิน นางเริ่มรู้สึกอายขึ้นมาและอยากไปจากที่นี่เร็ว ๆ
ซูเสี่ยวเหยียนจ้องมองซูหวานหว่าน นางไม่อยากให้สือเป๋ยเอ๋อทำให้ตนลำบากไปมากกว่านี้จึงพูดออกมาว่า “คุณชายเป่ยฉวน ท่านช่วยคืนเงินมาให้ข้าได้หรือไม่? หนังสือเล่มนี้ข้าไม่อยากได้แล้ว”
ไม่มีเหตุผลที่ต้องคืนให้!
ซูหวานหว่านหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นคนอยากได้มันเองไม่ใช่รึ ตอนนี้เจ้าอยากจะคืนมัน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้า…” ใบหน้าของนางแดงก่ำ ซูหวานหว่านหัวเราะและหยิบหนังสืออีกเล่มที่เหมือนกันออกมา “น่าเสียดาย หนังสือที่ศิษย์น้องของข้าเขียนเล่มนี้ข้าก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน”
ซูหวานหว่านเปิดมันออกให้ซูเสี่ยวเหยียนดู ดวงตาของนางเป็นประกายเพราะด้านในถูกเขียนเอาไว้ด้วยอักษรแบบเสี่ยวลี่*[2] แม้มันดูเลอะเทอะเล็กน้อย แต่ซูเสี่ยวเหยียนก็จำมันได้ทันทีจึงต้องการแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามซูหวานหว่านฉีกมันทิ้งทันที “เฮ้อ น่าเสียดายจัง”
“เจ้าจะทำเกินไปแล้วนะ!” ซูเสี่ยวเหยี่ยนเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง ในที่สุดนางก็รู้ว่านี่เป็นความตั้งใจของอีกฝ่ายที่ต้องการกลั่นแกล้งนาง! อักษรที่ใช้เขียนในยุคนี้คือเสี่ยวลี่ ซูหวานหว่านจะไม่เข้าใจมันได้อย่างไรกัน? แน่นอนว่าต้องจำมันได้หมดแล้วถึงได้กล้าฉีกมันทิ้ง!
ซูเสี่ยวเหยียนโกรธมาก ทุกคนที่มามุงดูก็พากันหัวเราะออกมา ทำให้นางรีบเดินก้มหัวหน้าออกไป
เมื่อนางเดินจากไปแล้วคุณชายถังก็ปรบมือ “คุณชายเป่ยฉวนช่างเป็นคนมีฝีมือจริง ๆ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ซูหวานหว่านตอบรับคำชมของเขา หญิงสาวเอ่ยสั่งอะไรอีกสองสามอย่าง นางนำเงินสองพันตำลึงมาเก็บไว้ หลังจากนั้นก็ออกไปเพื่อหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนกับฉีเฉิงเฟิง และเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนินทา พวกเขาจึงต้องแยกห้องกันนอน
กลางดึก ซูหวานหว่านก็ตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นยาลอยเข้ามาในจมูก นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ก็พบว่ากระดาษตรงหน้าต่างมีรอยขาด มีไม้ไผ่เรียวยาวยื่นเข้ามา นางรีบแลกยาออกมาจากในมิติฟาร์มแล้วกินเข้าไป และลุกขึ้นหาที่ซ่อนตัว แต่ก็ได้ยินเสียงคนจากด้านนอกเสียก่อน
ทันทีที่เสียงเงียบลง หน้าต่างก็ถูกเปิดออก และมีชายชุดดำสองคนกระโดดเข้ามาพร้อมดาบในมือ!
———————————————————————–
[1] 甲骨文 อ่านว่า เจี๋ยกู่เหวิน เป็นอักษรที่แกะสลักบนกระดองเต่าและกระดูกสัตว์
[2] ลี่ซูเรียกอีกอย่างว่าลี่จึหรือกู่ซู (อักษรทาส) ตำนานของอักษรนี้คือในสมัยปลายราชวงศ์ฉินมีทาสชื่อเฉิงเหมี่ยวถูกจำคุก และได้ปรับปรุงอักษรนี้ให้เขียนง่ายขึ้น จากโครงสร้างกลมเปลี่ยนเป็นสี่เหลี่ยมกลายเป็นอักษรรูปแบบใหม่ เป็นตัวอักษรที่เป็นทางการของฉิน