บทที่ 17
หญิงสาวก้มหัวลงพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปแล้วกระซิบกับลูกน้องข้าง ๆ “ยืนยันได้จริงหรือไม่ ? ”
เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้จักคนที่ถูกสังหารไป
ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหันกลับมามองดูชิวเจิ้นด้วยความสนใจ “เจ้าเป็นคนทำหรือ ? ”
ชิวเจิ้นส่ายหัวระรัวแล้วรีบตอบกลับ “ไม่ ไม่ใช่ข้า แต่เป็นสหายถังที่อยู่ตรงนี้ต่างหาก ! ”
หญิงสาวหัวเราะและมองไปที่ถังหยินอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้นี้นั้นถือได้ว่าหล่อเหลาแถมยังเก่งกล้าสามารถ เมื่อประกอบเข้ากับท่าทีรักอิสระ และริมฝีปากที่บิดขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จึงทำให้ชายหนุ่มดูน่าสนใจไม่น้อย หากแต่สายตาเย็นชากร้านโลกของเขานั้น ดูยังไงมันก็คือสายตาของปีศาจ คนแบบนี้ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่เป็นแน่
นางมองไปที่ถังหยินและถามเบา ๆ “เจ้ายศอะไร ? ”
“ก็แค่พลทหารธรรมดา”
หืมม ? หญิงสาวไม่อาจเชื่อคำพูดเขา สำหรับทหารธรรมดา คนพวกนั้นจะสามารถจัดการหัวหน่วยที่มีชื่อเสียงของ หนิงได้เยี่ยงไร นี่มันต้องเป็นมุกตลกร้ายอย่างแน่นอน !
เมื่อเห็นว่านางไม่เชื่อ ชิวเจิ้นจึงรีบแก้ตัว “สหายถังเป็นทหารธรรมดาก็จริง แต่เขาก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์เชียวนะ ! ”
นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ! เมื่อได้ฟังที่ชิวเจิ้นพูด นั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวไม่เชื่อใจหนักกว่าเดิน ถ้านางจำไม่ผิด ก่อนที่พวก หนิงจะเคลื่อนพล อ๋องแห่งแคว้นเฟิงนั้นได้มีการเปิดรับพลทหารมากมายที่มีความสามารถ หากแต่ถังหยินที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์กลับเลือกเข้ากองทัพเนี่ยนะ ทำไมเขาถึงไม่ไปที่หอรวมพลแต่กลับเลือกที่จะเป็นทหารธรรมดากัน ?
นางหลับตาลงเพื่อจะทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับแสงที่ส่องสว่างลงบนตัวของถังหยิน แท้ที่จริงแล้วหญิงสาวกำลังเรียกใช้วิชาตรวจสอบ เพื่อสำรวจฐานพลังของอีกฝ่ายนั่นเอง
ทันทีที่แม่ทัพสาวนางนี้ใช้พลังนี้กับเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกประหลาด หลังจากถูกจ้องมองสักพัก สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป “เจ้าเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด ! ”
คนที่อยู่ข้างหญิงสาวเองก็ตะลึงไม่ต่างกัน ทั้ง 2 พร้อมใจกันมองมาที่ถังหยิน สีหน้าของพวกเขานั้นเย็นชาจนไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้
เมื่อได้ยินคำว่าศาสตร์มืด ถังหยินเองก็ถอยออกมา พร้อมกันนั้นชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นมาจับดาบที่เอว
ในความทรงจำของหยานหลี่ พวกผู้ใช้วิชาแสงไม่ถูกกับพวกผู้ใช้ศาสตร์มืด จะให้พวกเขาร่วมงานกันได้ยังไงกันละ ? เมื่อทั้ง 2 มาพบกัน จะมีก็แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่จะรอดไปได้
ดูเหมือนว่านี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากพอตัวเลยทีเดียว เพราะนอกจากแม่ทัพตรงหน้าเขาที่เป็นผู้ใช้วิชาแสงแล้ว รอบ ๆ นั้นชายหนุ่มก็ยังสัมผัสได้ถึงผู้ฝึกยุทธ์อีกจำนวนมาก
เมื่อสัมผัสถึงความเป็นปรปักษ์และความตั้งใจในการฆ่าของเขา รอยยิ้มของหญิงสาวอันแสนทรงเสน่ห์ก็พลันผุดออกมา “ทำไมล่ะ ? เจ้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองคือผู้ใช้ศาสตร์มืดงั้นหรือ ? ”
ถังหยินไม่กล้าสบตา และไม่ได้ตอบอะไร
“เจ้าไม่รู้หรือ ? เมื่อนานมาแล้วท่านอ๋องแห่งเฟิงได้ออกกฎหมายยกเลิกการปฏิเสธพวกศาสตร์มืดแล้ว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถจัดการศัตรูของพวกเราได้ ถ้างั้นเจ้าก็คือหนึ่งในเสาหลักของชาติ” เมื่อเห็นใบหน้าสับสนของถังหยิน นางก็หัวเราะ “เจ้าไม่รู้แน่ ๆ ใช่ไหม ? หรือว่าเหตุที่เจ้าไม่ได้ไปที่หอรวมพลเป็นเพราะเจ้าคือผู้ใช้ศาสตร์มืด ? ”
หอรวมพล? อ๋องเฟิงออกกฎหมาย? นี่มันเรื่องอะไรกัน ?
เมื่อเห็นว่าถังหยินไม่ได้พูดอะไร ชิวเจิ้นจึงพยายามทำให้เรื่องนี้มันง่ายขึ้น “ถ้างั้นนะสหายถัง นี่ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องเก็บซ่อนพลังเอาไว้อีกแล้วนะ ! ”
ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้หรอก เพราะชิวเจิ้นเองก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดเองก็มีอยู่เพียงน้อยนิด ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจกฎหมายใหม่นี้
กลายเป็นว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดได้รับการยอมรับในแคว้นเฟิงแล้วสินะ ! เมื่อรู้เรื่องนี้ถังหยินก็เริ่มผ่อนคลายลง อันที่จริงอีกเหตุผลเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถสัมผัสถึงจิตสังหารจากอีกฝ่ายได้เลย ดังนั้นชายหนุ่มจึงลดการป้องกันตัวลงและโค้งหัวให้
หญิงสาวยิ้มให้กับเขา ดูเหมือนว่านางน่าจะได้ของดีระหว่างทางกลับเมืองหลวงเข้าให้แล้ว หญิงสาวหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่สีหน้าของนางจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ “ถังหยิน เจ้าทำความดีความชอบไว้มาก เจ้าต้องการรางวัลแบบไหนกัน ? ” ยังไม่ทันให้ถังหยินได้ตอบโต้ นางก็พูดต่อ “เอาแบบนี้ไหม ? ในเมื่อกองพลทหารราบที่ 2 ของเรายังขนาดหัวหน้ากองอยู่ เจ้าสนใจไหม ? ”
กองพลทหารราบที่ 2 และ 3 ของแคว้นเฟิงนั้นคือกองทหารส่วนตัวของตระกูลอู่ พวกเขานั้นรับแต่คนในเท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ยากมากที่จะได้รับตำแหน่งทางการทหารใน 2 กองพลดังกล่าว ผู้คนมากมายต่างกันพากันแก่งแย่งเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มา
ชิวเจิ้นรู้ดีว่าถังหยินต้องได้รับรางวัลแน่ ๆ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รางวัลใหญ่แบบนี้ เมื่อรู้เรื่องนี้ ชิวเจิ้นจึงดีใจมากกว่าถังหยินที่กำลังยืนนิ่ง ๆ เป็น 100 เท่า
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขมขื่น สิ่งที่เขาต้องการก็คือออกจากสนามรบ เอาชีวิตให้รอด หลังจากนั้นเขาก็จะออกจากกองทัพเพื่อไปใช้ชีวิตปกติและหาทางกลับไปยังโลกของตัวเอง แต่ตอนนี้ตัวเขากำลังจะได้เป็นหัวหน้ากอง ซึ่งจะเป็นการจองจำให้ถังหยินนั้นต้องผูกมัดอยู่กับกองทัพตลอดไป แล้วแบบนี้ชายหนุ่มจะยอมหรือ ?
“ข้าเกรงว่า… ”
หญิงสาวไม่ให้โอกาสปฏิเสธ และไม่ว่าถังหยินจะยินยอมหรือไม่ นางก็พูดต่อในทันทีว่า “พวกเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายและต้องการมอบกำลังทหาร 1 พันนายให้กับเจ้า เอาละ เราหวังว่าเจ้าจะดูแลพลทหารที่เรามอบให้เป็นอย่างดีนะ” หลังพูดจบนางก็ควบม้าเดินออกไป “ไปกันได้แล้ว ! ”
คำสั่งของหญิงสาวเหมือนภูเขาที่หนักอึ้งอันยากที่จะปฏิเสธ
ถังหยินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี ชายหนุ่มได้แต่มองทหารขี่ม้าเดินผ่านหน้าตนเองไป เขาไม่คิดเลยว่านางจะไม่ให้โอกาสตนปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
“สหายถังยินดีด้วย ! ไม่สิ ต่อไปนี้ข้าคงต้องเรียกเจ้าว่าท่านหัวหน้ากองแล้ว ! ” ชิวเจิ้นยิ้มและทำมือคำนับให้กับถังหยิน
ถังหยินกลอกตาก้มหัวลงพูดเบา ๆ คนเดียว “ข้าไม่สนใจในตำแหน่งนี้หรอก”
ชิวเจิ้นตกใจแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน “ใช่ ใช่ ใช่ ถ้าเจ้าคิดจะทำการใหญ่ก็ต้องทะเยอทะยานกว่านี้ แต่ยังไงเสีย การเป็นหัวหน้ากองก็นับได้ว่าเป็นก้าวแรกที่ดีใช่หรือไม่ ? ”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าชิวเจิ้นเอาความมั่นใจมากมายเหล่านี้มาจากไหน แต่เขาก็ขี้เกียจที่จะพูดด้วยแล้ว ในขณะที่ถังหยินยังคงยืนนิ่ง ชิวเจิ้นก็อ้าปากพูดออกมาว่า “สหายถัง ได้โปรดมอบคำสั่งด้วย ! ”
ถังหยินพูดไม่ออก “คำสั่ง ? คำสั่งอะไรกัน ? ”
“แน่นอนว่าเพื่อให้ข้าเป็นผู้ช่วยของเจ้าไง ข้าไม่ได้บอกเจ้าเหรอว่าเราต้องช่วยเหลือกันและกัน ไม่ทอดทิ้งกัน ? ” ชิวเจิ้นพูดอย่างหวั่นเกรง
“เจ้าเคยพูดแบบนั้นเหรอ ? ” ถังหยินโกรธจนหัวเราะออกมา “ข้าแค่บอกว่าจะพาเจ้ามาด้วยก็แค่นั้นเอง ข้าไม่ได้บอกว่าจะพาไปด้วย ‘ตลอด’ นี่นา ? ”
“ใช่สิ เจ้าเป็นคนพูด ! ข้าไม่มีทางลืมหรอก ! ” ชิวเจิ้นเริ่มอับอาย
“…” ถังหยินพูดไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่สนใจในตำแหน่งหัวหน้ากองอยู่แล้ว ยิ่งการหาผู้ช่วยละก็ไม่ต้องพูดถึงเลย
ในเวลานี้แม่ทัพหนุ่มพร้อมม้าสีขาวก็ได้เดินมาหาถังหยิน เมื่อเข้ามาใกล้ ๆ ชายผู้นั้นก็ได้แนะนำตัว “ข้าชื่ออู่ยี่ แม่ทัพของกองพลทหารราบที่ 3”
ถังหยินมองชายคนนั้นที่มีอายุราว ๆ 30 ตรงหน้า เขามีร่างกายที่บึกบึนและผิวคล้ำ พร้อมรูปลักษณ์ที่ดูดี ในเมื่อเขาคือแม่ทัพของกองพลทหารราบที่ 3 ดังนั้นชายผู้นี้จึงนับได้ว่ามียศสูงกว่าถังหยิน ชายหนุ่มพยักหน้า “สวัสดีท่านแม่ทัพอู่ ! ”
อู่ยี่เป็นคนจากตระกูลอู่ แต่ก็ไม่ได้มีสายเลือดโดยตรง เขาเป็นคนง่าย ๆ และเป็นกันเอง ดังนั้นแม่ทัพอู่จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “จริง ๆ เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านแม่ทัพหรอกนะ พวกเราเป็นพวกเดียวกันแล้ว ข้าน่าจะแก่กว่าเจ้านิดหน่อย เอาเป็นว่าเรียกว่าสหายอู่ก็ได้ ข้าจะได้เรียกเจ้าว่าสหายถังด้วย”
ถังหยินเถียงไม่ออก เขาหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนว่าข้าคงต้องทำตามคำสั่งของสหายล่ะนะ”
อู่ยี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ กำลังทหารในช่วงเวลาสงครามนั้นสำคัญยิ่ง เขาคือแม่ทัพของกองพลนี้ ดังนั้นจึงต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกน้องใต้บังคับบัญชา
“พวกเราจะพักกันคืนนี้ ข้าจะให้เครื่องแบบใหม่กับเจ้า แต่สำหรับพวกพลทหาร ข้าให้เจ้ายืมไม่ได้แล้ว สงครามครั้งนี้มันย่ำแย่เกินไป กองพลที่ 2 กับ 3 เหลือไม่ถึง 1 แสนคนแล้ว” เขาส่ายหัวด้วยความเศร้าใจ