บทที่ 78
หลังจากมาอยู่ที่จวนผู้ว่าเขตแล้ว ถังหยินก็ยุ่งมาก ๆ
ทั้งงานราษฎรและงานหลวงรวมไปถึงกิจการทหารเองก็ต้องถูกจัดการให้เข้าที่เข้าทาง โชคยังดีที่ยุทโธปกรณ์ที่นำกลับมาจากชุนโจวนั้นช่วยได้มากพอสมควร
เมื่อเห็นว่ายังไม่สายเกินไป พวกขุนนางทั้งหลายก็พากันขอตัวลา ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ของให้ชิวเจิ้นช่วยส่งพวกเขาออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชิวเจิ้นได้พบเจอกับคนมากหน้าหลายตา เพราะยังไงเสียเขาก็ต้องดูแลเรื่องกิจการภายในของเมืองนี้ต่อไป เพื่อให้ถังหยินนั้นมุ่งไปที่การพัฒนาทางการทหารอย่างเต็มตัว !
ชิวเจิ้นแอบยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาไม่ได้คัดค้านอะไรอยู่แล้ว ทว่าเด็กหนุ่มนั้นขาดประสบการณ์ด้านงานบ้านงานเมือง แต่ในเมื่อถังหยินไว้ใจให้เขาจัดการงานนี้ ถ้างั้นไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนเขาก็จะทำมันให้ได้ !
จากนั้น ถังหยินก็พาจางโจวและไป่หยงที่ได้รับการคุ้มครองจากกู๋เยว่และหลีเทียนให้แจกจ่ายเงินเดือนแก่ทางกองทัพ และส่วนที่เหลือก็เก็บเอาไว้ในคลังเพื่อใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น
ชายหนุ่มคิดจะให้เขตปิงหยวนขยายกองทัพออกเป็น 5 กองพันอย่างจริงจัง ดังนั้นเขาจึงขอร้องให้ชิวเจิ้นเขียนจดหมายรายงานเรื่องนี้ไปยังราชสำนัก แน่นอนว่ามันคงไม่ถึงมือท่านอ๋องหรอก แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเขาได้เสนอความคิดเห็นออกไปแล้ว
เมื่อชายหนุ่มจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้น ถังหยินก็หาเวลาว่างไปพักทานข้าว
ตอนนี้เขามีตำแหน่งที่สูงมาก ทำให้มีอาหารการกินที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ทว่าทรัพย์สมบัติและอาหารการกินในปิงหยวนเองนั้นมีน้อยประเภทนัก ทั้งเนื้อ ผัก หรือแม้แต่อาหารทะเลเองก็มีจำกัด แต่เขาก็ไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรไป
หลังจากหมดมื้ออาหาร ไป่หยงกับทหารก็พาม้าพาบูจากรัฐเบสซ่าและอาวุธกับชุดเกราะจากพวกมอร์ฟีสมาให้
ม้าพาบูนั้นรูปร่างองอาจ ขนสีน้ำตาลเข้มส่องประกายและร่างกายเองก็หนาแน่นไปด้วยมวลกล้ามเนื้อ มันตัวใหญ่ว่าม้าเฟิงหลายเท่า
หลีเว่ย ซ่งเฉิง เฉินฟาง และอัยเจียต่างก็พากันเดินวนรอบม้าตัวนี้
ถังหยินเดินออกมาและลูบหัวม้า มันยืนนิ่งให้เขาลูบหัวแต่โดยดี เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า และลองขี่ออกไปทางสวนดู แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าลู่อิงที่อู่เหมยให้เขามา แต่มันก็แกร่งกว่าม้าทั่วไปมากทีเดียว
หมวกเองก็ทำมาจากเหล็กกล้าแท้ที่หนาและหนัก หน้ากากของมันนั้นปกปิดทุกส่วนเว้นแต่เพียงดวงตา แค่หมวกอย่างเดียวก็หนักหลายพันชั่งแล้ว ถ้าไม่ใช้อาวุธปราณก็คงจะผ่ามันออกไม่ได้
ถังหยินโยนเกราะทิ้งไปจนเกิดเสียงดังสนั่น “แม่ทัพไป่ พวกมอร์ฟีสมันใส่เกราะแบบนี้ทุกคนเลยหรือ ? ”
ไป่หยงตอบอย่างจริงจัง “เกราะแบบนี้มีเฉพาะพวกทหารม้าเกราะหนักเท่านั้น พวกทหารราบจะใช้เกราะที่เบากว่านี้”
ถังหยินพยักหน้าให้
หลีเว่ยเล่นกับเกราะแขนแล้วยิ้มออกมา “ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าถ้าใส่เกราะแบบนี้จะเดินไปในสนามรบได้หรือไม่”
ไป่หยงมองเขาและกล่าว “ทหารม้าหนักของพวกมันไม่อาจปล่อยว่างได้นานนักหรอก ไม่จำเป็นต้องรีบไป อีกเดี๋ยวพวกเราก็คงจะได้เห็นพวกมันเอง”
หลีเว่ยพยักหน้าแล้วหยิบดาบขึ้นมา มันเป็นดาบที่มีใบกว้างและหนา แถมยังยาวอีก
ไป่หยงอธิบาย “นี่เป็นดาบของทหารม้าหนัก และยังเป็น…” เขาพูดและหยิบหอกขึ้นมาจากพื้น มันยาวมากและมีขนาดบางที่ต้น หนาที่กลางลำ และมีขนาดที่ใหญ่มาก
ด้วยสภาพทหารเฟิงในเวลานี้ การเผชิญหน้ากับพวกมันที่มียุทโธปกรณ์น่ากลัวยังไงก็พ่ายแพ้
ถังหยินลูบคางตัวเองพลางครุ่นคิด
ไม่ว่าศัตรูจะมีการป้องกันที่ดีแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าก็เท่านั้น
ทหารม้าเบสซ่านั้นแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ต้องมีจุดอ่อนบ้าง แต่มันอยู่ที่ไหนล่ะ ?
ถังหยินขมวดคิ้ว เขาเดาไม่ออกในตอนนี้และถามไป่หยง “ไม่ต้องเอากลับไป วางไว้ตรงนี้แหละ”
ถังหยินกลับไปยังห้องของเขาแล้วก็บอกกับทุกคน “ทุกคนมาที่นี่หน่อย”
ทุกคนก็รับคำและเดินตามเขาไปโดยที่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั่งลงชายหนุ่มก็บอก “เรื่องพวกมอร์ฟีสเอาไว้ครั้งหน้าก็แล้วกัน เรื่องหลักของพวกเราในตอนนี้ก็คือพวกโจรที่อยู๋ในปิงหยวนจะต้องถูกจัดการทันที”
เขาเข้าใจว่าเรื่องแต่ละเรื่องมันต่างกัน ศัตรูภายนอกนั้นอันตรายน้อยกว่าศัตรูภายในเสียอีก
จางโจวและไป่หยงมองหน้ากันและไม่ได้พูดอะไร
ถังหยินพูดต่อ “หยวนอู่ หยวนเปียว พวกโจรมันกล้าแม้แต่ปล้นข้าคนนี้ที่ไม่มีใครกล้าทำ ! ในเมื่อพวกมันกล้าที่จะทำเช่นนี้ ถ้างั้นข้าก็จะจัดการทั้งสองพี่น้องนี้ให้หมดสิ้นปัญหา ! แม่ทัพจาง แม่ทัพไป่ พวกเจ้าคิดว่าไง ? ”
“ถึงแม้หยวนอู่และหยวนเปียวจะเป็นคนตระกูลฉางกวง หรือต่อให้หยวนจี้จะทำการสนับสนุนเขตปิงหยวน และช่วยกองทัพเราในยามยากลำบากก็ตาม แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราแค่ต้องการลงโทษเจ้าสองพี่น้องนี่เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเขาแต่อย่างใด การที่หยวนจี้ปล่อยให้ 2 คนนี้รวบรวมกองโจรและออกปล้นสะดมชาวบ้าน มันทำให้เขาเองก็ถือว่ามีความผิดด้วย เราไม่อาจให้อภัยได้หรอก”
จางโจวพยักหน้าให้ ไม่ว่าจะพูดอะไร หยวนอู่และหยวนเปียวเองก็เป็นโจรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ผิดที่ถังหยินจะคิดแบบนี้
ไป่หยงขมวดคิ้ว “ท่านถัง ท่านอยากจะบอกเรื่องนี้ให้หยวนจี้รู้ก่อนหรือไม่ ? ”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นกัน ? ” ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น “ทหารไปปราบโจรมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แล้วทำไมต้องบอกเขาด้วย ? ”
“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น” ไป่หยงรีบแก้ตัว
“พวกเจ้ารู้รังของพวกมันหรือไม่ ? ”
จางโจวกับไป่หยงพยักหน้าให้อย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นแบบนี้ถังหยินก็กล่าว “เยี่ยมมาก กองพันที่ 1 และกองพันที่ 2 พวกเจ้าจงนำกองละทหาร 2 พันนายตามข้าไปสังหารพวกโจรพรุ่งนี้เลย ! ”
“พรุ่งนี้งั้นหรือ ? ” จางโจวประหลาดใจ เขาเพิ่งจะมาถึงเมืองเมื่อวันนี้แล้วจะให้พรุ่งนี้ไปปราบโจรเลยงั้นหรือ ?
“แล้วจะให้รออะไรกันเล่า ? ข้าไม่อยากเสียเวลากับพวกกุ๊ยข้างถนนหรอกนะ”
“รับทราบแม่ทัพถัง ! ” จางโจวและไป่หยงตอบพร้อมกัน
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสองไปพักผ่อนได้”
“ขอตัวขอรับท่านแม่ทัพถัง” ทั้งสองเดินออกไปพร้อมกล่าวลา
หลังจากออกไปแล้ว ถังหยินก็ถอนหายใจ และหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะไม่ใช่แค่เรื่องบ้านเมือง หากแต่การทหารเองก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอันด้วยเช่นกัน ถ้าหากโจรพวกนั้นยังไม่ถูกจัดการ การป้องกันด้านนอกก็จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง !
“สหายถัง ! ”
ชิวเจิ้นเดินมาหาเขา
ถังหยินไม่ได้ลืมตา หากแต่เขาก็ตอบกลับไปว่า “มีอะไร ? ”
“ทำไมเจ้าต้องรีบไปจัดการพวกโจรวันพรุ่งนี้ด้วย ? ”
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ ? ” ถังหยินถามอีกฝ่ายไปตรง ๆ
“หยวนอู่และหยวนเปียวนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ต่อให้เราเอาชนะพวกเขาได้ แต่ทางเราเองก็คงต้องสูญเสียหนักเหมือนกัน ทางที่ดีคือล่อให้พวกมันออกมาแล้วค่อยจับเป็นน่าจะดีกว่า”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินก็พยักหน้าและเริ่มคิดว่าคำพูดดังกล่าวนั้นสมเหตุสมผล
ชิวเจิ้นพูดต่อ “เมื่อครู่ข้าไปคุยกับพวกคนใหญ่คนโตมา ตระกูลฉางกวงมีอำนาจและพื้นที่กว้างขวาง พวกเขาต้องการที่ดิน พวกเขาต้องการเงิน และทุกอย่างมาก็ล้วนแต่มาจากหยวนจี้ จากตรงนี้พวกเราจะเห็นได้ว่าเขาเป็นคนบริหารจัดการกิจการภายในที่เก่งกาจขนาดไหน และสิ่งที่สหายถังต้องการก็คือคนที่ทำหน้าที่นี้ ถ้าพวกเรานำเขามาช่วยงานได้ ไม่ใช่แค่จะทำให้สหายถังมีภาระงานเบาลง แต่ทางหยวนจี้เองก็จะได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน ! ”
นี่มันเป็นสิ่งที่ถังหยินคาดไม่ถึงมาก่อน ! “แล้วหยวนจี้จะยอมรวมมือหรือ ? ”
“ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ มันไม่สำคัญ ตราบเท่าที่เจ้าจับหยวนอู่และหยวนเปียวมาได้ ยังไงเสียหยวนจี้ก็ต้องยอมทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะพวกเราจะใช้ชีวิตของ 2 พี่น้องนั่นมาต่อรองยังไงละ”
“ถ้าทำแบบนั้นแล้วเขาไม่เต็มใจช่วยเล่า ? ” ถังหยินเริ่มคิดต่างออกไป
ชิวเจิ้นหัวเราะออกมาอย่างมั่นใจ “สหายถังวางใจได้ หยวนจี้จะต้อง ‘เต็มใจ’ อย่างแน่นอน !”
ถังหยินพยักหน้าและยิ้มมุมปาก “เยี่ยมมาก เอาตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน ! ”
ชิวเจิ้นไม่ได้แสดงความเห็นอะไรเพิ่มเติม ทว่าพวกเขาทั้งสองไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจในครั้งนี้นั้น มันจะกลายเป็นการสร้างรากฐานที่สำคัญยิ่งต่อถังหยินในอนาคต !
วันต่อมา
ถังหยินพาชิวเจิ้น กู่เยว่ หลีเทียน หลีเว่ย ซ่งเฉิง เฉินฟาง อัยเจีย และคนอื่น ๆ ในกองทัพมารวมตัวกันที่ค่ายเฮิง
ในเขตลานประลอง ธงถูกชูขึ้นอย่างเฉิดฉาย
ภายใต้การร้องขอจากถังหยิน กองพันที่ 1 และ 2 ได้เลือกทหารที่มีฝีมือรวม 4 พันนายเข้ามารวมตัวกันภายในค่าย