บทที่ 91
ชายร่างใหญ่ไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้อง ร่างของเขากลายเป็นฝุ่นผงและถูกดูดกลืน ทิ้งไว้เพียงค้อนใหญ่ที่กลับสู่สภาพเดิม
ถังหยินเหวี่ยงเคียวและหยิบค้อนด้วยมือขวา ก่อนจะยกมือ ลองเหวี่ยงค้อนไปมา
วู้ม !
ค้อนเหล็กพุ่งออกไปในอากาศ กระแทกใส่พวกทหารมอร์ฟีสจนกระเด็นไปคนละทิศทาง
พวกมอร์ฟีสกู่ร้องออกมา ชายตัวโตผู้นั้นไม่ได้มีตำแหน่งที่ต่ำต้อยในกองทัพเลย เมื่อเห็นว่าเขากลายเป็นฝุ่นไปอย่างง่ายดาย มันก็ทำให้พวกมอร์ฟีสตะลึงและหวาดกลัว จนไม่กล้าเข้าปะทะกับถังหยินอีกแล้ว ได้แต่ยืนนิ่ง ราวกับว่าถูกตรึงให้อยู่กับที่
เมื่อเห็นพวกเขาไม่โจมตี ถังหยินก็ไม่คิดเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขาก้มตัวลงแล้วพุ่งเข้าใส่พวกมอร์ฟีสอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเหวี่ยงเคียวและใช้ไฟสีดำเผาทุกคนที่ขวางหน้า
ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้อีกแล้ว พวกมอร์ฟีสที่เหลือได้แต่ถอยหนีเอาชีวิตรอด และเพียงชั่วพริบตา ถังหยินก็เข้าสู่ใจกลางเมืองที่มีทหารมอร์ฟีสมากมายนับพัน !
สวนแห่งนี้บอกได้เลยว่าเป็นสถานที่ที่ใหญ่และสูงที่สุดในเมืองหวาง และบนกำแพงสูงในตอนนี้ มันก็เต็มไปด้วยทหารเฟิงคอยป้องกันเมืองชั้นในของพวกเขาจากศัตรูอย่างขันแข็ง
ภาพตรงหน้าทำเอาถังหยินประหลาดใจไม่น้อย เพราะเขาได้ยินมาจากจางโจวว่าเมืองหวางนั้นมีทหารไม่เยอะนัก แต่ทว่าสิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่ตอนนี้ มันก็คือทหารจำนวนมากที่ทำการปกป้องอยู่ที่ใจกลางเมือง ! ชายหนุ่มไม่รอช้า เขาพลันสะบัดดาบแล้วร้องตะโกนออกไปว่า “สหาย กำลังเสริมมาถึงแล้ว !”
ที่เขาตะโกนออกไปนั้นมีอยู่ 2 เหตุผล 1 คือชายหนุ่มต้องการดึงดูดความสนใจจากพวกมอร์ฟีส และ 2 คือเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพวกพ้อง !
ซึ่งผลของมันก็สำเร็จดังคาด การตะโกนครั้งนี้ช่วยเสริมขวัญและกำลังใจของพวกทหารเฟิงได้เป็นอย่างดีและเรียกทุกสายตาจากพวกมอร์ฟีส
ณ ใจกลางกลุ่มพวกมอร์ฟีส มีนักรบคนหนึ่งที่อยู่บนหลังม้า เขาใส่เกราะและถือดาบปราณที่ดูเตะตาเป็นอันมาก และเมื่อเขาได้ยินเสียงตะโกนของถังหยิน เขาก็พลันหันมองตาม และยกดาบขึ้นชี้ไปที่ชายหนุ่ม !
เพราะว่าเขาอยู่ไกลเกินไป จึงทำให้ถังหยินไม่ได้ยินว่าคนพวกนั้นพูดอะไร เห็นเพียงแค่พวกศัตรูพากันพุ่งทะยานเข้ามา พร้อมกับร้องตะโกนด้วยภาษาที่ไม่รู้จัก
ถึงจะเห็นพวกมอร์ฟีสกำลังโถมเข้ามาหาเขา ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงความกลัวออกมาแต่อย่างใด เขาตั้งท่า พร้อมที่จะเข้าปะทะในทันที !
ไม่นานนัก พวกมอร์ฟีสก็มาถึง หนึ่งในนั้นถือขวานขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ในมือ คนผู้นั้นพุ่งตรงไปยังถังหยินและฟาดมันลงมาอย่างแรง
ชายหนุ่มไม่ได้หลบหรือปัดป้อง เขาเพียงแค่ฟาดเคียวใส่อีกฝ่ายเท่านั้น
ถังหยินโจมตีเข้าไปด้านหลังอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็วชนิดที่ว่าไม่มีใครจับตามองทัน
เคียวนั้นเร็วมากจนเกิดแสง ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนที่บนอากาศจะมีร่างของพวกมอร์ฟีสขาดครึ่งลอยอยู่ด้วยกัน 3 นาย
นี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก ถังหยินรับมือกับพวกมอร์ฟีสจำนวนมหาศาลด้วยตัวคนเดียว
พวกมันไม่อาจเห็นร่างของถังหยินได้เลย ได้ยินเพียงเสียงของม้า และเมื่อมองขึ้นไป ก็จะเห็นเลือดและหัวของมนุษย์ที่ลอยอยู่บนฟ้า ก่อนที่จะกลายเป็นควันสีดำถูกดูดกลืนหายไปในทันที
การต่อสู้ดำเนินต่อไป มันเต็มไปด้วยความดุเดือด และทิ้งไว้เพียงพวกมอร์ฟีสที่นอนตายอยู่ข้างหลัง !
ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ปกติทั่วไป พวกเขาก็คงจะสู้แบบนี้นานไม่ได้แน่ เพราะเกราะกับอาวุธปราณมันจะดึงพลังงานของเขามากเกินไป การใช้มันทั้งคู่เพื่อต่อสู้เป็นเวลานานนั้นอาจทำให้หมดแรงได้ แต่กับถังหยินนั้นแตกต่างออกไป เพราะพลังของเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นในระหว่างการต่อสู้ที่แสนวุ่นวายนี้ได้ ยิ่งสู้นานเท่าไหร่ ปราณของเขามันก็ยิ่งจะมีแต่แข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่ใช้
เมื่อเห็นว่าคนของพวกเขาไม่สามารถต่อกรกับชายคนเดียวได้ หัวหน้านายกองของพวกเขาก็เริ่มหมดความอดทน รีบตะโกนพร้อมพุ่งม้าไปยังถังหยินในทันที !
ชายหนุ่มตาแดงก่ำ เขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการฟาดฟันและแทงออกไปไม่หยุด
ในการต่อสู้ที่โหมกระหน่ำนี้ พวกทหารมอร์ฟีสโดยรอบก็พากันหลีกทางให้ และก่อนที่ถังหยินจะทันรู้ตัว หัวหน้าของพวกเขาก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับดาบที่แทงเข้าใส่ถังหยินจากด้านหลังอย่างเต็มแรง
นายกองคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าถังหยินเลย ดังนั้นถ้าชายหนุ่มถูกแทงด้วยดาบนั่น เขาอาจตายได้เลยทีเดียว
ถังหยินสัมผัสได้ถึงอีกฝ่าย ก่อนที่สัญชาตญาณจะเริ่มบีบให้ขนของเขาลุกซู่เพื่อเตรียมรับการโจมตีที่แสนโหดร้าย ร่างของชายหนุ่มขยับตัวหลบอย่างรวดเร็วราวกับมีตาหลัง
โชคร้ายที่เขาช้าไปครึ่งก้าว ชายหนุ่มได้ยินเพียงเสียงดาบของอีกฝ่ายที่แทงเข้าใส่ร่างกายท่อนล่างของตน
เกราะสีดำถูกฉีกออก ดาบปราณของอีกฝ่ายทะลุเข้าไปในร่างของถังหยิน และด้วยแรงมหาศาล มันจึงส่งให้ร่างของเขากระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง
“หึ” นายกองเย้ยหยัน เขาเหวี่ยงดาบในมือดึงออกมาจากเป้าหมาย
พวกมอร์ฟีสล้มลงไปกองกับพื้นและเลือดไหลกระจาย คนผู้นั้นหันมองไปยังชายหนุ่มที่ถูกแทง ก่อนที่จะพบว่าถึงแม้ถังหยินจะบาดเจ็บ หากแต่เกราะปราณของเขากลับยังไม่ถูกปลด ทั้งยังกำมือเคียวในมือไว้แน่นอีกด้วย
นายกองนั่งอยู่บนม้า เหวี่ยงสะบัดเลือดออกจากดาบ ก่อนออกคำสั่ง “ตัดหัวมันซะ !”
พวกมอร์ฟีสตอบรับสั้น ๆ และพุ่งเข้าใส่ถังหยินอย่างเดือดดาล
แม้ว่าจะมีพลังที่มากมายแค่ไหน แต่เขาก็ถูกโจมตีเข้าใส่จุดตาย จึงทำให้ความหวาดกลัวของพวกคนเถื่อนเริ่มลดหายไป
ดาบของพวกมันพุ่งเข้าใส่ถังหยินมากมาย ทว่ามันก็ถูกสกัดเอาไว้ได้ด้วยเกราะของถังหยิน แต่มันเป็นไม่ได้ที่เกราะของคนตายจะหนาได้ขนาดนี้ ! แถมยังไม่หายไปด้วย พวกทหารมอร์ฟีสที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ตกตะลึงโดยที่ไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ
พวกเขามองถังหยินด้วยความตะลึงราวกับจ้องมองปีศาจ และในเวลาเดียวกันก็เผลอถอยหลังออกมา ทว่าถังหยินกลับอาศัยจังหวะนั้นลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งเข้าใส่คนพวกนั้นราวกับเสือที่หิวโหย มือของชายหนุ่มกำเคียวติดไฟสีดำที่ขยับไปมาได้ราวกับมีชีวิตไว้แน่น
เคียวยาวตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีดำตลอดทั้งอัน
ถังหยินกู่ร้องออกมา ก่อนจะฟาดฟันเคียวของเขาตัดผ่านพวกมอร์ฟีสจนกลายเป็นฝุ่นผงไป
การใส่ไฟเข้าไปในอาวุธปราณนั้นเป็นสิ่งที่หยานหลี่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ถังหยินกลับทำได้
เคียวติดไฟน่ากลัวมาก ทุกการฟาดฟันของมันทำให้ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตนานพอที่จะได้กรีดร้องออกมา
เพียงชั่วพริบตา พวกมอร์ฟีสก็พากันตายอย่างน่าสงสารด้วยไฟสีดำ ทำให้พลังปราณกระจายไปทั่วในอากาศ ก่อนที่ถังหยินจะทำการดูดกลืนมันอย่างตะกละตะกลาม ทำให้แผลของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้แค่รอยแผลเป็นเท่านั้น ส่วนเกราะของชายหนุ่มเองก็เริ่มผสานตัวกันใหม่อีกครั้งเช่นกัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าภาพเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ศัตรูที่ใกล้ตายกลับผงาดขึ้นมาได้อีกครั้งราวกับมังกรฟ้า
เขากัดฟันและควบม้าเข้าไปอีกครั้ง
ด้วยการอาศัยแรงพุ่งทะยาน ดาบของเขาพลันตรงดิ่งใส่ถังหยินและเล็งไปยังลำคอของอีกฝ่าย
ดวงตาของถังหยินหรี่แคบลง แต่เขาก็ไม่สามารถปิดบังแสงชั่วร้ายของเขาได้ ชายหนุ่มเหวี่ยงเคียวด้วยแรงทั้งหมด เข้าปะทะกับดาบของอีกฝ่ายจนทำให้เกิดประกายไฟกระจายออกมา
พวกทหารที่ไม่สามารถอุดหูได้ทันพากันถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาไม่คิดว่าถังหยินจะมีพลังมากขนาดนี้ มันมากเสียจนฝ่ามือของนายกองคนนี้แทบจะหักออกมา ดาบในมือของเขาเกือบจะลอยกระเด็นไป ต้องใช้เวลาสักครู่ กว่าที่เขาจะสามารถทรงตัวบนหลังม้าได้อีกครั้ง
ไม่ใช่แค่นายกองคนนี้ที่ตกตะลึง เพราะแม้แต่ถังหยินเองก็เช่นกัน ชายหนุ่มนั้นรู้ถึงพลังของตัวเองดี ดังนั้นเมื่อเขาไม่สามารถทำให้อาวุธของอีกฝ่ายหลุดมือได้ มันก็ทำให้ถังหยินคาดเดาได้เลยว่า คนผู้นั้นน่าจะมีพลังที่พอ ๆ กับเขาเลยทีเดียว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นจนหัวเราะออกมาดัง ๆ “กินข้าให้ได้สิ !” ก่อนที่จะทันพูดจบ เขาก็กระโดดขึ้นไปและเหวี่ยงเคียวเป็นแนวนอนใส่ลำคอของอีกฝ่าย