“คุณแช่ถั่วเขียวปลูกถั่วงอกสักหน่อย ผมจะเอาถั่วงอกไปขายในเมือง!” พี่สามจ้าวบอกพี่สะใภ้สามจ้าว เขาอยากไปลองดู ดูสิว่ามันจะเป็นอย่างไรกันแน่?
ทางด้านพี่สะใภ้รองจ้าว หล่อนรีบเตรียมของเพื่อให้กับพี่สาวและน้องสาวของสามี เรียกให้พี่รองจ้าวเข้าเมือง เพื่อถามว่าจ้าวเหวินเทาค้าขายอะไร ถึงได้จ้างคนมาขนฟืนแทนได้ ต้องได้เงินไม่น้อยแน่ ๆ
พี่สะใภ้รองจ้าวย่อมพูดด้วยคำพูดสวยหรูอยู่แล้ว หล่อนกล่าวว่ากลัวน้องสามีหกจะทำอะไรที่เสียเวลาเปล่า
ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ตระเตรียมเช่นกัน หล่อนทำพื้นรองเท้าและส่วนบนของรองเท้าเรียกให้พี่สี่จ้าวเอาไปขาย พี่สี่จ้าวทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า “ผมไม่ได้หน้าหนาแบบนั้น” จากนั้นก็ขึ้นเขาไปเก็บฟืน
ช่วงเวลานี้จะไปขายของก็ต้องหน้าด้าน ไม่เช่นนั้นใครเขาจะไปยอมรับความอัปยศกัน?
พี่สะใภ้สี่จ้าวโกรธจนน้ำตาไหลออกมา ไม่ใช่เพราะหล่อนไม่มีลูกชายเหรอ พูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าหล่อนมีลูกชาย มีเหรอที่เขาจะไม่ฟัง!
พี่สะใภ้สี่จ้าวตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องมีลูกชายให้ได้!
ครั้งนี้พี่รองจ้าวและพี่สามจ้าวที่เดินทางเข้าเมือง แต่ละคนก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน
พี่รองจ้าวได้ยินจากพี่สาวใหญ่และน้องสาวห้าว่าจ้าวเหวินเทานอกจากขายถั่วงอกแล้วยังขายเนื้อด้วย
เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าจ้าวเหวินเทาไปเอาเนื้อมาจากไหน? เมื่อรู้ว่าเป็นโชคที่เกิดจากความกล้าหาญของจ้าวเหวินเทา จึงโล่งใจและยินดีไปกับเขา
แม้เจ้าหกจะเป็นคนไม่เอาถ่าน แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดูสิ นี่ก็แปลว่าคนดีย่อมได้กรรมดีไม่ใช่เหรอ?
ส่วนเรื่องอื่นเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เขานำอาหารและเนื้อบางส่วนที่พี่สาวใหญ่และน้องสาวห้าให้มา นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าเด็กเก่า ๆ และผ้าขี้ริ้วกลับมาบ้านด้วย
พี่สะใภ้รองจ้าวพอใจกับของตอบแทนของพี่สาวและน้องสาวของสามีเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงข่าวคราวของน้องสามีหกที่สามีของหล่อนนำกลับมาเท่านั้นที่ไม่พอใจ เพราะมันไม่ชัดเจน หล่อนอยากจะทำธุระให้เสร็จแล้วไปด้วยตนเอง เพื่อถามทุกอย่างให้ละเอียดเสียเหลือเกิน
พี่สามจ้าวเข้าเมืองช้ากว่าพี่รองจ้าว ถึงอย่างไรเขาก็เข้าไปเพื่อขายถั่วงอก ใช้เวลาหลายวันกว่าถั่วงอกจะโต
ถั่วงอกขายได้อย่างราบรื่น พี่สามจ้าวมีความสุขสุด ๆ แต่เมื่อนับเงินแล้ว กลับพบว่าได้มาแค่ห้าเฟินเท่านั้น
หนึ่งแต้มค่าแรงยังมีค่ามากกว่านี้อีก แต่เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาว่างจากการทำนา จึงไม่ได้รับแต้มค่าแรง เงินจำนวนห้าเฟินนี้ได้มาฟรี ๆ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่ได้รีบกลับบ้าน เขาเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ เมือง ดูนั่นดูนี่ ก็พบช่องทางทำเงินบางส่วน สมองของเขาแล่นเร็วปรื๋อ เพียงไม่นานก็ปะติดปะต่อสถานการณ์จริงตัวเองและรู้ว่าควรจะทำสิ่งใด
ตอนเที่ยงเขาไปรับประทานอาหารที่บ้านของน้องสาวห้าจ้าว พี่สาวใหญ่จ้าวอาศัยอยู่ร่วมบ้านกับพ่อแม่สามี ทั้งยังเป็นครอบครัวพนักงานอีก พี่สามจ้าวไปแล้วรู้สึกอึดอัด
บ้านของน้องสาวห้าจ้าวดีกว่าเยอะ สามีของน้องสาวไม่อยู่บ้าน มีแค่น้องสาวและลูก อีกอย่างเขาก็เป็นพี่ชาย แถมยังทำคะแนนในฐานะพี่ชายได้ด้วย ดังนั้นถ้าต้องรับประทานอาหารและอยู่อาศัยก็ต้องไปบ้านของน้องสาวห้าจ้าว แต่ถ้าเป็นก่อนกลับเขาก็ไปหาพี่สาวใหญ่เพื่อเยี่ยมเยียน
แน่นอนว่าเขาเดินทางไปหาแบบมือเปล่า การซื้อของเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาไม่เคยซื้อของมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และเขาก็ไม่มีแนวคิดนี้อยู่ในหัวด้วยซ้ำ
เมื่อพี่สามจ้าวเข้าเมืองอีกครั้ง เขาได้เข็นรถขายเต้าหู้มาด้วยหนึ่งคัน ใช่แล้ว เขาตัดสินใจที่จะขายเต้าหู้
พี่สามจ้าวเคยทำเต้าหู้ตอนอยู่ในทีมผลิต เทคนิคการทำเต้าหู้นิ่มต่างก็ได้รับนิ้วโป้งชื่นชมจากทั้งหมู่บ้าน เขาทำเยอะมาก เต้าหู้หนึ่งชิ้นใช้ถั่วเท่าไรใช้น้ำเท่าไร แค่ชั่งด้วยมือเขาก็รู้แล้ว เต้าหู้ที่ขายในเมืองเหล่านั้น เขารู้สึกดูถูกดูแคลนมาก ถ้าไม่ใช้วัตถุดิบมากเกินไปก็ใช้น้ำมากเกินไป
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า เต้าหู้ที่พี่สามจ้าวทำเป็นที่นิยมอย่างมาก ดูภายนอกอ่อนนุ่ม รับประทานเข้าไปก็หอมด้วย
เขาทำเต้าหู้เสร็จตั้งแต่ตอนค่ำ เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็จะลากเต้าหู้ไปขายในเมือง ไปถึงก็ทันเวลารับประทานอาหารพอดี ขายดีมากเลยล่ะ
ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าของจะเสีย สามารถขายได้ตลอดฤดูหนาว พี่สามจ้าวแค่คิดก็มีความสุขแล้ว เขาสัมผัสเงินเหมาไม่กี่ใบที่อยู่ในอ้อมแขน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็อาลัยอาวรณ์ไม่ยอมซื้อเนื้อและกลับบ้านไป
เมื่อเห็นว่าแม้แต่คนใจแคบอย่างพี่สามจ้าวยังทำการค้าขายได้ด้วยดี พี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สี่จ้าวจึงร้อนรน
ผู้ชายคนหนึ่งก็ไม่รู้จะทำอะไร ส่วนผู้ชายอีกคนก็หน้าบางไม่ยอมทำ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือทำเอง หล่อนซื้อพื้นรองเท้าและส่วนบนของรองเท้า มีทั้งของผู้ใหญ่ ของเด็กและของผู้สูงวัย ไม่ต้องพูดอะไรหรอก มีคนซื้อจริง ๆ เพียงแต่มีน้อย ได้กำไรมาไม่กี่เฟินก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
จ้าวเหวินเทาทราบว่าพี่สามจ้าวและพี่สะใภ้ทั้งสองค้าขาย เขาก็รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง เขาหวังว่าชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้น จะได้จับตามองเขาให้น้อยลง
คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวก็รู้สึกยินดีมากเช่นกัน การค้าขายแม้จะฟังดูไม่ดี แต่ก็เป็นหนทางที่สุจริต ทำเพื่อดำรงชีวิต ไม่มีอะไรต้องอาย
“มาเทียบกันดีกว่า มาดูกันว่าพี่น้องคนไหนจะมีชีวิตที่ดีกว่ากัน” คุณพ่อจ้าวกล่าว
คุณแม่จ้าวเย็บเสื้อผ้าฝ้าย นางเองก็เห็นด้วยกับสิ่งนี้ “จะได้ไม่มีเวลาว่างเอาแต่พูดฉอด ๆ อยู่ในบ้าน!”
หิมะแรกมาถึงแล้ว ฤดูหนาวก็มาถึงแล้วจริง ๆ เมื่อหิมะตกก็ไม่สามารถเก็บฟืนได้แล้ว ผู้คนต่างยุ่งกับการสีข้าวและนวดแป้ง เครื่องโม่แป้งและโรงสีก็เริ่มยุ่งแล้ว
หลังจากนี้ก็จะเป็นปีที่วุ่นวาย ในชนบทต้องใช้เวลาล่วงหน้าสองเดือนกว่า ๆ อีกไม่นานก็จะถึงช่วงวันหยุดฤดูหนาวแล้ว
ในบ้านตระกูลเย่ไม่กี่วันมานี้ เย่หมิงเป่ยถึงขั้นนั่งกระสับกระส่าย ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับ ตอนรับประทานอาหารจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คนตระกูลเย่เห็นทุกอย่าง รู้สึกจนปัญญาแถมยังน่าขบขันอีก ใครใช้ให้ภรรยาของเขาจะกลับมากันล่ะ?
อากาศหนาวแล้ว หิมะที่ตกลงมาก็ไม่ได้ละลายไปง่าย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แขนขาหักเมื่อออกไปข้างนอก ทุกหมู่บ้านไม่เพียงแต่จะกวาดหิมะที่ลานบ้านของตัวเองเท่านั้น ยังออกไปกวาดตรงถนนของทั้งหมู่บ้านด้วย แต่อย่างมากที่สุดก็กวาดไปถึงหน้าหมู่บ้านเท่านั้น จุดที่อยู่ไกลกว่านั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว แบบนี้เมื่อหิมะตกรถก็จะผ่านไม่ได้
ปกติหนึ่งวันจะมีรถผ่านสองครั้ง ครั้งแรกตอนเช้าและอีกครั้งคือตอนค่ำ ในเมืองเรียกว่ารถประจำทาง ในชนบทเรียกว่ารถรับส่ง
รถขับออกจากมณฑลในตอนเช้า ผ่านหน้าหมู่บ้านใหญ่ ๆ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากส่วนหนึ่ง กลับไปที่สถานีในมณฑล ไปที่สถานีในเมือง ตอนค่ำก็จะขับกลับมาส่งคนที่หน้าหมู่บ้านใหญ่ ๆ และกลับเข้าเมืองอีกครั้ง
จากหมู่บ้านไปในเมืองและมณฑลมีเพียงรอบเช้าและรอบค่ำเที่ยวเดียวเท่านั้น จากในมณฑลไปในเมืองมีสี่เที่ยว เย่หมิงเป่ยไม่รู้ว่าโจวหมิ่นจะนั่งรถเที่ยวไหนมาถึงมณฑล เขารู้เพียงแค่ว่าเป็นวันนี้
ในเช้าตรู่เย่หมิงเป่ยแต่งตัวเต็มยศ กางเกงผ้าฝ้าย แจ็กเกตผ้าฝ้าย หมวกผ้าฝ้าย ถุงมือผ้าฝ้ายและรองเท้าผ้าฝ้าย แถมยังสวมเสื้อคลุมหนังแกะด้วย คุณแม่เย่ให้เขานำเสื้อหนังแกะมาให้โจวหมิ่นอีกตัวด้วย
สิ่งที่นางคิดคือ ลูกสะใภ้ที่เป็นปัญญาชนเป็นคนสวย ถ้าหากสวมเสื้อกันหนาว หรือเสื้อขนสัตว์อะไรกลับมา ระหว่างทางที่กลับมาจะต้องหนาวแน่ ๆ ลูกชายจะไม่เอาเสื้อหนังแกะของตัวเองคลุมให้หล่อนเหรอ? นางเห็นแก่ลูกชาย จึงให้หยิบเสื้อไปด้วย
“ถ้าดึกเกินไป ก็ไปพักที่บ้านพี่เขยห้าสักคืน ถนนเส้นนี้ลื่น อย่าเดินตอนกลางคืนนะ” คุณแม่เย่ย้ำเตือน
“แม่ ผมรู้แล้ว แม่กลับไปเถอะ ผมไปแล้วนะ” เย่หมิงเป่ยสวมเสื้อผ้ารวมกับถุงฝ้าย แต่เขารู้สึกดีจนทนไม่ไหวแล้ว เขาก้าวขึ้นรถอย่างแผ่วเบาและออกเดินทางไป
คุณแม่เย่มองดูลูกชายจากไปจนมองไม่เห็นจึงกลับบ้าน
ระหว่างทางยังดีหน่อย หิมะตกหนัก รถที่วิ่งผ่านไปมาได้ทิ้งรอยล้อลึก ๆ เอาไว้ ถ้าเดินอยู่ในรอยล้อก็ไม่ต้องกังวลว่าจะลื่นไถลแล้ว
หิมะสีขาวตกลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระอาทิตย์โผล่ออกมาแล้ว ครั้นกระทบลงบนพื้นหิมะจึงแอบเกิดแสงแสบตา
เย่หมิงเป่ยลดหมวกลง เขามองเพียงพื้นถนน ในที่สุดเขาก็มาถึงมณฑล เวลาประมาณเก้าโมงเช้า เขาเดินทางมาถึงสถานีขนส่งของมณฑล เขามองหาที่เก็บจักรยานชั่วคราว หลังจากล็อกรถเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปที่ห้องนั่งรอรถโดยสารเพื่อทำร่างกายให้อบอุ่น
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ให้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ทำได้ดีนี่พี่สาม ดีแล้วค่ะจะได้ไม่มาคอยจับผิดเหวินเทา
เห็นอาการพี่สามเย่แล้วรู้เลยค่ะว่ารักภรรยาขนาดไหน
ไหหม่า(海馬)