บทที่ 5
ถังหยินเป็นคนที่แยกแยะความกตัญญูความคับแค้นใจออก แม้ว่าเขาจะเป็นคนเย็นชาและโหดร้าย แต่นั่นก็เป็นผลมาจากวัยเด็กที่น่าเศร้าของเขา ตลอดชีวิตของชายหนุ่ม มีเพียงไม่กี่คนที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างดี และนั่นก็เป็นเหตุผลทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ ตราบเท่าที่ใครก็ตามเคยช่วยเหลือตัวเขาไว้ ถังหยินคนนี้ก็จะจดจำมันไปจนวันตาย
ชายวัยกลางคนไม่รู้ว่าเขาเกือบจะตายเพราะถังหยินแล้ว ใบหน้าของเขาดูเป็นกังวลเมื่อตะโกนบอกถังหยิน พร้อม ๆ กับตั้งท่าจะลากชายหนุ่มให้ไปด้วยกัน
ทำไมถึงวิ่งล่ะ ? ฉันเอาชนะพวกมันไม่ได้หรือไง ? ถังหยินขมวดคิ้ว เขายืนนิ่ง ไม่ขยับแม้แต่ปลายก้อย ชายวัยกลางคนเห็นความดื้อรั้นของถังหยิน ดังนั้นเขาจึงชี้ไปข้างหน้าแล้วตะโกนอีกครั้ง
ถังหยินมองไปในทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ และพบเข้ากับฝุ่นที่ฟุ้งกระจายครอบคลุมเกือบครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า
พายุทราย ? นั่นเป็นคำแรกที่เข้ามาในใจของถังหยิน แต่แล้วชายหนุ่มก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว นั่นไม่ใช่พายุทราย ทว่าเป็นฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาจากกองทหารม้ากองใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเต็มที่
พื้นค่อย ๆ สั่นไหวราวกับเสียงฟ้าร้อง ก่อนที่ถังหยินจะเห็นเข้ากับชายที่มีออร่าอันน่าเกรงขาม ภาพที่เห็นตรงหน้ามันช่างกดดันเสียจนชายหนุ่มเผลอกลั้นลมหายใจ
ถังหยินไม่ใช่คนงี่เง่า ถ้าไม่งั้นเขาคงไม่อยู่รอดมาถึงป่านี้ และไม่ต้องให้ชายวัยกลางคนก่อนหน้าบอกซ้ำสอง ชายหนุ่มหมุนตัวพร้อมกับลากชายผู้เตือนสติเขาไปด้วยกันในทันที
หลังจากความพ่ายแพ้ของกองทหารม้าสีขาว สถานการณ์รบก็เริ่มย่ำแย่ลงไปอีก ทีมสีดำเริ่มยอมแพ้และถอยหลังกลับไป
การถอยทัพครั้งนี้มันเหมือนกับการหนีจากเงื้อมมือยมทูต ทหารหลายคนละทิ้งอาวุธและชุดเกราะสีดำ พลทหารที่กำลังตกอยู่ในความพ่ายแพ้ต่างพากันถอยหนีหายไปราวกับน้ำท่วมไหลบ่า
ถังหยินดึงชายวัยกลางคนและเริ่มวิ่งเกาะกลุ่มพวกชุดเกราะสีดำ ยิ่งพลทหารพวกนั้นวิ่งเข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริงแล้วถังหยินไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย แล้วทำไมเขาถึงต้องมาหนีแบบนี้กัน ?
ทั้ง ๆ ที่ตื่นมากลางป่าที่ไหนก็ไม่รู้แท้ ๆ ทำไมถึงต้องมาจับอาวุธเย็นและเข้าห้ำหั่นกันแบบนี้ด้วยนะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย ? จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดออกเลยว่าทำไมเขาถึงอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ง่ายเกินไปที่จะมีส่วนร่วม และก็ยากเกินไปที่จะถอยหลังกลับออกมา อาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่ถังหยินสวมเครื่องแบบทหารสีดำ ชะตากรรมของชายหนุ่มก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว และตอนนี้เขาก็ได้แต่ไหลตามน้ำไปเรื่อย ๆ เสียแล้ว
การหลบหนียังคงดำเนินต่อไปเมื่อศัตรูยังคงไล่ตามเข้ามาอย่างไม่ลดละ ในที่สุดถังหยินไม่สามารถจดจำได้แล้วว่าเขาวิ่งมาไกลแค่ไหน ชายหนุ่มมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ชายวัยกลางคนเริ่มหมดแรงวิ่งและไม่สามารถรักษาความเร็วได้ทัน ดังนั้นเขาจึงอุ้มตาลุงคนนี้ไปด้วยกัน
ถึงถังหยินจะผอม แต่ชายหนุ่มก็แข็งแรงพอที่จะอุ้มคนวิ่งไปด้วยกันโดยที่ไม่ต้องลดความเร็วลงแม้แต่น้อย แถมยังไม่หอบหายใจเหนื่อยง่ายอีกด้วย ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังวิ่งหนีแบบเหงื่อท่วมตัว แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น ราวกับว่าถังหยินกำลังไหลไปตามกระแสลมยังไงยังงั้น
อย่างที่บอกไปแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งอย่างบ้าคลั่ง นี่เป็นวลีที่ใช้พูดถึงกลุ่มทหารสีดำกลุ่มใหญ่ที่กำลังวิ่งอยู่ในขณะนี้
ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำ แต่เมื่อพวกเขาผ่านช่องเปิดของหุบเขา มันก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะวิ่งต่อไปอีก มันกลับกลายเป็นว่าหุบเขาแห่งนี้คือกับดักแห่งความตาย ด้านในหุบเขาแห่งนั่นเป็นทรงกลม ดังนั้นนอกจากทางผ่านที่พวกเขาเข้ามาแล้ว มันก็ไม่มีทางออกอื่นอีก อย่างไรก็ตามมันก็สายเกินไปที่จะหันหลังกลับตอนนี้
กองกำลังมากกว่า 3 พันนาย ซึ่งก็รวมไปถึงพวกหนีทัพจากจัตุรัสทมิฬถูกกักขังในทางตันนี้ ในขณะที่ทหารจำนวนมากจากฝั่งสีขาวรวมตัวกันที่บริเวณหน้าหุบเขา ถ้ามองจากระยะไกลคงดูเหมือนกับดอกไม้สีขาวที่กำลังเบ่งบานด้วยกำลังทหารกว่า 5 หมื่นนาย
‘ไอ้คนนำทางควรถูกสับเป็นชิ้น ๆ !’ ถังหยินมองไปรอบ ๆ หุบเขาขณะที่เขาสบถอยู่ในใจ
หน้าผาสีดำสนิทเรียบเหมือนกระจก ไม่มีต้นหญ้าแม้แต่ต้นเดียวงอกงามขึ้นมา ต่อให้เป็นนักปีนเขาระดับโลกมาปีน พวกเขาก็คงทำไม่ได้
ถังหยินเป็นคนที่ใบหน้าแทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย แต่ในตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก
เมื่อมองไปที่ทหารเกราะดำโดยรอบ ใบหน้าของพวกเขาก็เผยให้เห็นถึงความสิ้นหวัง ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่พวกเขารู้สึกแบบนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าจำนวนทหารทั้ง 2 ฝ่ายนั้น ไม่ได้สมดุลกันเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ทหารฝั่งเกราะดำส่วนใหญ่ พวกเขาไม่มีเกราะหรือกระทั่งอาวุธติดตัว แถมบางทหารบางนายก็บาดเจ็บเสียจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
“อึก?”
“กีลีกูลู ? ”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกหุบเขา มันเป็นเสียงที่ดังและชัดเจนจนสามารถได้ยินแม้จะอยู่ไกลมากก็ตาม
เสียงตะโกนทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ทหารหุ้มเกราะดำที่ไร้ชีวิตชีวาหลายคนค่อย ๆ ยืดร่างของพวกเขา และพากันเดินไปที่ด้านนอกของหุบเขา เมื่อเห็นแบบนั้นนายพลฝั่งสีดำก็พลันคำรามออกมาใส่ทหารพวกนั้น ทหารส่วนหนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น พวกเขาต่างก็มองไปยังคนที่กำลังเดินออกไปความดูถูกเหยียดหยาม
ทหารทั้งหมดที่เดินไปที่หน้าหุบเขา พวกเขาพากันลดระดับศีรษะลง ใบหูของคนพวกนั้นแดงก่ำ ก่อนที่จะคุกเข่าลงอย่างช้า ๆ
ถังหยินไม่รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังพูดถึงอะไร แต่ก็พอเดาได้ว่าพวกเขาน่าจะกำลังพูดถึงอะไรที่สำคัญอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่านายพลไป๋ฟ่างที่ได้ช่วยถังหยินไว้ก่อนหน้านี้ ชายผู้นั้นพยายามตะโกนชักชวนให้ยอมจำนน และก็เหมือนว่ามันจะได้ผลซะด้วย
ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นคนกล้าหาญ เขาไม่ใช่คนที่กลัวความตายแบบนี้ ! ในขณะที่ชายหนุ่มคิดเกี่ยวกับมัน ถังหยินก็อดไม่ได้ที่จะมองไป๋ฟ่าง ต่อมาชายวัย 30 หน้าตาดุร้ายที่แต่งกายเหมือนนายพลเดินเข้ามา ใบหน้าและร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือด ทำให้ชายวัยกลางคนผู้นี้ดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ถังหยินถอนสายตาของเขาและหันไปมองไป๋ฟ่างที่อยู่ข้างเขา
ชายวัยกลางคนรู้สึกได้ถึงการจ้องมอง เขาหันมายิ้มอย่างขมขื่นให้กับถังหยิน และแม้ว่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่ไป๋ฟ่างพูด หากแต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าและสิ้นหวังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง
พวกนั้นจะจัดการพวกชุดเกราะดำอย่างไร ? ถังหยินขมวดคิ้วขณะที่เขาไตร่ตรองอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวจากศัตรูในหุบเขา เสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านนอกอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในเวลานี้ น้ำเสียงของเขารุนแรงและเย็นชาราวกับนี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย
เสียงคำรามกึกก้อง
พวกนายพลฝั่งเกราะดำหันกลับมาร้องตะโกน เมื่อได้ยินเสียงนั้น พลทหารเกราะดำก็พากันยืนขึ้นและหยิบจับอาวุธขึ้นมา
ถึงเวลาแล้วสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ? ถังหยินหัวเราะอย่างขมขื่นในใจขณะที่เขายืนขึ้นพร้อมกับคนอื่น ๆ
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเลยโชคร้ายอะไรที่นำพาให้เขามาสู่สถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้ จนถึงตอนนี้ถังหยินก็ยังไม่ทราบเลยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ และทหารโดยรอบเป็นใคร
ในขณะที่ชายหนุ่มไตร่ตรองอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบที่มาจากทิศทางของหุบเขา เสียงนั้นใกล้เข้ามามาก ถังหยินมองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนที่สายตาของเขาจะพบเข้ากับที่มาของเสียง ชายหนุ่มกำลังยืนมองลูกศรสีดำนับไม่ถ้วนที่กำลังบินขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันมีมากมายเสียจนปกคลุมท้องฟ้าราวกับผืนผ้าสีดำขนาดยักษ์
“หา ? ” ถังหยินไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เขาได้แต่กรีดร้องและตัวสั่นเทาด้วยสัญชาตญาณอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”
“อ๊า !”
“อ๊า ! ”
หุบเขานั้นว่างเปล่า และปราศจากที่ให้ซ่อน ห่าฝนเกาทัณฑ์จำนวนมหาศาลพุ่งเข้าหาพวกเขาราวกับสายฝน
เสียงโลหะปะทะกันจากด้านล่างของหุบเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับเสียงอู้อี้ของร่างกายมนุษย์ที่ถูกลูกศรเจาะทะลุ และเสียงกรีดร้องของความทุกข์ทรมาน ลูกธนูจำนวนมหาศาลเปรียบเสมือนฝ่ามือของเทพเจ้าแห่งความตายที่เหยียบย่ำลงไปบนทุกชีวิตอย่างไร้เดียงสา
คนที่ทนทุกข์ทรมานมากที่สุดคือพวกทหารที่ขว้างโล่ออกไปตอนที่หนีออกมา พวกเขาไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใด ๆ ที่จะปกป้องตัวเองจากลูกศรที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาได้ ร่างกายของพวกเขาลงไปนอนราบกับพื้นที่อาบไปด้วยเลือด
แม้ว่าโล่จะช่วยป้องกันจุดสำคัญของร่างกายส่วนบนได้สำเร็จ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถป้องกันขาได้ นั่นจึงทำให้ขาและเท้าของทหารส่วนใหญ่เต็มไปด้วยลูกธนูที่ปักเข้าไปในเนื้อหนัง พลทหารเหล่านั้นได้แต่กรีดร้องอย่างน่าเศร้า พร้อม ๆ ที่พวกเขาล้มลงกับพื้น
นี่ไม่ใช่สงคราม หากแต่เป็นการสังหารหมู่ชัด ๆ