ตอนที่ 104 ลูกหนี้จ้าวเหวินเทา
หลังจากผู้นำทีมเล็กและใหญ่ที่อยู่บนเตียงเตาชนแก้วแสดงความนับถือแล้ว หัวหน้าหญิงที่อยู่ด้านล่างเตียงเตาก็ไปชนแก้วแสดงความนับถือเลขา เลขาก็เหมือนกับต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ดื่มหมดแก้วในอึกเดียว ความสามารถในการดื่มสุราของผู้นำล้วนไม่เลวเลย ถ้าหากคอไม่แข็งก็คงเป็นผู้นำไม่ได้
ทุกคนต่างก็แสดงความนับถือกันหมดแล้ว จ้าวเหวินเทาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ถึงอย่างไรปีนี้เขาก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นในหมู่บ้านไม่มากก็น้อยไม่ใช่เหรอ ถือเป็นคนหนึ่งที่ก้าวเท้าข้างหนึ่งออกนอกหมู่บ้านทีเดียว
ถ้าไม่เข้ามาชนแก้วแสดงความนับถือก็คงดูไม่ดี
ดังนั้นจ้าวเหวินเทาจึงเข้ามาดื่มสุราแสดงความนับถือด้วยรอยยิ้ม “คำพูดดี ๆ อย่างอื่นทุกคนล้วนพูดไปหมดแล้ว ถ้างั้นจ้าวเหวินเทาคนนี้ขออวยพรให้เลขาผู้เป็นที่เคารพรักของเราประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในหน้าที่การงานต่อจากนี้ ก้าวหน้าขึ้นทีละขั้น เหมือนกับดอกงาที่เบ่งบานสูงขึ้นเรื่อย ๆ [1] นะครับ!”
เลขาได้ยินคำมงคลที่งดงามสดใสเช่นนี้ถึงกับหัวเราะร่าออกมา คนอื่น ๆ เพียงอวยพรกันไปตามน้ำ แต่คำพูดของจ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้จริงใจดีจริง ๆ!
“เจ้าหนูแบบนายนี่ช่างเจรจาจริง ๆ แก้วนี้ฉันขอดื่มให้นายแบบสะใจไปเลย!” เลขากล่าวพลางดื่มจนหมดแก้ว
จ้าวเหวินเทาก็เช่นกัน หลังจากดื่มหมดก็เตรียมเดินกลับไปด้วยรอยยิ้ม ใครจะไปคิดว่าเลขาจะรั้งเขาไว้ กล่าวว่า “นั่งลง ๆ นั่งกินตรงนี้แหละ”
“โอ้โห แบบนี้เกรงใจแย่เลยครับ?” จ้าวเหวินเทายิ้มออกมาในทันที
“หนังหน้าของนายหนาพอ ๆ กับกำแพงเมือง ยังจะเกรงใจอะไรอีก?” เลขาก่นด่าเคล้ารอยยิ้ม “เสี่ยวลิ่วจื่อ ฉันขอถามนายหน่อย ปีนี้นายคงทำเงินได้ไม่น้อยเลยสินะ?”
ทุกคนต่างก็ได้ยินคำเรียกนี้ของเลขาชรา นี่เรียกว่าสนิทสนมของจริงเลยนะ เสี่ยวลิ่วจื่อ
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้วครับ ต้องขอบคุณพรเก่าของเลขานั่นแหละ นี่ผมก็ได้เงินมาไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ? รถสามล้อเครื่องยนต์ผมก็ซื้อได้แล้ว นี่เป็นรถน้ำมันขนาดใหญ่คันแรกของหมู่บ้านเราเลยนะ ไม่ใช่แค่หมู่บ้านของเรา หมู่บ้านข้าง ๆ ก็เหมือนกัน ดีสุดก็คือรถจักรยาน เลขา จ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังเลยใช่ไหมล่ะ?”
“ให้มันน้อย ๆ หน่อย รถคันนั้นเป็นของพี่ชายสามของภรรยานายไม่ใช่เหรอ?” เลขาพูดพลางหัวเราะร่า
“ก็ได้ ปิดเลขาไม่อยู่ซะแล้ว” จ้าวเหวินเทายิ้ม
เลขาหัวเราะฮ่า ๆ ออกมา “นายเล่ามาหน่อย เล่าให้พวกคนแก่คนหนุ่มอย่างพวกเราฟังหน่อย เจ้าหนูแบบนายไป ๆ กลับ ๆ แบบนี้ได้เงินมาเท่าไรกันแน่ สอนทุกคนหน่อยสิ!”
คุณพ่อจ้าวที่นั่งอยู่ด้านล่างเตียงเตามองลูกชายคนเล็กที่นั่งอยู่ข้างเลขาด้วยท่าทางนิ่งสงบมาก
จ้าวเหวินเทาก็ไม่ได้กังวลอะไร หลังจากดื่มเหล้าไปหนึ่งแก้ว เขาก็เช็ดปากพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ในเมื่อเลขาให้ความสำคัญกับผม ผมจะบอกให้ก็ได้”
เขานั่งยืดตัวตรง จากท่าทางนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่ากำลังเริ่มคุยโวโอ้อวด
คุณพ่อจ้าวที่อยู่ทางฝั่งนั้นมองลูกชายคนเล็กของตัวเองด้วยรอยยิ้ม
และแล้วเขาก็โอ้อวดจริง ๆ “งานของฉันไม่ใช่งานที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้หรอกนะ ฉันไม่ได้อวดทุกคนนะ ถ้าทุกคนอยากจะทำค้าขายแบบฉัน ทุกคนก็ต้องฝึกฝีปากให้ดี ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ต้องมีให้ได้แบบฉันสักครึ่งหนึ่งถึงจะออกไปได้ ไม่งั้นออกไปทำตัวเหมือนกับคนใบ้ แม้แต่ถามทางยังไม่กล้าถาม จะคิดไปหาเงินได้ไง? ถ้าเงินหาง่ายแบบนั้น จะมีคนจนอีกเหรอ?”
“แม้ว่าฉันจะได้เงินมา แต่เงินที่ฉันได้ก็เป็นเงินจากความลำบากลำบน คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็ดูถูกพวกเร่ขายของ ตะโกนเรียกขายของทีละคน แต่พวกเราก็อยากได้เงินจากเขาไม่ใช่เหรอ งั้นก็ต้องก้มหน้าทำงาน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตะโกนเรียกว่าอะไรก็ต้องขานรับ ทุกคนต่างก็คิดว่าฉันคงได้เงินมาไม่น้อย ฉันเองก็พูดความจริง เงินที่ได้ไม่มากหรอก แต่ถ้าจะบอกว่าทำงานนั้นแล้วได้เงินดีมันก็ไม่ใช่ ถ้าได้เงินดีจริง ๆ ป่านนี้บนถนนคงเต็มไปด้วยพวกหาบเร่แล้ว เทียบกับเงินที่ฉันซื้อจักรยานคันนั้น เงินทุนยังได้กลับมาไม่ถึงครึ่งเลย”
“ที่จริงฉันเองก็คิดจะทำแบบนี้แหละ แต่พี่ชายสามของภรรยาฉันคนนั้นซื้อรถมาแล้ว สิ่งนั้นทรงพลังสุดยอดไปเลย เขามาหาฉัน ฉันเองก็ต้องใจเต้นอยู่แล้ว รถแบบนั้นมีใครบ้างที่เห็นแล้วไม่อยากขับ? พวกเราเป็นหุ้นส่วนกัน ดังนั้นรถคันนั้นครึ่งหนึ่งฉันก็ต้องรับผิดชอบด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“รถสามล้อเครื่องยนต์คันนี้ก็ดูทรงพลังอยู่หรอก แต่ก็แพงกว่ารถจักรยานมาก ตั้งหลายร้อยหยวนแน่ะ การเผาไหม้ของน้ำมันในแต่ละวันก็เร็วมาก ตอนนี้หิมะตกแล้ว ไม่สามารถขับรถได้ ก็เลยไม่ได้รายได้อะไรเลย ฉันเองก็คาดเดาอยู่ว่าปีหน้าจะเอาเงินทุนกลับคืนมาได้หรือเปล่า?”
พูดเรื่องเหล่านี้จบ จ้าวเหวินเทาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวว่า “วันนี้ถือโอกาสทุกคนอยู่ที่นี่ ฉันเองก็ขอโฆษณาหน่อยแล้วกัน ถ้ามีคนเข้าไปในเมือง ฉันขับรถพาเข้าไปส่งได้นะ พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน อย่างน้อย ๆ จ่ายค่าน้ำมันค่าเหนื่อยให้ก็พอแล้ว!”
เดิมทีทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความรอคอยอยากรู้ว่าจ้าวเหวินเทาได้เงินมาเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ท้ายที่สุดกลับได้ยินจ้าวเหวินเทาเล่าว่าตนเองเป็นหนี้พี่ชายสามของภรรยา นี่ก็เริ่มคิดจะบรรทุกผู้โดยสารเพื่อเก็บค่าน้ำมันรถแล้ว
จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นี่เรียกว่าได้เงินเหรอ?
เลขาเดาะลิ้น “เสี่ยวลิ่วจื่อ ฉันนั่งฟังมาครึ่งค่อนวันแล้ว ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายไม่ได้กำไรอะไร แถมยังขาดแคลนเงินอีกล่ะเนี่ย?”
ขาดแคลนเงิน…ยืมเงินเพื่อความอยู่รอด พร้อมแบกรับหนี้สินไปด้วย
“ก็ขาดแคลนเงินนั่นแหละ แต่มันก็แค่ชั่วคราว ทุกเรื่องก็ยากลำบากในตอนเริ่มต้นไม่ใช่เหรอ เลขาคิดว่าจริงไหมล่ะ?” จ้าวเหวินเทาพูดพลางรินเหล้าให้เลขาไปพลาง กล่าวต่อไปว่า “อีกอย่างฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแผนนะ ตอนนี้ฉันเป็นหนี้และยังไม่ได้คืนกลับมา แต่ฉันไม่กลัวหรอก พี่สะใภ้สามของภรรยาฉัน ทุกคนก็รู้จักใช่ไหม? ตอนแรกหล่อนสอบออกไปเป็นนักศึกษากลุ่มแรก ตอนนี้ก็เรียนอยู่ที่ปักกิ่ง ปีนี้หล่อนกลับมาแล้ว พวกเราไปที่บ้านเพื่อให้หล่อนเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ หล่อนให้กำลังใจพวกเรามากเลยนะ หากพูดตามคำพูดที่หล่อนพูดไว้ก็ได้ความว่าถ้าแม้แต่ติดหนี้ยังกลัว เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นฟู่เวิง(เศรษฐี)ได้ยังไง? ฟู่เวิง(ลูกหนี้)[2] ก็ต้องเป็นหนี้ไม่ใช่เหรอ!”
เลขา หัวหน้า และฝ่ายบัญชี “…” เกือบจะเชื่อนายอยู่แล้วเชียว!
สามารถทำให้การขาดแคลนเงินกลายเป็นความสบายใจแปลกใหม่แบบนี้ได้ จ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้ก็เก่งเหมือนกันนะ
ฝ่ายบัญชีมองจ้าวเหวินเทา แย้มยิ้มออกมา “เจ้าหนู ทำไมนายถึงพูดจาเหลวไหลแบบนี้ ไหนจะฟู่เวิงอีก ฟู่เวิงที่แปลว่าหนี้ที่ไหนกันล่ะ? ฟู่เวิงที่แปลว่าร่ำรวยเงินทองไหลมาเทมาต่างหาก ถ้าว่าง ๆ นายก็ไปอ่านหนังสือให้มาก ๆ หน่อย ขืนเป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่านายต้องใช้ชีวิตแบบขาดแคลนเงินน่ะสิ?”
“นี่ฉันใช้ชีวิตแบบขาดแคลนเงินที่ไหนกันล่ะ? แบบฉันเรียกว่ายืมไก่มาออกไข่ต่างหาก!” จ้าวเหวินเทาแสดงท่าทางไม่เห็นด้วย
หัวหน้ากินเนื้อเข้าไปหนึ่งคำ พลางกล่าวเย้ยหยัน “แบบนายเรียกว่ายืมไก่มาออกไข่ที่ไหนกัน เขาเรียกว่ายืมหงส์ไฟมาออกไข่ต่างหากล่ะ”
เลขาหัวเราะพลางต่อว่า “จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ ความคิดนี้ของเสี่ยวลิ่วจื่อก็ไม่ผิดนะ แค่เชื่อถือไม่ได้เท่านั้น ถ้าถึงเวลานั้นไม่ได้เงินทุนกลับมา เสี่ยวลิ่วจื่อ นายจะทำยังไง?”
“อยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องบ้าก่อน ใช้สมองคิดให้ง่าย ๆ แล้วลุยไปข้างหน้า!” จ้าวเหวินเทายิ้มแฉ่งขณะกล่าว “ลุยแล้วค่อยว่ากัน ที่เหลือจะไปคิดให้มากมายขนาดนั้นทำไม!”
ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกว่าจนปัญญาที่จะพูดกับจ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้แล้วจริง ๆ
เกรงว่าคงไปดูโลกภายด้านนอกมาจนตาลาย ถูกคนล้างสมองมาแล้วสินะ ถึงได้คิดว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องเป็นบ้าก่อน มีแบบนี้ด้วยเหรอ?
เชื่อถือไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลยจริง ๆ
ความคิดของผู้คนในตอนนี้ยังเป็นอนุรักษ์นิยมอย่างมาก ใช้แผนแบบระยะยาว ไม่ทำเรื่องที่มีความเสี่ยง ต่อให้มีโอกาสเก้าส่วนที่จะประสบความสำเร็จ แต่ถ้ามีหนึ่งส่วนที่ล้มเหลวก็ทำให้คนถอนตัวกลางคันอยู่ดี
การทำเป็นขั้นเป็นตอน เป็นพลเมืองดีทำตามหน้าที่ของตนและทำตามกฎหมายบ้านเมืองล้วนเป็นรูปแบบความคิดแบบดั้งเดิม
ทว่านี่จ้าวเหวินเทาพูดอะไรของเขา? ใช้สมองคิดให้ง่าย ๆ แล้วลุยไปข้างหน้า ลุยแล้วค่อยว่ากัน
แบบนี้คิดตื้นเกินไปแล้วจริง ๆ!
“นายคิดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ” เลขาเองก็รู้สึกว่าจ้าวเหวินเทายังเยาว์วัยนัก เดินอยู่บนเส้นทางที่เกินจริง จึงพูดอย่างจริงใจไปว่า “เสี่ยวลิ่วเอ๊ย ปีหน้าก็ต้องทำงานเองแล้ว ตั้งใจทำนาให้ดี ๆ เกี่ยวข้าวให้เยอะ ๆ แบบนี้ต่างหากคือวิธีที่ถูกต้อง”
จ้าวเหวินเทากล่าว “เลขาพูดถูกแล้ว แต่ผมทำไม่ไหวหรอก ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ผมอยากออกไปข้างนอกมากกว่า”
……………………………………………………………………
[1] เนื่องจากดอกของต้นงาจะทยอยบานจากดอกล่างขึ้นไปยังดอกบนของช่อดอก คนจีนจึงนำมาใช้เป็นคำอวยพรขอให้ก้าวหน้าสูงขึ้นทีละขั้น
[2] 富翁 ที่แปลว่าเศรษฐี กับ 负翁 ที่แปลว่าลูกหนี้นั้นออกเสียงเหมือนกัน
สารจากผู้แปล
คนต่างรุ่นกันก็มีชุดความคิดไม่เหมือนกันล่ะค่ะ คนรุ่นเก่าอาจจะดำเนินชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะผ่านยุคอดอยากมา เลยไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรที่จะเป็นการเสียเปล่า ขณะที่คนรุ่นใหม่อย่างเหวินเทาใช้วิธีกล้าลองสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าเดิม แม้จะเสี่ยงทุนหายกำไรจมไปบ้าง
ไหหม่า(海馬)