เมื่อดอกบัวสีดำอมเขียวขนาดสองสามหมู่ปรากฏตัวที่ขอบฟ้า เงาร่างของหานลี่ เซี่ยเหลียน รวมทั้งจินซาและพวกก็ปรากฏขึ้นบนนั้น
“ที่นี่คือที่รวมตัว ตัวประหลาดเฒ่าหวงซาหาที่ได้ดีจริงๆ?” หานลี่พิจารณาเมืองดินสีเหลืองที่อยู่ไม่ไกลนัก ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มขณะเอ่ย คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ผู้คนไม่อาจแยกแยะได้ว่าคำนี้เป็นการชื่นชมหรือว่าถากถาง
เซี่ยเหลียนได้ยินกลับหัวเราะน้อยๆ แล้วตอบ
“เคล็ดวิชามารฟ้าของสหายหวงเลื่องชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งในเคล็ดวิชาธาตุมารของแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ขอแค่อยู่ในทะเลทราย แม้กระทั่งบรรพชนแรกเริ่มอย่างเป่าฮวาก็สามารถต้านทานได้ และยิ่งไปกว่านั้นตัวประหลาดเฒ่าหวงยังไปไหนมาไหนตามลำพังมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ไม่ยอมคบหากับใครง่ายๆ มารวมตัวกันที่นี่ย่อมทำให้สหายคนอื่นๆ วางใจหน่อย”
“ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้ มิน่าล่ะสถานที่รวมตัวถึงจัดที่ถ้ำพำนักของเขา เมืองดินแห่งนี้ก็ช่างเถิด ทว่าเป็นแค่สมบัติวิญญาณธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น กลับหุ่นเชิดนับพันตัวนั้นที่ไม่ธรรมดา คาดไม่ถึงว่าทุกตัวจะมีพละกำลังระดับหลอมสูญ ช่างทำให้ผู้แซ่จินประหลาดใจจริงๆ” ชายร่างใหญ่หัวโล้นกวาดตามองหุ่นเชิดชุดเกราะดินเหล่านั้น ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยากออกมา
“ผู้พิทักษ์ดินของสหายหวงเป็นหุ่นเชิดที่เขาคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ว่าการหลอมหรือการควบคุมก็ต้องมีเคล็ดวิชามารฟ้าพื้นฐานถึงจะได้ ทว่าผู้พิทักษ์ดินชนิดนี้จะแสดงกำลังที่แท้จริงได้แค่พบพื้นดินเท่านั้น หากออกจากทะเลทรายก็จะลดประสิทธิภาพลงเกือบครึ่ง ทว่าขอแค่หุ่นเชิดนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพลังปราณแท้ก็ทำลายได้ยาก กลับเป็นผู้พิทักษ์ที่ไม่เลวชนิดหนึ่ง แม้ว่าพวกเราจะเป็นบรรพชนระดับมหายาน คิดจะทำลายหุ่นเชิดจำนวนมากเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอีกเรื่องหนึ่ง” เซี่ยเหลียนหัวเราะหึๆ แล้วอธิบายเสริม
“นั่นมันก็ใช่ เจ้าตัวที่แทบจะมีร่างเป็นอมตะ ย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่ข้าเกลียดที่สุด” ครั้งนี้จินชาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน ดอกบัวยักษ์สีดำอมเขียวก็พาทุกคนมาอยู่เหนือเมือง และร่อนลงด้านล่างอย่างช้าๆ
เมื่อสองเท้าสัมผัสกับพื้นดิน หานลี่ก็กวาดตามองประตูตำหนักสีทองเรืองรองแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจทะลุผ่านตำหนักสีทองตรงหน้าได้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ไม่ธรรมดา คิดดูแล้วน่าจะเป็นหนึ่งในสมบัติที่รักที่สุดของตัวประหลาดเฒ่าหวง
เซี่ยเหลียนเรียกหานลี่และจินชาและผู้ช่วยทั้งสองราวกับเป็นเจ้าของบ้าง พาศิษย์หญิงทั้งสองเดินเข้าไปในประตูตำหนักล่วงหน้าไปก่อน
“ไปกันเถิด”
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็ฉีกยิ้มบางๆ พานักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์ตามไป
จินชาที่ก่อนหน้านี้เผยสีหน้าไม่เกรงกลัวใคร พิจารณาตำหนักสีทองสองสามแวบ ใบหน้าก็เผยสีหน้าลังเลออกมา
แต่ในยามนี้ชายร่างใหญ่ผมเผ้ายุ่งเหยิงที่อยู่ด้านหลัง กลับสาวเท้าเดินไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
จินชาพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นแล้วเดินตามไป
ชั่วพริบตาที่เท้าย่างเข้าไปในประตูตำหนัก หานลี่พลันรู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้ามีระลอกคลื่นของเขตอาคมปรากฏขึ้น ลำแสงสีเขียวบินออกมาม้วนเอาเขาและนักพรตเซี่ย อิ๋นเย่ว์และพวกทั้งสามไป
อิ๋นเย่ว์มีสีหน้าตกตะลึง ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ คิดจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อันใดสักอย่างต้านทาน แต่ในยามนี้ข้างหูกลับมีเสียงอบอุ่นของหานลี่ดังขึ้น
“ไม่ต้องกลัว เขตอาคมนี้ไม่เป็นอันตราย”
อิ๋นเย่ว์ได้ยินคำพูดของหานลี่ก็รู้สึกปลอดภัย ลำแสงที่แผ่ออกมาจากผิวกายสลายออก
หลังจากที่รัศมีลำแสงสีเขียวม้วนวนออกมา ทัศนียภาพรอบด้านก็เลือนรางไปอีกครั้ง ทั้งสามคนหายไปจากประตูตำหนักพร้อมกัน
ครู่ต่อมาภายในห้องโถงลับสีทองเรืองรอง เขตอาคมลำแสงสีเขียวอ่อนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น หานลี่และพวกทั้งสามปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
สายตาราวกับดาบและกระบี่ยี่สิบสามสิบสายตกอยู่บนร่างของหานลี่และพวกทั้งสาม และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงร้องอุทานเบาๆ ดังออกมาสองสามเสียง
“เอ๋ ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์!”
“นั่นไม่ใช่หวงจินเซี่ยของทะเลกำเนิดมารหรือ?”
…
หานลี่ได้ฟังคำนี้กลับกวาดตามองรอบๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ
เห็นเพียงพวกเขาสามคนอยู่ตรงใจกลางห้องโถง รอบด้านมีเงาร่างคนสูงเตี้ยไม่เท่ากันอยู่สี่ห้ากลุ่มนับร้อยคน
คนเหล่านี้แบ่งออกเป็นสามสิบกว่ากลุ่มอยู่รอบๆ ห้องโถง
เซี่ยเหลียนเดินมาอยู่มุมห้องโถง และหาเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลง ลูกศิษย์หญิงสองคนก็ยืนประสานมือเข้าหากันอยู่ด้านหลัง
“สหายหาน พี่เซี่ย นั่งเถิด” เซี่ยเหลียนนั่งลงก็เอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หานลี่พยักหน้าสายตากวาดไปที่ความวุ่นวายเมื่อครู่อีกแวบหนึ่ง แล้วพานักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์เดินไปที่มุมหนึ่งของห้องโถงพลางนั่งลง
ชั่วพริบตาที่หานลี่เพิ่งจะนั่งลง จิตสัมผัสเจ็ดแปดสายกวาดมาที่เรือนร่างของเขาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม แค่นเสียงหึขึ้นจมูก
เสียงหึไม่ดังนัก!
แต่ชั่วขณะนั้นเจ้าของจิตสัมผัสสองสามสายนั้นพลันสัมผัสได้ว่าสองหูสั่นสะเทือน ราวกับถูกเขย่า
เจ้าของจิตสัมผัสใจหายวาบ ชั่วขณะนั้นพลันทยอยกันชักจิตสัมผัสกลับมา ไม่กล้าตรวจสอบหานลี่อีก
สิ่งมีชีวิตระดับมหายานคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น สายตาที่มองมายังหานลี่ก็แปลกประหลาดใจเล็กน้อย อดที่จะมองหานลี่สูงขึ้นสองสามส่วนไม่ได้
ยามนี้เงาร่างของจินชาและชายร่างใหญ่ผมเผ้ายุ่งเหยิงก็ปรากฏตัวขึ้นกลางห้องโถง หลังจากกวาดตามองรอบๆ ก็หยุดชะงักอยู่บนเรือนร่างของหานลี่ และหัวเราะร่าพลางเดินออกมา นั่งลงบนเก้าอี้สองตัวที่ว่างอยู่
เช่นนั้นแทบจะทุกๆ ระยะเวลาหนึ่ง ก็จะมีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานถูกส่งเข้ามาในห้องโถง
สิ่งมีชีวิตระดับมหายานเหล่านี้ไม่มาลำพัง ก็มากับระดับมหายานด้วยกัน บ้างก็ถูกศิษย์ในสำนักติดตามมาเป็นกลุ่ม
แค่สองสามชั่วยามเก้าอี้ที่ว่างอยู่เกือบครึ่งก็มีเจ้าของหมดแล้ว
ยามนั้นตัวประหลาดเฒ่าเหล่านั้นพลันนั่งนิ่งหลับตาทั้งสองข้างอยู่ที่เดิม พิจารณาระดับมหายานคนอื่นๆ ในห้องโถงด้วยท่าทีอมยิ้ม แต่ล้วนไม่มีผู้ใดเอ่ยปากพูดอันใด
หานลี่เองก็พิจารณาระดับมหายานคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่อย่างไม่เกรงใจ
จินชาและพวกทั้งสองจากแดนลำแสงสีขาวนั้นไม่ต้องพูดถึง ผู้ที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งจากแดนอื่น บ้างก็มีรัศมีเปล่งประกายบนเรือนร่าง บ้างก็ร่างกายเลือนราง บ้างก็มีกลิ่นอายแปลกประหลาดยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าแม้บรรพชนเหล่านี้จะอยู่ในระดับมหายาน ก็เป็นผู้ที่ค่อนข้างร้ายกาจ
และนอกจากเซี่ยเหลียนแล้ว ยังมีระดับมหายานอีกห้าหกคนที่มีไอมารพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ เทียบกับผู้แข็งแกร่งจากแดนอื่นๆ แล้วจำนวนย่อมสู้ไม่ได้
ท่ามกลางบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้กลับไม่เห็นเงาร่างของเป่าฮวา เห็นได้ชัดว่าบรรพชนแรกเริ่มในอดีตของแดนมารผู้นี้ยังมาไม่ถึง
ทว่าชายชราผมสีเหลืองที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนเก้าอี้ กลับดึงดูดความสนใจของหานลี่อยู่หลายส่วน
ชายชราผู้นี้มีเครื่องหน้าธรรมดาๆ เรือนผมสีเหลืองสวมชุดคลุมยาวสีเทา เรือนร่างมีหมอกสีน้ำตาลแผ่ออกมา อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมพลังปราณฟ้าดินธาตุดินได้สมใจปรารถนาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คือเจ้าของที่นี่ หนึ่งในบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แดนมารตัวประหลาดเฒ่าหวงซา
มารตนนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชามารธาตุดินได้จนถึงระดับสุดยอดแล้วดังคาด
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ดวงตาทั้งสองข้างก็หรี่ลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ฉับพลันนั้นในห้องโถงก็มีเขตอาคมลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนเก้าสายปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน
เงาร่างคนเหล่านี้มีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นตัวประหลาดเฒ่าระดับมหายาน
ระดับมหายานจำนวนมากส่งตัวมาพร้อมกันเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น
บรรพชนระดับมหายานจำนวนไม่น้อยล้วนจ้องเขม็งไปที่ทั้งเก้าคน
หานลี่ใช้สายตากวาดมองไปเช่นกัน
เห็นเพียงทั้งเก้าคนมีทั้งบุรุษและสตรี มีทั้งแก่ชราและยังเยาว์วัย แต่ล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม สวมชุดเกราะสงครามหลากสีสัน แต่รูปทรงชุดเกราะกลับมีลักษณะพิเศษ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนใช้ขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนสร้างขึ้นมาก็ไม่ปาน
และในบรรดาระดับมหายานเหล่านี้ แปดคนล้วนยืนอยู่ตรงรอบนอกของเขตอาคมลำแสง มีเพียงชายชราหน้าอีกาคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงใจกลาง
กลิ่นอายบนเรือนร่างของชายชราดูไม่แตกต่างจากคนอื่นเท่าใดนัก แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเย็นชา ไม่ว่าสบสายตากับผู้ใดล้วนสั่นเทาอย่างไม่รู้ตัว ชั่วพริบตาจิตวิญญาณส่วนใหญ่ก็รู้สึกแปลกประหลาดราวกับถูกแช่แข็ง
บรรพชนระดับมหายานทั้งหมดล้วนหน้าเปลี่ยนสี สายตาที่มองไปยังชายชราหน้าอีกาพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
มีคนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า ‘ผู้เฒ่าถงหยา’ แล้วก็ไม่กล้าพูดอันใดอีก
ชายชราหน้าอีกามีระดับมหายานแปดคนติดตาม ยึดครองมุมหนึ่งของห้องโถงเอาไว้อย่างไม่เกรงใจ
ระดับมหายานสองสามคนที่อยู่รอบๆ เห็นเช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง กลับไม่มองชายชราหน้าอีกาอีกอย่างรู้จักวางตัว
หลังจากที่เก้าระดับมหายานของแดนอีกาสวรรค์มาถึง ในห้องโถงก็มีคนมาอีกสองสามคน เห็นได้ชัดว่าเผ่ามารจากแดนศักดิ์สิทธิ์และผู้แข็งแกร่งจากแดนอื่นที่นัดกันไว้มากันพอสมควรแล้ว
แต่มีเพียงเป่าฮวาที่ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทว่าบรรพชนระดับมหายาน ณ ที่นั้นล้วนเป็นตัวประหลาดเฒ่าที่ฝึกฝนมาไม่รู้กี่หมื่นปี แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางหมดความอดทนกับการรอคอยแค่นี้ ยังคงรอต่อไปราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
และไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ เมื่อเขตอาคมลำแสงในห้องโถงปรากฏขึ้นอีกครั้ง เงาร่างสง่างามที่ไม่มีแม้แต่ฝุ่นควันก็ปรากฏขึ้น
นั่นก็คือสตรีเป่าฮวา!
ด้านหลังของนางมีบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์สวมชุดเกราะสีดำยืนอย่างเคารพนบน้อมอยู่ กลับเป็นจระเข้ดำ
กลิ่นอายบนเรือนร่างไม่อ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์สูงกว่าก่อนหน้าไม่น้อย
เป่าฮวามีผลึกลำแสงไหลวนโคจรไปมาบนใบหน้า สายตากวาดไปรอบด้าน ดวงตาคู่งามเปล่งประกาย ปราณแท้ที่สูญเสียไปแต่เดิมฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว
“สหายเป่าฮวา ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว” ตัวประหลาดเฒ่าหวงซาที่ทำสมาธิมาโดยตลอดลืมตาขึ้นหลังจากที่เป่าฮวาปรากฏตัว และหัวเราะร่า
“ที่ยืมสถานที่มาใช้รวมตัวในครั้งนี้ ต้องขอบคุณสหายหวงแล้ว” เป่าฮวาตอบกลับอย่างราบเรียบ แต่เมื่อสายตากวาดมาทางหานลี่ ใบหน้าก็อดที่จะเผยแววตกตะลึงไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าบรรพชนแรกเริ่มแดนมารผู้นี้เองก็คิดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ ที่ไม่ได้พบกัน หานลี่จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน
“ไม่ถึงกับลำบากอันใด กลับเป็นตาเฒ่าที่ได้ใช้ที่นี่ต้อนรับสหายจำนวนมาก นับว่าเป็นเรื่องที่ได้หน้าอยู่แล้ว ในเมื่อยามนี้นายท่านมาแล้ว ก็ให้สหายดูแลการชุมนุมเถิด” ตัวประหลาดเฒ่าหวงซาฉีกยิ้มแล้วเอ่ยอีกครั้ง
“เป่าฮวามาสายไปหน่อย หวังว่าสหายทุกท่านจะไม่ถือสา ทว่าทุกท่านมาตามสัญญา นี่ทำให้ข้ามั่นใจในการปฏิบัติการครั้งนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน” เป่าฮวายืนอยู่ตรงใจกลางห้องโถง หลังจากกวาดตามองรอบๆ อีกครั้ง ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ